ASTVผู็จัดการรายวัน - ส.นักวิเคราะห์ เผยคาดการณ์ดัชนีหุ้นไทยปี 56 มีโอกาสพุ่งทะลุ 1,700 จุด โดยมีปัจจัยบวกที่สำคัญ ได้แก่ โครงการลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้าน ผลประกอบบริษัทจดทะเบียนขยายตัวสูง และต่างชาติจะเข้าซื้อต่อเนื่อง แนะภาครัฐควรเร่งลงทุนและเร่งรัดการเบิกจ่าย พร้อมลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อกระตุ้นการบริโภค ชี้มีความเสี่ยงการเมือง พร้อมจี้เลิกจำนำข้าว-ประกันราคายางพารา ล่าสุดหุ้นปิดบวก0.99 จุด จับตาการประชุมกนง.
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุน ปี 2556 ว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปีนี้จะมีจุดสูงสุดที่เฉลี่ย 1,704 จุด และ ณ ปลายปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,625 จุด โดยปัจจัยบวกมาจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และการประเมินว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวสูงขึ้นเป็น 20% จากคาดการณ์เดิม15% อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติยังซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง ซึ่งทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกัน ประมาณอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 4.9% และเชื่อว่าอัตราการเติบโตของกไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปีนี้จะเติบโตเฉลี่ย 20.3% ส่วนราคาทองคำสิ้นปีจะอยู่ที่เฉลี่ย 24,334 บาท
“ดัชนีหุ้นจะไป1,704 จุดได้ ต้องมีความชัดเจนในเรื่องเงินกู้2ล้านล้าน ต่างชาติซื้อหุ้น2.7 ล้านบาท รวมกับสถาบันอีก 1 หมื่นล้านบาท นักวิเคราะห์มองว่า ภาครัฐควรเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และลดภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดา เพื่อกระตุ้นการบริโภคและกำลังซื้อ”
ทั้งนี้ 94%นักวิเคราะห์เชื่อว่า โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จะช่วยเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ทำให้เกิดการจ้างงาน การลงทุนและการบริดภค ขณะที่88% เชื่อว่าผลประกอบการบจ.สูงขึ้น จากการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง และการลงทุนภาครัฐและเอกชน ส่วน75% เชื่อว่าเม็ดเงินต่างชาติ ยังมาจากการที่ธนาคารกลางหลายประเทศอัดฉีดเงินเข้าระบบ ทำให้สภาพคล่องอยู่ในระดับสูง
อย่าวไรก็ตาม 81% มองว่าปัจจัยเสี่ยงหุ้นไทย มาจากความเสี่ยงการที่P/E หุ้นไทยโดยเฉลี่ยเริ่มแพง 75% มองว่าปัญหายูโรโซนมีความเสี่ยง เช่นเดียวกับ 69% ที่กังวลความเสี่ยงทางการเมือง เช่นพรบ.เงินกู้ฯ , การตรวจสอบนายกรัฐมนตรี
“ตลาดหุ้นไทยยังไม่เกิดความเสี่ยงภาวะฟองสบู่ หากค่า P/E ตลาดไม่เกิน 20 เท่า ซึ่งหากค่า P/E อยู่ที่ 20 เท่าดัชนี SET ควรจะต้องอยู่ที่ 1,900 จุด ตอนนี้ประมาณ 14.5 เท่าจากดัชนี 1,550 จุด และถ้าขึ้นไปถึง 1,704 จุด P/Eจะประมาณ 16 เท่า เมื่อถึงจุดนั้นต้องพิจารณาต่อว่า P/E ตลาดหุ้นไทยจะสูงกว่าภูมิภาคหรือไม่”
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลควรทบทวนและยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว และรับประกันราคายางพารา โดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด อีกทั้งเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการSMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
หุ้นไทยปิดบวก 0.99 จุดจับตาผลการประชุม กนง.
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (2 เม.ย.) ปิดที่ระดับ 1,550.54 จุด เพิ่มขึ้น 0.99 จุด หรือ 0.06% มูลค่าการซื้อขาย 46,746.72 ล้านบาท ทั้งวันนี้เคลื่อนไหวผันผวนอยู่ในกรอบ สาเหตุจากตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาชี้นำทิศทางชัดเจน นักลงทุนยังติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี
สำหรับแนวโน้มวันนี้ (3 เม.ย.) คาดว่า ตลาดน่าจะแกว่งตัวในลักษณะไซด์เวย์ต่อไป และยังต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่าจะมีผลออกมาตามที่ได้มีการคาดหวังไว้หรือไม่ โดยตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิม ซึ่งหากเป็นไปตามคาดก็คงไม่มีผลต่อตลาดมากนัก
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการสมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ กล่าวถึงผลสำรวจความคิดเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุน ปี 2556 ว่า นักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปีนี้จะมีจุดสูงสุดที่เฉลี่ย 1,704 จุด และ ณ ปลายปีจะเฉลี่ยอยู่ที่ 1,625 จุด โดยปัจจัยบวกมาจากโครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท และการประเมินว่าผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนจะขยายตัวสูงขึ้นเป็น 20% จากคาดการณ์เดิม15% อีกทั้งนักลงทุนต่างชาติยังซื้อหุ้นไทยต่อเนื่อง ซึ่งทั้งปีคาดว่าจะอยู่ที่ 2.7 หมื่นล้านบาท
ขณะเดียวกัน ประมาณอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในปี 2556 เพิ่มขึ้นเป็น 4.9% และเชื่อว่าอัตราการเติบโตของกไรต่อหุ้น (EPS Growth) ปีนี้จะเติบโตเฉลี่ย 20.3% ส่วนราคาทองคำสิ้นปีจะอยู่ที่เฉลี่ย 24,334 บาท
“ดัชนีหุ้นจะไป1,704 จุดได้ ต้องมีความชัดเจนในเรื่องเงินกู้2ล้านล้าน ต่างชาติซื้อหุ้น2.7 ล้านบาท รวมกับสถาบันอีก 1 หมื่นล้านบาท นักวิเคราะห์มองว่า ภาครัฐควรเร่งลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน และเร่งรัดการเบิกจ่ายงบประมาณ และลดภาษีเงินได้นิติบุคคลธรรมดา เพื่อกระตุ้นการบริโภคและกำลังซื้อ”
ทั้งนี้ 94%นักวิเคราะห์เชื่อว่า โครงการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน 2 ล้านล้านบาท จะช่วยเพิ่มศักยภาพเศรษฐกิจของไทยในอนาคต ทำให้เกิดการจ้างงาน การลงทุนและการบริดภค ขณะที่88% เชื่อว่าผลประกอบการบจ.สูงขึ้น จากการบริโภคในประเทศที่แข็งแกร่ง และการลงทุนภาครัฐและเอกชน ส่วน75% เชื่อว่าเม็ดเงินต่างชาติ ยังมาจากการที่ธนาคารกลางหลายประเทศอัดฉีดเงินเข้าระบบ ทำให้สภาพคล่องอยู่ในระดับสูง
อย่าวไรก็ตาม 81% มองว่าปัจจัยเสี่ยงหุ้นไทย มาจากความเสี่ยงการที่P/E หุ้นไทยโดยเฉลี่ยเริ่มแพง 75% มองว่าปัญหายูโรโซนมีความเสี่ยง เช่นเดียวกับ 69% ที่กังวลความเสี่ยงทางการเมือง เช่นพรบ.เงินกู้ฯ , การตรวจสอบนายกรัฐมนตรี
“ตลาดหุ้นไทยยังไม่เกิดความเสี่ยงภาวะฟองสบู่ หากค่า P/E ตลาดไม่เกิน 20 เท่า ซึ่งหากค่า P/E อยู่ที่ 20 เท่าดัชนี SET ควรจะต้องอยู่ที่ 1,900 จุด ตอนนี้ประมาณ 14.5 เท่าจากดัชนี 1,550 จุด และถ้าขึ้นไปถึง 1,704 จุด P/Eจะประมาณ 16 เท่า เมื่อถึงจุดนั้นต้องพิจารณาต่อว่า P/E ตลาดหุ้นไทยจะสูงกว่าภูมิภาคหรือไม่”
นอกจากนี้ นักวิเคราะห์มองว่า รัฐบาลควรทบทวนและยกเลิกโครงการรับจำนำข้าว และรับประกันราคายางพารา โดยปล่อยให้เป็นไปตามกลไกตลาด อีกทั้งเร่งช่วยเหลือผู้ประกอบการSMEs ที่ได้รับผลกระทบจากการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ
หุ้นไทยปิดบวก 0.99 จุดจับตาผลการประชุม กนง.
ตลาดหุ้นไทยวานนี้ (2 เม.ย.) ปิดที่ระดับ 1,550.54 จุด เพิ่มขึ้น 0.99 จุด หรือ 0.06% มูลค่าการซื้อขาย 46,746.72 ล้านบาท ทั้งวันนี้เคลื่อนไหวผันผวนอยู่ในกรอบ สาเหตุจากตลาดยังไม่มีปัจจัยใหม่ๆ เข้ามาชี้นำทิศทางชัดเจน นักลงทุนยังติดตามความคืบหน้าสถานการณ์ในคาบสมุทรเกาหลี
สำหรับแนวโน้มวันนี้ (3 เม.ย.) คาดว่า ตลาดน่าจะแกว่งตัวในลักษณะไซด์เวย์ต่อไป และยังต้องติดตามการประชุมคณะกรรมการนโยบายการเงิน (กนง.) ว่าจะมีผลออกมาตามที่ได้มีการคาดหวังไว้หรือไม่ โดยตลาดคาดว่าจะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในระดับเดิม ซึ่งหากเป็นไปตามคาดก็คงไม่มีผลต่อตลาดมากนัก