วานนี้ ( 28 มี.ค.) นายมนัสวี ศรีโสดาผล อธิบดีกรมสารนิเทศ กระทรวงการต่างประเทศ (กต.) และนายวีรชัย พลาศรัย เอกอัครราชทูต ณ กรุงเฮก ได้บรรยายสรุป การเตรียมความพร้อมในการไปร่วมรับฟังการให้การด้วยวาจาต่อศาลโลก ในคดีเขาพระวิหาร โดยนายมนัสวี กล่าวว่า ทางกระทรวงการต่างประเทศ ได้พยายามให้ข้อมูลกับสาธารณะให้ได้มากที่สุด และอำนวยความสะดวกกับสื่อ ที่จะเดินทางไปร่วมฟังการให้การ ระหว่างวันที่ 15-19 เม.ย. ในคดีตีความคำพิพากษาดคีประสาทพระวิหาร ซึ่งกัมพูชายื่นคำร้องต่อศาลโลก นอกจากนั้น ยังมีการจัดตั้งศูนย์ข่าว และถ่ายทอดสด มายังกระทรวงต่างประเทศ รวมทั้งมีการจัดล่ามในการแปลภาษาให้ด้วย
ด้านนายวีรชัย กล่าวถึงการให้การต่อศาลโลกในครั้งนี้ว่า จะใช้ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษ แต่การแปลด้วยล่าม อาจมีข้อผิดพลาดได้ จึงอยากให้รอตรวจสอบคำแปลเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานด้วย
ส่วนแนวทางในการต่อสู้คดีครั้งนี้ ตามที่ไทยยึดถือมาตลอดคือ ประเด็นแรก ไทยมองว่าคำขอของกัมพูชา ไม่ใช่การขอตีความ แต่เป็นคดีใหม่ ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจตัดสิน ส่วนเรื่องการขอตีความคำพิพากษาเดิม ไม่ควรจะต้องเกิดขึ้น เพราะไทยกับกัมพูชา ยอมรับคำตัดสินและไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น
ส่วนประเด็นสุดท้าย คือ กัมพูชาขอให้ตีความเรื่องที่ศาลเคยปฏิเสธมาแล้ว คือ เรื่องของแผนที่และเส้นเขตแดน
"ในส่วนของคำแถลงให้การในครั้งนี้ ทางศาลโลกสั่งไม่ให้เปิดเผยในขณะนี้ จึงยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ ไม่ได้ต้องการปิดบังข้อมูล จึงขอให้ติดตามข่าวการให้การครั้งนี้ เพื่อรับทราบพร้อมกัน" นายวีรชัย กล่าว
ส่วนคณะของผู้ขึ้นในการด้วยวาจา นอกจากนายวีรชัย แล้ว จะมีทนายอีก 4 คน โดยนายวีรชัย กล่าวย้ำว่า การเตรียมการครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าทำดีที่สุด และทำละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเอกสารออกมา ทุกคนจะเห็นเองว่า ฝ่ายเราได้ทำดีจริงหรือไม่ ทางด้านนายกรัฐมนตรี ก็มีการให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการทำงาน และให้ครม.สัญจร วันที่ 31 มี.ค.นี้ กำหนดกรอบอำนาจการตัดสินใจของคณะที่จะไปให้การในศาล
** โบ้ย"รัฐบาลมาร์ค"ตัวต้นเหตุ
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่มีกลุ่มประชาชน ที่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มพิทักษ์สยาม ("เสธ.อ้าย") ออกมาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลในกรณีพื้นที่ทับซ้อนรอบปราสาทพระวิหาร โดยการกล่าวหาว่ารัฐบาลทรยศชาติ เพราะยอมสู้คดีต่อศาลโลกในฐานะจำเลย ว่า ขอยืนยันว่ารัฐบาลและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุนทีมกฎหมายไทย ที่จะไปต่อสู้คดีในศาลโลกอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย
ส่วนที่กล่าวหาว่ารัฐบาลทรยศชาติ เพราะยอมไปสู้คดีในฐานะจำเลยนั้น ถือเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจนำประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลโลกตั้งแต่แรก แต่เรื่องนี้เริ่มดำเนินการในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นผู้ตัดสินใจส่งทีมกฎหมายไปสู้คดี และได้มีการวางตัวทีมกฎหมายในการไปสู้คดีต่อศาลโลกไว้หมดแล้ว รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพียงเข้ามารับภารกิจต่อ โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่อยู่ในทีมกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ให้การสนับสนุนการทำงานของทีมกฎหมายอย่างเต็มที่ ไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนของพรรคเพื่อไทย ดังนั้น รัฐบาลไม่ได้ทรยศชาติ และไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจนำประเทศไปสู้คดีในศาลโลก ในฐานะจำเลยแต่อย่างใด ส่วนข้อเรียกร้องให้ไทยถอนตัวจากศาลโลกนั้น ขณะนี้ รัฐบาลไทย ยังไม่มีนโยบายดังกล่าว
"รัฐบาลขอความร่วมมือจากคนไทยทุกคน ให้หันมาร่วมมือร่วมใจกัน และเอาใจช่วยทีมกฎหมายของไทยในการต่อสู้คดี เพราะขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เราควรจะมีความสามัคคีกัน อย่านำประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารมาเป็นประเด็นการเมือง เพื่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม หรือเพื่อโจมตี และสั่นคอนเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อการต่อสู้คดีของทีมกฎหมายของไทยในศาลโลกด้วย และขอยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอย่างเต็มที่" ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าว
**ยื่นหนังสือประท้วง"หน.อช.พระวิหาร"
ส่วนที่ศาลาประชาคม บ้านภูมิซรอล หมู่ 12 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร เครือข่ายชายแดนไทยศรีสะเกษ-อุบลราชธานี นำโดย นายคัมภีร์ พิไล อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28 หมู่ 4 ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วย นายวิสิทธิ์ ดวงแก้ว ตัวแทนชาวบ้าน ได้เข้ายื่นหนังสือ พร้อมซีดีบันทึกคำให้สัมภาษณ์ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่าน นายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัย เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ ในกรณีที่ นายศักดิ์สิทธิ์ พลทรัพย์ศิริ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนสำนักหนึ่ง โดยได้พูดถึงเรื่องแนวเขตพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ซึ่งทำให้ชาวบ้านในพื้นที่แนวชายแดนเกิดความไม่พอใจ จึงได้ให้ตัวแทนมายื่นหนังสือต่อผู้นำชุมชนพื่อส่งต่อไปยังหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เป็นลำดับขั้นต่อไป
นายคัมภีร์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา นายศักดิ์สิทธิ์ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ที่บริเวณพื้นที่หนองติม บ้านด่านใต้ ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งในคำสัมภาษณ์มีข้อความว่า "มีแต่ราษฎรไทยที่เป็นฝ่ายรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของฝ่ายกัมพูชา เป็นพื้นที่ 1,000-2,000 ไร่" ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่หัวหน้าภาครัฐได้มีการกล่าวโจมตีราษฎรไทยตามแนวชายแดน รวมทั้งจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียภาพพจน์ของประเทศ และหากฝ่ายกัมพูชาได้รับชมข่าวสารดังกล่าว อาจจะนำเอาไปเป็นหลักฐาน เงื่อนไขประเด็นการฟ้องร้องศาลโลกในกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับเขาพระวิหาร และพื้นที่ 4.6 ตร.กม.
ฉะนั้นตัวแทนราษฎรไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ ต.ภูผาหมอก ต.เสาธงชัย ต.รุง ต. ละลาย อ.กันทรลักษ์ และ ต.ห้วยจันทร์ ต.กันทรอม อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ที่ได้รับผลกระทบต่อการให้สัมภาษณ์ของนายศักดิ์สิทธิ์ จึงได้รวมตัวกันเพื่อเป็นตัวแทนของราษฎรตามแนวชายแดนทั้งหมดเดินทางไปยื่นหนังสือยังหน่วยงานของทางราชการ เพื่อให้พิจารณาให้เป็นธรรมในคำให้สัมภาษณ์นี้ด้วย
ด้านนายวีรชัย กล่าวถึงการให้การต่อศาลโลกในครั้งนี้ว่า จะใช้ภาษาฝรั่งเศส และภาษาอังกฤษ แต่การแปลด้วยล่าม อาจมีข้อผิดพลาดได้ จึงอยากให้รอตรวจสอบคำแปลเป็นลายลักษณ์อักษร ที่ได้รับการรับรองจากหน่วยงานด้วย
ส่วนแนวทางในการต่อสู้คดีครั้งนี้ ตามที่ไทยยึดถือมาตลอดคือ ประเด็นแรก ไทยมองว่าคำขอของกัมพูชา ไม่ใช่การขอตีความ แต่เป็นคดีใหม่ ศาลโลกจึงไม่มีอำนาจตัดสิน ส่วนเรื่องการขอตีความคำพิพากษาเดิม ไม่ควรจะต้องเกิดขึ้น เพราะไทยกับกัมพูชา ยอมรับคำตัดสินและไม่มีความขัดแย้งเกิดขึ้น
ส่วนประเด็นสุดท้าย คือ กัมพูชาขอให้ตีความเรื่องที่ศาลเคยปฏิเสธมาแล้ว คือ เรื่องของแผนที่และเส้นเขตแดน
"ในส่วนของคำแถลงให้การในครั้งนี้ ทางศาลโลกสั่งไม่ให้เปิดเผยในขณะนี้ จึงยังไม่สามารถให้รายละเอียดได้ ไม่ได้ต้องการปิดบังข้อมูล จึงขอให้ติดตามข่าวการให้การครั้งนี้ เพื่อรับทราบพร้อมกัน" นายวีรชัย กล่าว
ส่วนคณะของผู้ขึ้นในการด้วยวาจา นอกจากนายวีรชัย แล้ว จะมีทนายอีก 4 คน โดยนายวีรชัย กล่าวย้ำว่า การเตรียมการครั้งนี้ เชื่อมั่นว่าทำดีที่สุด และทำละเอียดที่สุดเท่าที่จะทำได้ เมื่อเอกสารออกมา ทุกคนจะเห็นเองว่า ฝ่ายเราได้ทำดีจริงหรือไม่ ทางด้านนายกรัฐมนตรี ก็มีการให้คำแนะนำเพิ่มเติมในการทำงาน และให้ครม.สัญจร วันที่ 31 มี.ค.นี้ กำหนดกรอบอำนาจการตัดสินใจของคณะที่จะไปให้การในศาล
** โบ้ย"รัฐบาลมาร์ค"ตัวต้นเหตุ
ร.ท.หญิง สุณิสา เลิศภควัต รองโฆษกประจำสำนักนายกรัฐมนตรี แถลงถึงกรณีที่มีกลุ่มประชาชน ที่เคยร่วมชุมนุมกับกลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และกลุ่มพิทักษ์สยาม ("เสธ.อ้าย") ออกมาเคลื่อนไหวโจมตีรัฐบาลในกรณีพื้นที่ทับซ้อนรอบปราสาทพระวิหาร โดยการกล่าวหาว่ารัฐบาลทรยศชาติ เพราะยอมสู้คดีต่อศาลโลกในฐานะจำเลย ว่า ขอยืนยันว่ารัฐบาลและน.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้การสนับสนุนทีมกฎหมายไทย ที่จะไปต่อสู้คดีในศาลโลกอย่างเต็มที่ เพื่อรักษาผลประโยชน์ของประเทศไทย
ส่วนที่กล่าวหาว่ารัฐบาลทรยศชาติ เพราะยอมไปสู้คดีในฐานะจำเลยนั้น ถือเป็นข้อกล่าวหาที่ไม่ถูกต้อง เพราะรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจนำประเทศไทยเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลโลกตั้งแต่แรก แต่เรื่องนี้เริ่มดำเนินการในสมัยรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ ที่เป็นผู้ตัดสินใจส่งทีมกฎหมายไปสู้คดี และได้มีการวางตัวทีมกฎหมายในการไปสู้คดีต่อศาลโลกไว้หมดแล้ว รัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ เพียงเข้ามารับภารกิจต่อ โดยไม่ได้เปลี่ยนแปลงตัวบุคคลที่อยู่ในทีมกฎหมาย ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกฎหมายระหว่างประเทศ และรัฐบาล น.ส.ยิ่งลักษณ์ ก็ได้ให้การสนับสนุนการทำงานของทีมกฎหมายอย่างเต็มที่ ไม่ได้เกี่ยงว่าเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ หรือคนของพรรคเพื่อไทย ดังนั้น รัฐบาลไม่ได้ทรยศชาติ และไม่ได้เป็นผู้ตัดสินใจนำประเทศไปสู้คดีในศาลโลก ในฐานะจำเลยแต่อย่างใด ส่วนข้อเรียกร้องให้ไทยถอนตัวจากศาลโลกนั้น ขณะนี้ รัฐบาลไทย ยังไม่มีนโยบายดังกล่าว
"รัฐบาลขอความร่วมมือจากคนไทยทุกคน ให้หันมาร่วมมือร่วมใจกัน และเอาใจช่วยทีมกฎหมายของไทยในการต่อสู้คดี เพราะขณะนี้เป็นช่วงเวลาที่เราควรจะมีความสามัคคีกัน อย่านำประเด็นข้อพิพาทเกี่ยวกับปราสาทพระวิหารมาเป็นประเด็นการเมือง เพื่อให้เกิดความแตกแยกในสังคม หรือเพื่อโจมตี และสั่นคอนเสถียรภาพของรัฐบาล เพราะอาจจะส่งผลกระทบต่อการต่อสู้คดีของทีมกฎหมายของไทยในศาลโลกด้วย และขอยืนยันว่า รัฐบาลไทยจะปกป้องผลประโยชน์ของประเทศอย่างเต็มที่" ร.ท.หญิงสุณิสา กล่าว
**ยื่นหนังสือประท้วง"หน.อช.พระวิหาร"
ส่วนที่ศาลาประชาคม บ้านภูมิซรอล หมู่ 12 ต.เสาธงชัย อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ ชายแดนไทย-กัมพูชา ด้านเขาพระวิหาร เครือข่ายชายแดนไทยศรีสะเกษ-อุบลราชธานี นำโดย นายคัมภีร์ พิไล อายุ 59 ปี อยู่บ้านเลขที่ 28 หมู่ 4 ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ พร้อมด้วย นายวิสิทธิ์ ดวงแก้ว ตัวแทนชาวบ้าน ได้เข้ายื่นหนังสือ พร้อมซีดีบันทึกคำให้สัมภาษณ์ถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง ผ่าน นายวีระยุทธ ดวงแก้ว กำนันตำบลเสาธงชัย เพื่อแสดงออกถึงความไม่พอใจ ในกรณีที่ นายศักดิ์สิทธิ์ พลทรัพย์ศิริ หัวหน้าอุทยานแห่งชาติเขาพระวิหาร ได้ให้สัมภาษณ์กับสื่อมวลชนสำนักหนึ่ง โดยได้พูดถึงเรื่องแนวเขตพื้นที่ทำกินของชาวบ้าน ซึ่งทำให้ชาวบ้านในพื้นที่แนวชายแดนเกิดความไม่พอใจ จึงได้ให้ตัวแทนมายื่นหนังสือต่อผู้นำชุมชนพื่อส่งต่อไปยังหัวหน้าส่วนราชการในพื้นที่เป็นลำดับขั้นต่อไป
นายคัมภีร์ กล่าวว่า เมื่อวันที่ 26 มี.ค.ที่ผ่านมา นายศักดิ์สิทธิ์ ได้ให้สัมภาษณ์ผู้สื่อข่าว ที่บริเวณพื้นที่หนองติม บ้านด่านใต้ ต.ภูผาหมอก อ.กันทรลักษณ์ จ.ศรีสะเกษ ซึ่งในคำสัมภาษณ์มีข้อความว่า "มีแต่ราษฎรไทยที่เป็นฝ่ายรุกล้ำเข้าไปในพื้นที่ของฝ่ายกัมพูชา เป็นพื้นที่ 1,000-2,000 ไร่" ทำให้ชาวบ้านในพื้นที่ ไม่พอใจเป็นอย่างมาก ที่หัวหน้าภาครัฐได้มีการกล่าวโจมตีราษฎรไทยตามแนวชายแดน รวมทั้งจะทำให้เกิดความเสื่อมเสียภาพพจน์ของประเทศ และหากฝ่ายกัมพูชาได้รับชมข่าวสารดังกล่าว อาจจะนำเอาไปเป็นหลักฐาน เงื่อนไขประเด็นการฟ้องร้องศาลโลกในกรณีข้อพิพาทไทย-กัมพูชา เกี่ยวกับเขาพระวิหาร และพื้นที่ 4.6 ตร.กม.
ฉะนั้นตัวแทนราษฎรไทยตามแนวชายแดนไทย-กัมพูชา ในพื้นที่ ต.ภูผาหมอก ต.เสาธงชัย ต.รุง ต. ละลาย อ.กันทรลักษ์ และ ต.ห้วยจันทร์ ต.กันทรอม อ.ขุนหาญ จ.ศรีสะเกษ ที่ได้รับผลกระทบต่อการให้สัมภาษณ์ของนายศักดิ์สิทธิ์ จึงได้รวมตัวกันเพื่อเป็นตัวแทนของราษฎรตามแนวชายแดนทั้งหมดเดินทางไปยื่นหนังสือยังหน่วยงานของทางราชการ เพื่อให้พิจารณาให้เป็นธรรมในคำให้สัมภาษณ์นี้ด้วย
