xs
xsm
sm
md
lg

ตปท.ถือบอนด์พุ่งยอดทะลุ8แสนล.!

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน - สมาคมตลาดตราสารหนี้ ปลื้มสภาพคล่องสูงนักลงทุนแห่ลงทุนตลาดรองมากขึ้น พบต่างชาติซื้อสุทธิ3เดือนกว่า 8.3 หมื่นล้านบาท ดันยอดถือครองตราสารหนี้เพิ่มเป็น 8.5 แสนล้านบาท รับค่าบาทแข็งจริงแต่ยังอยู่ในระดับเดียวกับภูมิภาคเอเชีย ด้าน"บัณทิต นิจถาวร"ระบุปรับดอกเบี้ยหรือไม่ ต้องดูเศรษฐกิจโลกประกอบด้วย

นายนิวัฒน์ กาญจนภูมินทร์ กรรมการผู้จัดการ สมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย หรือ ThaiBMA สรุปผลการดำเนินงานไตรมาส 1 ว่า ตลาดตราสารหนี้ไทยโดยภาพรวมแล้วค่อนข้างที่จะทรงตัวในส่วนของตลาดแรก ที่มีมูลค่าคงค้างการขยายตัวเพิ่มขึ้นแค่ 1% โดยมาจากรัฐวิสาหกิจที่ระดมทุนผ่านตราสารหนี้เพิ่มขึ้น ขณะที่ภาครัฐฯ และเอกชนออกตราสารหนี้ระยะยาวน้อยลง เมื่อเทียบกับไตรมาสสุดท้ายของปีที่ผ่านมา ส่วนการระดมทุนผ่านตราสารหนี้ระยะสั้นของเอกชนเพิ่มขึ้นกว่า 70% เมื่อเทียบกับไตรมาสที่ผ่านมาจากตราสารหนี้ระยะยาวปรับตัวลดลงเมื่อเทียบกับไตรมาสเดียวกันของปีก่อนหน้านี้

ขณะที่ตลาดรองมีการขยายตัวดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด โดยมีมูลค่าการซื้อขายในตราสารหนี้ระยะยาวปรับตัวเพิ่มขึ้นกว่า 70% ซึ่งเป็นตัวเลขที่บ่งบอกได้ว่าการออกตราสารหนี้ระยะยาวลดลงแต่มีการลงทุนในตลาดรองเพิ่มมากขึ้น เป็นการส่งสัญญาณว่า ตลาดตราสารหนี้ในประเทศมีสภาพคล่องมากขึ้น

โดยต่างชาติซื้อสุทธิ ในตราสารระยะยาวกว่า 83,300 ล้านบาท ซึ่งเป็นการซื้อในส่วนของพันธบัตรรัฐบาลเป็นการเพิ่มขึ้นในตราสารหนี้ระยะยาวที่มีอายุมากกว่า 1 ปี แต่อย่างไรก็ตามแม้นักลงทุนต่างชาติจะเข้ามาลงทุนในพันธบัตรเป็นจำนวนมากแต่ในส่วนของผลตอบแทนกลับปรับตัวลดลง ตามกระแสเงินลงทุนที่ไหลเข้าสู่ตลาดตราสารหนี้

ทั้งนี้ สัดส่วนของมูลค่าการซื้อขายในตลาดรองไตรมาสแรกอยู่ที่ 6,021,748 ล้านบาท หรือเฉลี่ยต่อวันอยู่ที่ 97,125 ล้านบาท โดยนักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในสัดส่วนที่เพิ่มขึ้นจากทั้งปีที่ผ่านมาอยู่ 280,000 กว่าล้านบาท ขณะที่ไตรมาสแรกมียอดปรับขึ้นกว่า 130,000 ล้านบาท โดยการถือครองตราสารหนี้ของต่างชาติในช่วง 3 เดือนที่ผ่านมาอยู่ที่ 849,971 ล้านบาท โดยเริ่มต้นปีมาก็อยู่ที่ 400,000 ล้านบาท เมื่อเทียบกับสิ้นปีที่แล้วอยู่ที่ 700,000 ล้านบาท ซึ่งสะท้อนให้เห็นได้ว่าตราสารหนี้ระยะสั้นมีการขยายตัวเพิ่มขึ้นอีก 27% เมื่อเทียบกับตราสารหนี้ระยะยาวที่ไม่ได้รับความนิยมในช่วงนี้

"ค่าเงินบาทที่แข็งค่าขึ้นในช่วงที่ผ่านมาต้องยอมรับแข็งจริงเมื่อเทียบกับอยู่ที่ประมาณ 10% เมื่อเทียบกับค่าเงิน US. แต่ถ้าเทียบกับในส่วนของภูมิภาคเดียวกันถือว่าเรายังอ่อนถ้าเทียบในช่วง 9 เดือนที่ผ่านมา อย่างมาเลเชีย และเกาหลีเองก็อ่อนลง เนื่องจากว่าเมเลเชียเองมีปัจจัยด้ายการเลือกตั้งของรัฐบาลเองที่มองว่าอาจจะมีการสูญเสียเก้าอี้ไป ส่วนเกาหลีขณะนี้ในเรื่องของความไม่สงบในภูมิภาคในช่วงต้นที่ผ่านมาที่ออกมาตรการแคปปิตอลโซลขึ้น"

นายนิวัฒน์ กล่าวอีกว่าปัจจัยที่ต้องติดตามไตรมาส 2 นี้ ยังคงเป็นเรื่องของพ.ร.บ. เงินกู้ 2.2 ล้านล้านบาท แม้ไม่ได้กูในไตรมาส 2 - 3 นี้แต่เมื่อเวลามีกระแสข่าวออกมาในก็จะส่งผลได้เช่นกัน ขณะเดียวกันตัวเศรษฐกิจของไทยและการดำเนินนโยบายของ ธปท. กับมาตรการการส่งออกซึ่งเราก็ต้องติดตามเช่นกันรวมถึงตัวเลขเศรษฐกิจของต่างประเทศด้วย ซึ่งขณะนี้ถือว่าอเมริกาดีขึ้น เนื่องจากว่ามีการว่างงานลดลง การซื้อขายบ้านมือสองดีขึ้น

ขณะที่แนวโน้มในช่วงอีก 3 ไตรมาส ของปีนี้ภาพรวมทั้งปีการออกหุ้นกู้ใหม่น่าจะอยู่ที่ประมาณ 350,000 ล้านบาท โดย 3 ไตรมาสที่เหลือจะมีหุ้นกู้รุ่นเดิมที่เคยออกไปแล้วในช่วงปีก่อนหน้านี้ครบกำหนดไถ่ถอนประมาณ 200,000 ล้านบาท แต่ด้วยสถานการณ์อัตราดอกเบี้ยที่มีแนวโน้มค่อนข้างคงที่ จึงคาดว่าน่าจะมีผู้เข้ามาออกหุ้นกู้เพิ่มประมาณ 100,000 - 120,000 ล้านบาท

ชี้ปรับดอกเบี้ยต้องดูศก.โลก

ดร. บัณฑิต นิจถาวร ประธานกรรมการสมาคมตลาดตราสารหนี้ไทย เปิดเผยว่า การปรับลดอัตราดอกเบี้ยขึ้นลง ต้องเป็นไปตามภาวะตลาด เช่นต้องดูเศรษฐกิจและการใช้จ่ายของภาคของภาครัฐว่าจะมีการขยายตัวมากน้อยอย่างไรก็จะมีการปรับลด หรือเพิ่มอัตราดอกเบี้ย ถ้าเศรษฐกิจไทยมีการขยายตัว ส่งผลให้มีสภาพคล่อง ส่วนในต่างประเทศมีหลายปัจจัยที่มาสนุบสนุนถ้าเศรษฐกิจมีการเติบโตต่อ อัตราเงินเฟ้อก็จะโตเพิ่มมากขึ้น ดังนั้นการปรับอัตราดอกเบี้ยปรับอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาต้องดูด้วยว่าจะเร็วขนาดไหน เพราะไม่ได้ปรับขึ้นที่ประเทศไทยที่เดียวต้องดูภาพรวมของเศรษฐกิจโลกด้วย

ทั้งนี้ถ้ามีการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยขึ้นมาคาดว่าต่างชาติก็จะเข้ามาลงทุนในบ้านเราเพิ่มขึ้นอีก 0.25% แต่อย่างไรก็ตาม ถ้าธปท. ยังไม่มีมาตรการแต่ทางสมาคมฯ ก็จะคอยติดตามและเตรียมการกับสิ่งนี้อย่างไม่นิ่งนอนใจ

"แนวโน้มเงินเฟ้อปรับตัวลดลง โดยมีแรงกดดันมาสนับสนุนการเติบโตเช่น ตัวเลขของเศรษฐกิจเริ่มปรับตัวดีขึ้น เศรษฐกิจไทยเองก็มีการปรับตัวที่ดีขึ้นมีการขยายการเติบโต ส่งผลให้นักลงทุนต่างชาติเข้ามาลงทุนในบ้านเรา โดยเฉพาะนโยบายต่าง ๆ ของรัฐฯ เองเป็นปัจจัยเสริม ดังนั้นประเด็นเรื่องการปรับลดลงหรือเพิ่มขึ้นของอัตราดอกเบี้ยในประเทศต้องดูหลาย ๆ ปัจจัยทั้งในประเทศและต่างประเทศ แต่อย่างไรก็ตามสินเชื่อโตเพิ่มขึ้นกว่า 10% เนื่องจากอัตราดอกเบี้ยค่อนข้างถูก"
กำลังโหลดความคิดเห็น