xs
xsm
sm
md
lg

ชี้กม.นิรโทษไม่ลดขัดแย้ง นักการเมืองอย่าอภัยกันเอง

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

เวทีเสวนาแนวทางการออก พ.ร.บ.นิรโทษกรรม “กิตติศักดิ์” เสนอแนวทาง 3 ข้อ ทั้งไม่มีข้อจำกัด มีเงื่อนไข และดำเนินคดีเคร่งครัด ส่วน ก.ก.สิทธิฯ ชี้ต้องสร้างบรรทัดฐานการเมือง จวก "มาร์ค" ตั้ง คอป. เป็นแค่พิธีกรรม เชื่อนิรโทษกรรม ไม่ช่วยลดขัดแย้ง เตือนเรื่องให้อภัยต้องเป็นหน้าที่สังคม ไม่ใช่นักการเมืองให้อภัยกันเอง ไม่ใช่หว่านเงินเยียวยา 7.5 ล้าน ด้าน "นพเหล่" มั่นใจแก้ รธน.รายมาตรา ไร้ปัญหา อ้างศาล รธน.อนุญาตให้ทำได้ รองวิปรัฐบาลเล็งแก้ที่มา ส.ส.คิวต่อไป ให้มี ส.ส.เขต 400 ปาร์ตี้ลิสต์ 100

วานนี้ (24 มี.ค.) ที่ห้องจิตติ ติงศภัทริย์ คณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ ท่าพระจันทร์ สมาคมนิติศาสตร์ ธรรมศาสตร์ ร่วมกับ คณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภาฯ 35 และสถาบันสังคมประชาธิปไตย ได้จัดงานเสวนาเรื่อง “แนวทางการออกพ.ร.บ.นิรโทษกรรมประชาชน และการสร้างบรรทัดฐานทางการเมือง”
นายกิตติศักดิ์ ปรกติ อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ ม.ธรรมศาสตร์ กล่าวว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรมเป็นปัญหาในหลายแง่ทั้งสังคมและวัฒนธรรมทางกฏหมายที่จะก่อผลกระทบตามมามากมาย ผู้จะขอรับการนิรโทษกรรม ต้องยอมรับว่าได้ทำอะไรผิด และให้คำมั่นว่าจะไม่ทำผิดอีก เสมือนการปฏิญาณตนเองว่าจะไม่ทำให้เกิดความขัดแย้งอีก โดยมีคณะกรรมการขึ้นมา 1 ชุด โดยไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดครอบงำกันได้ มีผู้แทนนักการเมืองฝ่ายละ 3 คน และคนอื่นๆ รวม 9 คน เพื่อพิจารณาการขอรับการนิรโทษกรรมของบุคคลต่างๆ
ทั้งนี้ ส่วนตัวมีข้อเสนอนิรโทษกรรม 3 ทางเลือก คือ
1. แบบไม่มีข้อจำกัด แต่จะถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างมากว่า ไม่ถูกต้อง เพราะที่สุดแล้วอาจเกิดความขัดแย้ง และเข่นฆ่ากันขึ้นมาอีก เพราะสามารถออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้
2.การออกนิรโทษกรรมแบบมีเงื่อนไข จำกัด ไม่เหวี่ยงแห โดยผ่านคณะกรรมการสอบสวน
3.ดำเนินคดีอย่างเคร่งครัด หาผู้กระทำผิดมาลงโทษ เช่น กรณีนาซีที่มีการดำเนินคดีมาตลอดเวลาหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 หรือการติดตามจับกุมกบฏของอิสราเอล ที่ยังคงดำเนินอยู่จนถึงทุกวันนี้

** นิรโทษฯไม่ช่วยลดความขัดแย้ง
ด้าน น.พ.นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ คณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติ กล่าวว่า แนวทางการนิรโทษกรรม ต้องเป็นเรื่องที่สร้างบรรทัดฐานทางการเมือง เพราะที่ผ่านมาการนิรโทษกรรมต่างๆ ไม่ได้แสดงถึงบรรทัดฐานทางการเมือง เพราะไม่ได้มีการยอมรับ เป็นเพียงการยุติธรรมของผู้ชนะเท่านั้น เช่นการออกนิรโทษกรรมให้กับผู้ทำรัฐประหาร หรือการออกนิรโทษกรรมช่วงปี 2535 ซึ่งเป็นวัฒนธรรมแบบไทยที่ไม่ต้องการรื้อฟื้น และให้ลืมๆกันไป
"นักการเมืองรู้จักแต่รับชอบ ไม่รู้จักการยอมรับผิด ในสมัยของ นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี ได้ตั้ง คอป. ก็เป็นเพียงพิธีกรรม ยังไม่ได้รับการปฏิบัติจากรัฐบาลต่อๆ มา ข้อเสนอของ คอป. ถูกแช่ไว้ อย่างไรก็ตาม การออกกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่ได้ช่วยให้สังคมยุติความขัดแย้งลงได้ เพราะมีคนเห็นต่าง จึงจำเป็นต้องมองเรื่องสิทธิ และความรับผิดชอบของรัฐด้วย" นพ.นิรันดร์ กล่าว
นพ.นิรันดร์ กล่าวอีกว่า วันนี้ประชาชนทั้งสองฝ่ายเห็นว่า การออกกฎหมายนิรโทษกรรมได้ ก็เพราะฝ่ายการเมืองตกลงผลประโยชน์กันได้เท่านั้น ทำให้เกิดความไม่ไว้วางใจมากขึ้น วันนี้ประชาชาตาสว่างขึ้น รับรู้ว่าทุกเรื่องที่เกิดขึ้นจากทั้งสองสี เป็นเพราะความคิดและอุดมการณ์ทางการเมือง เกิดการเข้าไปแทรกแซงองค์กรอิสระ การใช้อำนาจทางทหารเพื่อรักษาอำนาจแบบเก่าไว้ เป็นเรื่องไม่ถูกต้อง จึงเกิดความรุนแรงขึ้น
ทั้งนี้ เราต้องการความปรองดองทางสังคมที่ไม่ใช่การเกี้ยเซียะทางการเมืองของนักการเมือง ประชาชนต้องมีส่วนร่วมในการออกกฎหมาย ส.ส.เสนอกฎหมายเพียงฝ่ายเดียวยังไม่เพียงพอ อะไรควรนิรโทษกรรม อะไรไม่ควร เช่น การทุจริต ต้องไม่มีการนิรโทษ ส่วนความผิดที่ทำไปเพราะเหตุทางการเมืองก็ควรได้รับการนิรโทษกรรม คนไทยควรได้รู้ว่า ชุดดำเป็นใคร วัดปทุมวนาราม เกิดอะไรขึ้น ใครอยู่เบื้องหลัง ใครใช้อำนาจไม่ชอบ เราต้องทำความจริงให้ปรากฏ และนำคนผิดมาลงโทษ
" สังคมไทยทำผิดซ้ำซาก ปล่อยคนผิดลอยนวล จะเกิดการฆ่ากันกลางถนนอีก ถ้าจะให้อภัยก็ต้องให้อภัยโดยสังคม ไม่ใช่นักการเมืองให้อภัยกันเอง และการเยียวยาฟื้นฟูต้องเกิดขึ้นในรูปแบบอื่นๆ ด้วย ที่ไม่ใช่การจ่ายเงิน 7.5 ล้านบาทเท่านั้น แต่พวกเขาต้องการรู้ว่าใครทำให้ญาติเขาตาย อย่าให้พวกเขารู้สึกว่าถูกเอาเงินมาปิดปาก เราต้องใช้กฎหมายเป็นแนวทางในการออกกฎหมายนิรโทษกรรม ไม่เช่นนั้นจะทำให้ความแตกแยกเพิ่มขึ้น" นพ.นิรันดร์ กล่าว
ขณะที่นายโคทม อารียา ผู้อำนวยการศูนย์ศึกษาสันติวิธี มหาวิทยาลัยมหิดล กล่าวว่า เหตุต่างๆ ที่เกิดขึ้น เพราะมีเห็นต่างกัน และเห็นว่ามีความไม่เป็นธรรม ที่วันนี้เราต้องคิดว่าพวกเราได้ข้อสรุปบทเรียนแล้วหรือไม่ ถ้าเราคิดว่าไม่เอาการรัฐประหาร ระบบรัฐสภาที่ไม่เอาไหน เราก็ไม่เอา ไม่เอากระบวนการตุลาการภิวัตน์ ถ้าเราสรุปบทเรียนเรื่องเหล่านี้ได้ สังคมก็สามารถเดินหน้าได้ ที่ผ่านมาเราเผชิญกับกระบวนการยุตธรรมเชิงลงโทษ เพราะถือว่ารัฐเป็นผู้เสียหาย วิธีการออกกฎหมาย ต้องคำนึงถึงเหยื่อ เพราะวันนี้ไม่มีใครยอมรับว่าทำผิด หรือกล่าวคำว่าขอโทษ
ทั้งนี้ การนิรโทษกรรมในไทยต้องไม่เอาชนะคะคานกัน ซึ่งความรู้สึกแบบนี้ยังไม่เกิดขึ้นในสังคมไทย นับแต่การชุมนุมทางการเมืองปี 2548 เป็นต้นมา
ส่วนนายอดุลย์ เขียวบริบูรณ์ ประธานคณะกรรมการญาติวีรชนพฤษภา 35 กล่าวว่า หลังการนิรโทษกรรมปี 2535 ญาติวีรชนยังคงเป็นพลเมืองชั้น 2 และรู้สึกเจ็บปวดทุกครั้งที่ได้ยินเรื่องการนิรโทษกรรม ตั้งแต่ปี 2550 เป็นต้นมาเริ่มมีคนเสื้อเหลืองถูกดำเนินคดี และต่อมาก็เป็นคนเสื้อแดง ที่มีจำนวนเพิ่มขึ้นมาก ไม่อยากให้ฝ่ายการเมืองเป็นคนดำเนินการเรื่องนิรโทษกรรม เพราะพูดคนละเรื่อง
ทั้งนี้ อยากนำเสนอต่อสังคมสาธารณะด้วยการออกเป็น พ.ร.บ.นิรโทษกรรม โดยเริ่มต้นจากผู้ฝ่าฝืน พ.ร.ก.ฉุกเฉินฯ ก่อน มีคน 4 กลุ่ม ที่จะไม่ได้อานิสงส์จากกฎหมายนี้ เพราะทุกฝ่ายมีความเห็นว่าควรเอาคนเกี่ยวข้องมาขึ้นศาล ว่าเกิดอะไรขึ้น 1.จำนวนผู้เสียชีวิตกว่า 90 คน 2. นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และนายสุเทพ เทือกสุบรรณ 3. แกนนำเสื้อแดงและ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร และ 4.ผู้นำเหล่าทัพและฝ่ายค้านในขณะนั้น เมื่อทำความจริงให้ปรากฏแล้วค่อยให้อภัย จากนั้นจึงกำหนดมาตรการร่วมกันว่า ทำอย่างไรจะไม่ให้เกิดการใช้ความรุนแรงขึ้นมาอีก

**โวแก้ รธน.เพื่อส่วนรวม
นายนพดล ปัทมะ ที่ปรึกษากฎหมาย พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร กล่าวถึงการแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา
ว่า น่าจะดำเนินไปได้ด้วยความเรียบร้อย เพราะศาลรัฐธรรมนูญระบุชัด ว่า เป็นความชอบธรรมที่จะแก้ไขรายมาตรา นอกจากนั้น พรรคประชาธิปัตย์ และ 40 ส.ว. ที่เคยคัดค้านการแก้ไขทั้งฉบับ ก็เคยเสนอแนะให้แก้ไขรายมาตรา ซึ่งต่อมาสมาชิกวุฒิสภา และสมาชิกพรรคร่วมรัฐบาล ก็ดำเนินการตามความเห็นของเสียงส่วนใหญ่ จนไม่คิดว่าจะมีใครออกมาขัดขวาง เพราะการแก้ไขไม่ได้แก้ไขเพื่อตัวเอง แต่เป็นการแก้เพื่อประโยชน์ของส่วนรวม เพื่อให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตย และมีหลักนิติธรรม
ทั้งนี้ มาตรา 237 ที่กรรมการบริหารพรรคการเมืองทำผิดคนเดียว สามารถยุบพรรคการเมือง และตัดสิทธิ์กรรมการทั้งหมด ถือว่าเป็นสิ่งแปลกปลอมในระบอประชาธิปไตย ซึ่ง คมช. เขียนขึ้นมาเพื่อทำให้พรรคการเมืองและฝ่ายประชาธิปไตยอ่อนแอดังนั้นควรต้องแก้ไข
ส่วนการแก้ไขมาตรา 68 ก็เพื่อให้มีความชัดเจน และประชาชนยังคงสามารถตรวจสอบฝ่ายการเมืองได้เหมือนเดิม แต่ต้องยื่นเรื่องต่ออัยการสูงสุดก่อน
ส่วนการแก้ไข มาตรา 190 เพื่อให้ฝ่ายบริหารสามารถก้าวทันโลก และทำสัญญาต่างๆได้รวดเร็วมากขึ้น
เป็นการเอาโซ่ตรวนออกจากฝ่ายบริหาร ซึ่งจะเป็นประโยชน์ต่อทุกรัฐบาล ทั้งในปัจจุบันและอนาคต รวมทั้งถ้าฝ่ายค้านมีโอกาสมาตั้งรัฐบาลด้วย
"จึงเรียกร้องให้ทุกฝ่ายร่วมมือทำบ้านเมืองให้เป็นประชาธิปไตย ถ้ามีประเด็นใดที่ต้องแก้ไข ก็สามารถแปรญัตติในชั้นกรรมาธิการได้ ส่วนที่กลุ่ม 40 ส.ว. ขู่ว่า จะยื่นศาลรัฐธรรมนูญตีความนั้น หวังว่าท่านคงจะไม่ใช้แนวทางนั้น
เพราะศาลรัฐธรรมนูญ ระบุชัดเจนว่า การแก้ไขรายมาตราสามารถกระทำได้ และตนไม่อยากให้กลุ่ม 40 ส.ว. ถูกมองว่าเป็นปราการด่านสุดท้าย และทายาทของฝ่ายคมช.ที่ขัดขวางทุกความพยายามที่จะทำให้บ้านเมืองเป็นประชาธิปไตยขึ้น" นายนพดล กล่าว

**เตรียมแก้ที่มาส.ส.คิวต่อไป
นายไพจิต ศรีวรขาน ส.ส.นครพนม พรรคเพื่อไทย และ รองประธานวิปรัฐบาลกล่าวถึงกรณี นายสามารถ แก้วมีชัย ส.ส.เชียงราย พรรคเพื่อไทย ออกมาให้สัมภาษณ์หากร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญรายมาตรา ของกลุ่มส.ส.และส.ว.เลือกตั้ง ที่ยื่นไป 3 ร่าง ขอแก้ไข 4 ประเด็น ผ่านการพิจารณาในวาระ3 ในช่วงเดือนส.ค.ไปแล้ว พรรคเพื่อไทย อาจยื่นร่างแก้ไขเพิ่มเติมเข้าไปอีก โดยขอให้แก้ไขที่มาของส.ส. ให้กลับมาเป็นเหมือนเดิม มีส.ส.เขต 400 คน ส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คนว่า เป็นความเห็นส่วนตัวของสมาชิกพรรค ในพรรคยังไม่ได้มีการหารือกันอย่างตกผลึก ส่วนตัวมองว่าหากแก้ไขกลับมาเป็นเหมือนเดิม มีส.ส.บัญชีรายชื่อ 100 คน มีส.ส.เขต 400 คน ถือเป็นเรื่องดี เดิมเป็นเขตใหญ่ อัตราส่วนส.ส.หนึ่งคนต้องดูแลชาวบ้านประมาณ1.6 แสนคน หากแก้กลับมาเหลือ 400 คน อัตราส่วนส.ส.หนึ่งคนจะดูแลชาวบ้าน 1.5 แสนคน ถือว่าดีกว่า ทำให้ส.ส.ทำงานได้ใกล้ชิดกับประชาชน ได้มากกว่า แก้ให้ส.ส.บัญชีรายชื่อลดลง แต่ส.ส.เขตเพิ่มขึ้น ทำให้ส.ส.เขต มีส่วนรับผิดชอบประชาชนได้มากขึ้น.
กำลังโหลดความคิดเห็น