ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ - นับจากเริ่มย่างเท้าเข้าสู่การเมืองเมื่อปลายปี 2543 ก่อนการเลือกตั้งใหญ่พ.ศ. 2544 จนกระทั่งบัดนี้ “เจ๊แดง เยาวภา วงศ์สวัสดิ์” เข้าสู่วงการเมืองเป็นเวลาเกิน 12 ปีแล้ว จัดเป็นนักการเมืองที่คร่ำหวอดคนหนึ่งได้
ตอนที่เข้าสู่การเมืองครั้งแรกๆ ในฐานะผู้อำนวยการพรรคไทยรักไทยภาคเหนือ ยังดูเป็นคนขี้อายไม่กล้าพูดต่อสาธารณะเท่าใด พรรษาทางการเมืองยังเยาว์เลยได้แค่ตำแหน่งจิ๋วๆ เช่น เลขานุการ รมว.ศึกษาธิการ หรือประธานกรรมาธิการอุตสาหกรรมเป็นเครื่องประดับบารมีน้องสาวหัวหน้าพรรค ในตอนนั้น เจ๊แดง ยังเหมือนกับดาวเคราะห์ที่ไม่มีแสงสว่างในตัวเอง ยังต้องยังแสงจากดวงอาทิตย์
ในยุคไทยรักไทย 2544-2549 เจ๊แดง ถูกเชิดขึ้นมาเป็นหัวหน้ามุ้งวังบัวบาน เพื่อคานอำนาจถ่วงดุลภายในกับกลุ่มวังน้ำเย็นของป๋าเหนาะ -เสนาะ เทียนทอง จังหวะนั้นเองที่ดาวเคราะห์เริ่มพัฒนากลายเป็นดาวฤกษ์ เริ่มเรียนรู้การใช้อำนาจบารมีและการจัดสรรแจกจ่ายทางการเมือง แต่ก็ยังเป็นวังบัวบานแบบกินแบ่งยังไม่พัฒนามาเป็นวังบัวบานแบบกินรวบในปัจจุบัน เพราะว่ายุคนั้นวังบัวบานยังเป็นแค่แหล่งรวมนักการเมืองที่คุมอำนาจท้องถิ่นภาคเหนือ ทั้งสมศักดิ์ เทพสุทิน-สุโขทัย วราเทพ รัตนากร-กำแพงเพชร อนุสรณ์ วงศ์วรรณ-ลำพูน ตระกูลเอื้ออภิญญกุล และวงศ์วรรณ เมืองแพร่ ลงไปถึงนักการเมืองระดับเขตยิบย่อยๆ ดังนั้นเวลามีการแต่งตั้งโยกย้ายข้าราชการจึงต้องกระจายกันไปตามความต้องการของแกนนำระดับพื้นที่
ไม่เหมือนกับยุคนี้ที่เจ๊แดงเบ่งบานมากบารมีกวาดนิ้วกินรวบ จึงมีแต่เจ้าพ่อท้องถิ่นแกนนำพื้นที่ต้องมาขอร้องเจ๊ช่วยจัดผู้การตำรวจ รองผู้ว่าฯ หรือผู้ว่าราชการจังหวัดคนนั้นคนนี้ลงพื้นที่ให้ เพราะเส้นทางโยกย้ายแทบทุกบัญชีมีศูนย์รวมอยู่ที่เจ๊เป็นคำตอบสุดท้าย
ยกตัวอย่าง “ยุทธ”นักการเมืองใหญ่มากเป็นที่กล่าวขวัญว่าเป็นมือซ้ายขวาของอดีตผู้นำอยากได้รองผู้ว่าฯที่หมายตาไว้คนหนึ่งมาลงที่เชียงราย ยังต้องรอคิวกว่า 2 ปี ถึงได้ดั่งใจ เพราะบารมีของ ด. ในตอนนี้สูงขึ้นกว่า ย. หลายเท่าตัวเสียแล้ว ความเกรงอกเกรงใจทางการเมืองจึงจำต้องลดลงไปเป็นธรรมดา
จุดเปลี่ยนของการเป็นเจ้าแม่ธรรมดาๆ ขึ้นมากลายเป็นซูเปอร์เจ้าแม่-ซูสีไทเฮาสั่งการหลังม่านการเมืองไทยเกิดขึ้นในยุคที่สมชาย วงศ์สวัสดิ์ ตัดทางโค้งแซงซ้ายปาดสมัคร สุนทรเวช นั่งเก้าอี้นายกรัฐมนตรีคนที่ 26 เนื้อแท้ของการช่วงชิงตำแหน่งระหว่างสมัคร-สมชาย ที่แท้คือการแข่งบารมีทางการเมืองของหัวหน้ามุ้งใหญ่ภายใต้ระบอบทักษิณ มุ้งเนวิน ชิดชอบ กับมุ้งเจ๊แดง เยาวภา ผลปรากฏว่าทักษิณ ชินวัตรตัดสินใจตอนท้ายแบบเลือดข้นกว่าน้ำยอมผิดคำพูดต่อสมัคร-เนวิน ผลักให้เนวินกบฏทัพออกไป ส่วนสมัครนอนเจ็บกับพวกเดียวกันจนตายแบบที่ทักษิณไม่เคยยกหูไปหา
หลังจากนั้นเป็นต้นมา แม้เจ๊แดงจะยังติดโทษแบนอยู่กับบ้านเลขที่ 111 แต่ในการเมืองหาใช่ปัญหาแต่อย่างใดถนนการเมืองทุกสายจึงวิ่งเข้าหาเจ๊แดงโดยไร้ผู้มีบารมีอื่นในพรรคมาเทียบ ในระหว่างนั้นการเมืองไทยเริ่มเข้าสู่โหมดแดงทั้งแผ่นดินมีการประท้วงใหญ่ก่อจลาจลในสมัยรัฐบาลอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะถึง 2 ปีซ้อน ดูเผินๆ เหมือนดุลการเมืองในระบอบทักษิณจะตกทางแกนนำม็อบแต่ที่สุดเมื่อมีการเลือกตั้งดุลอำนาจทั้งหลายก็เทกลับมาสู่เจ๊แดงอยู่ดี
หลังจากพรรคเพื่อไทยชนะเลือกตั้งเมื่อ 2554 จึงเข้าสู่ยุคทองของวังบัวบาน ไม่มียุคไหนสมัยไหนจะเบ่งบานอู้ฟู่ไหลมาเทมาเท่ากับยุคนี้ เจ๊แดงขยายบารมีออกไปแทบจะครอบคลุมภาคเหนือทั้งภาคเพราะล่าสุดสมศักดิ์ เทพสุทินก็เข้ามาสวามิภักดิ์นำทัพสุโขทัยมาร่วม ยังกล่าวได้ว่ามีน้ำหนักในการชี้เป็นชี้ตายตำแหน่งสำคัญๆ ที่หมุนกลไกราชการแผ่นดินภาคเหนือทั้งตำรวจ ฝ่ายปกครอง หัวหน้าส่วนงานแม้กระทั่งกองทัพภาคที่ 3 ก็ยังต้องโอนอ่อนผ่อนตามในบางตำแหน่ง
ผลจากการนี้ทำให้คนในเครือข่ายของเจ๊พลอยใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่มตามไปด้วย บุญทรง เตริยาภิรมย์ คนสนิทที่ติดตามกันมาแต่ครั้งเป็น ส.ส.ใหม่ อุตส่าห์เดินตามเป็นคนสนิทของสมชาย วงศ์สวัสดิ์ระหว่างมีม็อบมาไล่เลยได้สมนาคุณเก้าอี้ใหญ่เป็น รมว.พาณิชย์ดูแลจำนำข้าวกันอย่างอิ่มหมีพีมัน นอกจากนั้นในทางการบริหารพรรคบุญทรงยังมีตำแหน่งเป็นประธานโซนภาคเหนือตอนบน ซึ่งที่แท้ใครก็รู้ว่าคนที่กำกับโซนภาคเหนือตอนบนเป็นคำตอบสุดท้ายก็คือเจ๊นั่นเอง
ไม่กี่ปีก่อนเจ๊แดงเสียฟอร์มเล็กๆ ในการเลือกตั้งซ่อมจังหวัดลำพูนที่ขยัน วิพรหมชัย จากปชป.เอาชนะ เพชรวรรต วัฒนพงศ์ศิริกุล ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทยได้ แต่ในการเลือกตั้งล่าสุดลำพูนก็เป็นของพรรคเพื่อไทยเบ็ดเสร็จ 100% ตามเดิม เรียกบารมีเจ้าแม่วังบัวบานกลับคืนมาตามเป้า คนเสื้อแดงรู้กันว่าเจ๊แดงไม่ปลื้ม เพชรวรรต แกนนำเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 เท่าใดนักการเลือกตั้งรอบนั้นจึงไม่ได้ “ประสาน” ทุ่มเทให้ แต่คนเชียงใหม่หลายคนแอบปรบมือให้เจ๊แดงที่ทำให้กลุ่มเสื้อแดงรักเชียงใหม่ 51 ที่ออกไประรานฝ่ายตรงข้ามบ่อยๆ ถูกปรามให้รามือลงคืนความสงบให้สังคมเชียงใหม่ได้
ในการเลือกตั้งซ่อมแทนเกษม นิมมลรัตน์ที่ลาออกไปครั้งนี้ ฟันธงว่าเจ๊แดงนอนมาแบบไม่มีปัญหาเพราะเชียงใหม่กลายเป็นเมืองหลวงคนเสื้อแดงภาคเหนือ เป็นเมืองส่วนตัวของเจ๊ไปแล้วก็ว่าได้ เพราะเจ๊จัดกำลังคุมกลไกทุกชนิดไม่ว่าสายราชการ สายปกครองท้องถิ่นจนอยู่หมัด
เจ๊แดง-เยาวภาคุมเชียงใหม่เบ็ดเสร็จไม่น้อยหน้ากว่ายุคที่บรรหารเบ่งบานคุมสุพรรณบุรีเบ็ดเสร็จขนเขาล้อกันว่าเป็นเมืองบรรหารบุรี
สำหรับคนเสื้อแดงเข้มที่เป็นแฟนพันธุ์แท้ของระบอบทักษิณเผลอๆ เรียกชื่อจังหวัดนี้ใหม่เป็น นครนพบุรีศรีพิงค์เยาวภาเชียงใหม่ เลยก็ยังไหว !!!
เพราะแม้แต่การประชุมระดมความคิดเห็นแนวทางขับเคลื่อนยุทธศาสตร์การพัฒนาเมืองเชียงใหม่สู่เมืองมรดกแห่งล้านนา (The Glory of Lanna Heritage) เมื่อ 21 ต.ค.55 ที่ผ่านมา “เจ๊แดง” ก็นั่งหัวโต๊ะ ขนาบข้างขวาด้วย ธานินทร์ สุภาแสน ผู้ว่าฯเชียงใหม่ และบุญเลิศ บูรณุปกรณ์ นายก อบจ. ที่มีนายกฯไก่ - ทัศนัย บูรณุปกรณ์ เป็นนายกเทศมนตรีนครเชียงใหม่ รวมถึงหลานสาวเป็น 1 ใน ส.ส.เพื่อไทย เชียงใหม่ นั่งขนาบด้วย ท่ามกลาง ส.ส.เชียงใหม่ -ผู้แทนภาคราชการทั้งส่วนกลางและส่วนภูมิภาค -ภาควิชาการ -สถาบันการศึกษา -ภาคเอกชน และองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น ที่แห่เข้าร่วมแน่นห้อง
ข้อถกแถลง-ความคิดเห็นต่าง ๆ ดูเหมือนจะไม่ใช่เรื่องใหม่ แต่เป็นไปในลักษณะประสานแผนพัฒนาท้องถิ่น ภายใต้ยุทธศาสตร์การบริหารงานของผู้ว่าฯเชียงใหม่ (เพื่อนร่วมรุ่น) เพื่อทำให้เชียงใหม่เป็นจุดหมายของการท่องเที่ยว การศึกษา การทำงานและการลงทุน และการสร้างสมดุลวิถีชีวิตล้านนากับยุคสมัยปัจจุบัน และรองรับการเข้าสู่ประชาคมอาเซียน ในปี 2558
ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นเพื่อนร่วมรุ่น มช. ตอนเจ๊แดงเป็น ส.ส.เขต 2 สารภีครั้งแรกปี 2544 ก็ขอย้ายนายธานินทร์ สุภาแสนคนนี้มาเป็นนายอำเภอสารภีฐานเสียงของตน 11 ปีให้หลังก็ย้ายนายธานินทร์คนเดิมมาเป็นผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไม่เพียงเท่านั้นกลไกประสานงานระดับรองลงมาก็ต้องมีเช่นกัน รองผู้ว่าฯ ย้ายมาใหม่ เจริญฤทธิ์ สงวนสัตย์ โตมาทางสายคุมการปกครองท้องถิ่นก็ข้ามมาจากกรมส่งเสริมปกครองท้องถิ่นมาเป็นรองผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ ไม่รู้ว่าด้วยเพราะเป็นเพื่อนร่วมรุ่นมงฟอร์ตของบุญทรง เตริยาภิรมย์ หรือเพราะปัจจัยอื่นใด (บุญทรงจบ ม.3มงฟอร์ตแล้วไปต่อต่างประเทศ) ส่วนตำรวจไม่ต้องพูดถึงเพราะทั้งภาคเป็นตำรวจสีแดงอยู่แล้ว
ในภาคการเมืองท้องถิ่นแท้จริงแล้วเจ๊แดงก็มีกลุ่มสายตรงของตัวเองกางมุ้งฝากไว้กับตระกูลบูรณุปกรณ์ ซึ่งคุมทั้ง อบจ.และเทศบาลนครเชียงใหม่ ขนาดที่มี ส.อบจ. และ ส.ท.สายตรงของตัวเองอยู่ในทีม กรณีเกษม นิมมลรัตน์ ชัดเจนที่สุดเพราะหลังจากที่รับตำแหน่งผู้เชี่ยวชาญประจำ ส.ส.เยาวภาแล้วก็โยกมาเป็นที่ปรึกษา อบจ.และรอบนี้ก็สามารถเจรจาภายในปรับให้เป็นรองนายก อบจ.ได้อย่างง่ายดาย พื้นที่การเมืองท้องถิ่นเชียงใหม่หาได้มีแต่ตระกูลบูรณุปกรณ์ เท่านั้น เพราะแท้จริงแล้วอำนาจบารมีในองค์กรปกครองท้องถิ่นของตระกูลบูรณุปกรณ์ในเชียงใหม่มีเครือข่ายของเจ๊แดงรวมเข้าไปด้วย
ถ้าจะมีใครใหญ่กว่าเจ๊แดงในตอนนี้ เห็นจะมีอยู่คนเดียวคือพี่ชายที่อยู่นอกประเทศและเริ่มมีบทบาทนำในพรรคเพื่อไทยมากขึ้นๆ ระดับที่จะสไกป์มาสั่งการในการประชุมพรรคทุกนัด
ตอนที่เจ๊แดงเริ่มบทบาทหัวหน้ามุ้งวังบัวบานเมื่อปี 2545 ก็เพื่อคานหรือดุลอำนาจภายในพรรคกับกลุ่มวังน้ำเย็น การกลับเข้ามาเป็น ส.ส.ของเจ๊แดงรอบนี้เหมือนจะซ้ำรอยภารกิจเดิมเมื่อ 10 กว่าปีก่อนนั่นคือพี่ชายต้องการให้เข้ามาดุลและอุดช่องโหว่อำนาจในพรรคเพื่อไทย ที่ นายกฯยิ่งลักษณ์เหมือนจะเป็นตัวของตัวเองมมากขึ้นหลายๆ เรื่องไม่ทำตามใบสั่งโดยเฉพาะตำแหน่งสำคัญในรัฐบาลที่ดูเหมือนว่าเธอเชื่อมั่นในคนของตัวเองมากกว่าคำแนะนำจากแดนไกล และเพื่อเป็นอะไหล่สำรองกรณีเกิดอุบัติเหตุทางการเมืองกับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ที่ถูกปปช.สอบเรื่องทุจริตและปกปิดบัญชีทรัพย์สินในตอนนี้
บารมีของเจ๊แดงเป็นรองแค่คนแดนไกล เดินหมากทำภารกิจการเมืองตามที่คนแดนไกลเห็นชอบ แต่ยังไงเสียรัศมีของเจ้าแม่วังบัวบานในนาทีนี้ไม่เป็นรองน้องสาวที่ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอยู่แน่ๆ บุญทรง เตริยาภิรมย์ ดำเนินเรื่องจำนำข้าวเสียหายแล้วเสียหายอีก ขนาดที่ทำให้กระทรวงการคลัง เกิดปัญหาหมุนเงินมาเติมให้ธนาคาร ธ.ก.ส.ไม่ทัน และขนาดที่ทำให้ปปช.เข้ามาสอบพุ่งเป้าไปที่นายกฯยิ่งลักษณ์ ในฐานะประธานกรรมการนโยบายข้าว แต่เก้าอี้ของบุญทรง เตริยาภิรมย์ก็ยังเหนียวแน่น การเป็นผู้อำนวยการเลือกตั้งซ่อมแต่ละครั้งวงการเมืองย่อมรู้ดีว่าผู้ที่ทำหน้าที่นี้ต้องเป็นถุงเงินหรือเป็นเอเย่นต์หาเงินเพื่อมาทำกิจกรรมการเมืองนั้นๆ ให้พรรคพร้อมกันไปด้วย