สภาร่วมลากยาวแก้ รธน.ที่มา ส.ส.ร. สมาชิกประสานเสียงเลือกตั้ง 200 คน ป้องกันกำเนิดสภาทาสรื้อ รธน.สนองรัฐบาล “คำนูณ” ชี้ตอบโจทย์ความหลากหลายได้ “ส.ว.สุรศักดิ์” ฉะ หลอกลวงชาวบ้านอ้างแก้ รธน.สร้างความปรองดองแค่หาช่องทางรวย “รสนา” อัด รบ.ยึดสัมปทานอำนาจอธิปไตยจากประชาชน ทำตามใจต้องการ ด้าน กมธ.เสียงข้างมากยันสูตรเดิม
วันนี้ (19 เม.ย.) ที่รัฐสภา การประชุมร่วมรัฐสภา เพื่อพิจารณาร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย (ฉบับที่....) พ.ศ... ในวันที่ 3 ยังคงเป็นการพิจารณาในมาตรา 4 ที่มีการบัญญัติข้อความในมาตรา 291/1 เกี่ยวกับที่มาและจำนวนของสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ที่ร่างของกรรมาธิการกำหนดที่มา ส.ส.ร.จากการเลือกตั้งจำนวน 77 คน และจากการสรรหาจำนวน 22 คน โดยตลอดทั้งวันสมาชิกต่างทยอยอภิปรายในประเด็นที่มีการสงวนคำแปรญัตติในประเด็นนี้อย่างต่อเนื่อง
นายคำนูน สิทธิสมาน ส.ว.สรรหา หนึ่งในผู้เสนอให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้ง 200 คน โดยใช้รูปแบบการเลือกตั้ง ส.ว. ตามรัฐธรรมนูญปี 40 ซึ่งสมาชิกเลือกตามสัดส่วนประชาชนของแต่ละจังหวัด ซึ่งจะตอบโจทย์ความหลากหลายของที่มาของ ส.ส.ร.ได้ และเป็นที่ยอมรับของคนทั้งประเทศ เนื่องจากเป็นตัวแทนของประชาชน ไม่ได้เป็นตัวแทนของกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือแม้แต่ตัวแทนของเสียงข้างมากในสภา แม้ ส.ว.หลายคนจะไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขทั้งฉบับ แต่กระบวนการได้ล่วงเลยมาแล้ว จะไปใช้สิทธิ์ที่ศาลก็ว่ากันอีกอย่าง แต่ในกระบวนการสรรหาคณะที่จะมาจัดทำร่างรัฐธรรมนูญ หากจะมีการทบทวนอีกครั้งน่าจะเป็นประโยชน์มากกว่าโทษ และจะทำให้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถเดินหน้าไปด้วยดี สิ่งสำคัญที่ทุกคนต้องการเห็นคือ ต้องการให้ ส.ส.ร.มาจากตัวแทนจากความคิดทุกฝ่ายมากที่สุด และจากวัฒนธรรมหลากหลาย จะต้องไม่เป็นลักษณะตัวแทนเสียงข้างมากในสภาแห่งนี้ด้วย ดังนั้นจะต้องหารูปแบบที่ดีที่สุด แม้มาตรา 291/1 จะมีคนเสนอแปรญัตติ และเสนอความเห็นหลายรูปแบบก็ตาม ตนก็ยังเห็นว่าการเลือกตั้ง ส.ส.ร. จำนวน 200 คนโดยใช้การเลือกตั้ง ส.ว.ในปี 40 จะเป็นวิธีที่ดีที่สุด เพราะ ส.ส.ร. มาจากตัวแทนความคิดของทุกกลุ่ม ทุกฝ่าย ตัวแทนวัฒนธรรมที่หลากหลาย และหากจะตั้งใจให้มีการแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ก็ไม่จำเป็นต้องใช้รูปแบบ ส.ส.ร. ก็ได้ โดยให้สมาชิกสามารถเสนอแก้ไขเข้ามายกฉบับ เหมือนที่เคยเกิดขึ้นในปี 51- 52 ตนเชื่อว่ากระบวนการทำงานของ ส.ส.ร.จะมีความยุ่งยากสับสนเกิดขึ้นอีกมาก จึงอยากให้ใช้นวกรรมการเลือกตั้งที่มีความก้าวหน้าและสะท้อนความแตกต่างหลากหลายในสังคมให้ได้มากที่สุด จึงอยากให้คณะกรรมาธิการทบทวนในสิ่งนี้เพื่อสร้างความปรองดองให้เกิดขึ้นอย่างแท้จริง
ด้าน นายสมชาย แสวงการ ส.ส.สรรหา อภิปรายไปในแนวทางเดียวกันว่าตนสนับสนุนการแก้ไขให้มี ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้ง 200 คน และขอให้กรรมาธิการเปิดใจให้กว้างเพื่อล้มล้างข้อกล่าวหาที่ว่าจะแก้รัฐธรรมนูญเพื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่ง หรือกลุ่มใดกลุ่มหนึ่งเพื่อให้บ้านเมืองสามารถเดินต่อไปได้ และขอให้กรรมาธิการรับฟังความเห็นของสมาชิกทั้ง 650 คน เพราะที่ผ่านมาการพิจารณาของกรรมาธิการมีข้อกังขาในหลายเรื่อง ทั้งองค์ประชุม การโหวต จึงขอให้รับฟังสมาชิกเพื่อให้การเดินหน้าแก้ไขรัฐธรรมนูญเป็นไปด้วยดี
นายนิพนธ์ วิศิษฏยุทธศาสตร์ หากไม่มีการแก้ไขมาตรา 291/1 ตามข้อเสนอของ กมธ.เสียงข้างน้อยจะชัดเจนว่า ส.ส.ร.ที่เข้ามาจะเป็นไปตามความต้องการของพรรคการเมืองเสียงข้างมาก ที่เข้ามายกร่าง รธน.ตามที่ตนเองต้องการได้
ขณะที่ พล.ร.อ.สุรศักดิ์ ศรีอรุณ ส.ว.สรรหา เสนอให้ตัดความในมาตรานี้ออกทั้งมาตรา โดยไม่จำเป็นต้องมี ส.ส.ร. ขึ้นมา เนื่องจากตนไม่เห็นด้วยตั้งแต่แรกที่จะให้มีการร่างรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ ขณะนี้รัฐบาลหลอกประชาชนว่าแก้รัฐธรรมนูญแล้วจะเกิดความปรองดอง ซึ่งไม่เป็นความจริง
“พรรคเพื่อไทยอ้างว่าไปหาเสียงกับประชาชน ว่าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญ ซึ่งถ้าเป็นการเมืองในต่างประเทศ การหาเสียงแบบนี้ ถ้ามีคณะกรรมการควบคุมการเลือกตั้งจะยอมหรือเปล่า จะต้องโดนแจกใบแดงมาตั้งแต่ต้น ไม่อยู่มาถึงวันนี้แน่นอน” พล.ร.อ.สุรศักดิ์ กล่าว
พล.ร.อ.สุรศักดิ์กล่าวว่า ขณะนี้มีคนหากินแสวงหาความร่ำรวยจากประชาธิปไตย โดยหลอกประชาชนว่าต้องการทำในสิ่งที่ประชาธิปไตยยังขาดหายไป ซึ่งประชาธิปไตยที่ใช้กันอยู่ขณะนี้เป็นประชาธิปไตยแบบตัวแทน ขณะที่หลายๆ ประเทศใช้รูปแบบประชาธิปไตยทางตรง ถ้าเห็นว่ารัฐธรรมนูญปี 50 มีข้อบกพร่อง ก็ควรจะถามประชาชน โดยการทำประชามติ ซึ่งสามารถดำเนินการได้อย่างรวดเร็ว เพราะเรามีเครื่องมือสื่อสาร โซเชียลมีเดียใช้งบประมาณไม่มาก
“ อย่าอ้างว่าเป็นตัวแทนประชาชนแล้วมาอ้างแบบนี้ ขอให้เลิกหลอกลวงประชาชน แล้วแสวงหาความร่ำรวย ขอให้ประชาชนฉุกคิดว่าที่เดือดร้อน มานอนกินตามท้องถนนกินแล้วบ้านเมืองได้อะไร ตรงข้ามผู้นำมวลชนพากันร่ำรวย หากรัฐบาลต้องการแก้รัฐธรรมนูญทั้งกระบะต้องให้ประชานเข้าชื่อมา อย่าแสวงหาประโยชน์ให้ตนเองและพวกพ้อง ปัญหาชาติไม่ได้อยู่ที่รัฐธรรมนูญ แต่อยู่ที่คน และจากสถิติการสำรวจพบว่า ประชาชนมีความรู้เรื่องรัฐธรรมนูญน้อยมาก มีแค่ร้อยละ 2.1 เท่านั้น ขอวอนประชาชนว่า ก่อนลงประชามติขอให้ฉุกคิดว่าปัญหาที่เกิดขึ้นเพราะใคร อย่าทำเป็นลืม”
น.ส.รสนา โตสิตระกูล ส.ว.สรรหา อภิปรายว่า ตนได้สงวนคำแปรญัตติให้ ส.ส.ร.มาจากการเลือกตั้งจากประชาชนโดยตรงจำนวน 200 คน รวมทั้งให้มีการทำประชามติหลังจากที่มีการลงมติในวาระ 3 ว่าประชาชนจะเห็นด้วยกับการมี ส.ส.ร.หรือไม่ ทั้งนี้ ตนเคารพในตัวรัฐธรรมนูญปี 50 แต่การล้มเลิกโดยอ้างว่าเป็นรัฐธรรมนูญเผด็จการและไม่มีประชาธิปไตยถือว่าไม่สมควร และเป็นการดูถูกชาติกำเนิดของตัวเอง โดยในการโหวตรัฐธรรมนูญเมื่อปี 50 มี ส.ส.และ ส.ว.กว่า 30 เปอร์เซ็นต์ ที่โหวตแบบขอไปที ดังนั้น ควรจะให้มีการลงประชามติขอความเห็นชอบจากประชาชนที่เป็นเจ้าของอำนาจอธิปไตยตัวจริง ประชาชนเลือกเราเข้ามาเป็นตัวแทนประชาชน แต่เราเข้าใจผิดว่าเราไปรับสัมปทานอำนาจอธิปไตยที่จะทำอะไรก็ได้ การอ้าง รัฐธรรมนูญแบบหัวหมอเพื่อล้มล้างรัฐธรรมนูญเป็นสิ่งที่ขัดกับรัฐธรรมนูญ ทั้งนี้ ตนไม่เห็นด้วยหากจะไม่มีการทำประชามติเพื่อไปยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่
“หากโหวตในวาระ 3 โดยที่ไม่มีการแก้ไขตามที่เสนอให้มีการทำประชามติก่อนยกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ ดิฉันขอประกาศจุดยืนในฐานที่เป็นเสียงข้างน้อยว่าจะไม่เห็นด้วยในวาระ 3 และยืนยันว่าเรื่องนี้ถึงศาลรัฐธรรมนูญแน่ ที่ผ่านมามีแต่ประเทศไทยชอบอ้างว่าชาติกำเนิดของรัฐธรรมนูญไม่ดีแล้วชอบฉีกทิ้ง ทั้งนี้ ไม่มีรัฐธรรมนูญฉบับไหนเขียนขึ้นมาเพื่อล้มล้างตัวเอง เพราะคนที่ทำเหมือนเป็นเชื้อพันธุ์นอกสังคมมาแทรกแซงร่างกายเราแล้วงอกใหม่มาทำร้ายร่างกายเดิม ดิฉันเห็นว่ารัฐธรรมนูญแก้ไขทุกมาตราได้ แต่ไม่ใช่ให้ฉีกทิ้ง” น.ส.รสนากล่าว
นายวันชัย สอนศิริ ส.ว.สรรหา เสนอให้ ส.ส.ร. 200 คนมาจากการเลือกตั้งโดยตรง กล่าวว่า การที่กรรมาธิการแบ่งที่มา ส.ส.ร.ออกเป็นสองแบบ เพราะไม่ไว้ใจประชาชน และต้องการที่จะวางตัวให้ ส.ส.ร. 22 คน ที่มาจากการสรรหา เป็นตัวหลักในการจัดทำรัฐธรรมนูญตามที่ตนเองต้องการ ส่วน ส.ส.ร.ที่มาจากการเลือกตั้งจะเป็นแค่พระอันดับ
“รัฐบาลอ้างว่าต้องมีการยึดโยงกับประชาชน แต่กลับให้มีการเลือกตั้งแค่ 77 คน เหมือนคำที่ว่า เกลียดปูกินไข่ เกลียดปลาไหลกินน้ำแกง เพราะประชาชนต้องจำยอมรับ ส.ส.ร.สรรหา 22 คน ที่รัฐสภาล๊อกสเปกได้ ตอนนี้บางจังหวัดเขารู้แล้วว่าใครจะได้เป็น ส.ส.ร. และ ส.ส.ร.ก็จะถูกครหาว่าเป็นพวกเดียวกับรัฐบาล เป็นนอมินีให้กับพวกที่เลือกมา แต่ถ้าให้มาจากการเลือกตั้งทั้ง 200 คน จะทำให้ข้อครหาหมดไปและเป็นไปตามประชาธิปไตยอย่างแท้จริง”
นายวันชัยกล่าวว่า ตนมั่นใจว่ารัฐบาลไม่สามารถได้คนของตนเองเข้ามาทั้งหมด ทำให้เกิดความหลากหลายทุกสาขาอาชีพ นักวิชาการมีโอกาสได้รับเลือกตั้งเข้ามา ที่สำคัญไม่อยู่ภายใต้อาณัติรัฐบาลตามข้อกล่าวหา และรัฐบาลก็จะไม่ถูกกล่าวหาโจมตี และเป็นไปตามที่รัฐบาลแถลงว่าต้องการให้เป็นประชาธิปไตย และเอาประชาชนมาเป็นตัวตั้งจริงๆ
อย่างไรก็ตาม หลังจากเปิดโอกาสให้สมาชิกได้อภิปรายหลากหลายแนวทางแล้ว นายพีระพันธ์ พาลุสุข กรรมาธิการเสียงข้างมาก ชี้แจงว่า สมาชิกที่อภิปรายล้วนให้ยึดฐานประชากรเป็นเกณฑ์ว่าจะมี ส.ส.ร.จำนวนเท่าไหร่ แต่ร่างกรรมาธิการจะยึดหลักเขตการปกครองเพื่อให้ได้ ส.ส.ร.ที่มาจากเขตการปกครองโดยตรง ส่วนที่ให้มีการสรรหา ยังจำเป็นต้องมี ส.ส.ร.ผู้เชี่ยวชาญ ผู้ทรงคุณวุฒิอยู่ และ ส.ส.ร.ที่มาจากแต่ละจังหวัดต้องมีความเชื่อว่าตนเองเป็นตัวแทนจากประชาชนจริงๆ โดยทำหน้าที่เพียงผู้สื่อสารระหว่าง ส.ส.ร. กับประชาชนในพื้นที่ ด้วยการลงพื้นที่หาประชาชนทำประชาพิจารณ์เพื่อให้ประชาชนมีส่วนร่วมให้มากที่สุด สามารถให้คำปรึกษาหารือ หรือกดดันผ่าน ส.ส.ร.ของตนเอง เชื่อว่าจะได้ รธน.ที่ดี มีความเป็นเจ้าของ และรู้สึกหวงแหน ใครจะมาฉีกทิ้งง่ายๆ ไม่ได้อีก ดังนั้น กมธ.จึงสรุปจำนวนและที่มาตามสูตรดังกล่าว