ASTVผู้จัดการรายวัน-ผบ.ตร. เซ็นคำสั่งตั้ง "ชัชวาลย์" สอบเอาผิด รายการ "ตอบโจทย์" พร้อมสั่งทุกโรงพัก เปิดรับแจ้งความ หากมีผู้ร้องทุกข์กล่าวโทษ "หงอกศักดิ์"ไม่จบ โพสต์เฟซบุ๊กบอกที่พูดยังเบาไป เย้ยทำไมมีแต่พวกขวัญอ่อน สื่อนอกตีข่าว คนไทย กองทัพ สุดเดือด หลังแพร่เนื้อหาล้มเจ้า "เหลิม"ทำดุ สั่งสอบพบใครผิดฟันให้หมด
วานนี้ (21 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวถึงกรณีการตรวจสอบเทปและบทสนทนารายการ "ตอบโจทย์ประเทศไทย" ของสถานีโทรทัศน์ ไทยพีบีเอส ว่า เบื้องต้นฝ่ายกฎหมายได้ตรวจสอบเทปรายการดังกล่าว ซึ่งมีนายภิญโญ ไตรสุริยธรรม เป็นผู้ดำเนินรายการ โดยเฉพาะในตอนที่ 4 และ 5 ซึ่งมีนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล และนายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ เป็นผู้ร่วมรายการ พบว่า มีถ้อยคำบางช่วงบางตอนของผู้ร่วมรายการน่าจะเข้าข่ายผิดกฎหมายอาญา พล.ต.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. จึงได้มีคำสั่ง ตร. ที่ 192/2556 ลงวันที่ 21 มี.ค.2556 แต่งตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน เพราะเห็นว่าเรื่องดังกล่าวเป็นเรื่องสำคัญและเกี่ยวกับความมั่นคงในราชอาณาจักร รวมถึงอยู่ในความสนใจของประชาชน
สำหรับคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนดังกล่าว มี พล.ต.อ.ชัชวาลย์ สุขสมจิตร ที่ปรึกษา (สบ10) ฝ่ายกฎหมาย เป็นหัวหน้าคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน พล.ต.ท.สฤษฎ์ชัย เอนกเวียง ผบช.ส เป็นรองหัวหน้าพนักงานสืบสวน โดยมีคณะทำงานชุดสืบสวนจำนวน 50 นาย ประกอบด้วย ชุดสืบสวนจากสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ซึ่งเป็นพื้นที่เกิดเหตุ และกองบัญชาการตำรวจสันติบาล โดยให้เร่งดำเนินการสืบสวนสอบสวนโดยเร็วที่สุดว่าการกระทำดังกล่าวเข้าข่ายความผิดตามกฎหมายอย่างไรหรือไม่ และหากการสืบสวนสอบสวนมีหลักฐานเชื่อมโยงถึงบุคคลใดก็จะดำเนินคดีตามกฎหมาย โดยให้รายงานความคืบหน้าทุก 30 วัน
พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า รายการดังกล่าวมีการเผยแพร่ต่อสาธารณะ มีการนำถ้อยคำมาขยายความต่อในสื่อออนไลน์ ผบ.ตร.จึงได้กำชับให้ทุกสถานีตำรวจทั่วประเทศรับแจ้งความ หากมีผู้ร้องทุกข์หรือกล่าวโทษก็ให้พนักงานสอบสวนดำเนินการสอบสวน สอบปากคำบุคคลนั้นไว้เบื้องต้นก่อนส่งบันทึกคำให้การส่งมายัง พล.ต.อ.ชัชวาลย์ เพื่อดำเนินการ เนื่องจากเป็นคดีประเภทเดียวกัน งานจะได้ไม่ซ้ำซ้อน ทั้งนี้ ฝากเตือนประชาชนที่นำข้อความหมิ่นเหม่ไปเผยแพร่ต่อผ่านทางสื่อออนไลน์ก็อาจมีความผิดตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ด้วย
ผู้สื่อข่าวถามว่ากรณีดังกล่าวเป็นความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หรือไม่ พล.ต.ต.ปิยะ กล่าวว่า ตนไม่ทราบรายละเอียดว่ากรณีนี้เข้าข่ายความผิดกฎหมายฐานใด เพียงแต่ฝ่ายกฎหมายพิจารณาแล้วเห็นว่ามีเหตุผลเพียงพอที่ตั้งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวน โดยอาจจะผิดกฎหมายเพียงมาตราเดียวหรือหลายมาตราก็ได้ ซึ่งคณะพนักงานสืบสวนสอบสวนชุดนี้จะดูทั้งความผิดอาญาต่อแผ่นดิน ซึ่งมาตรา 112 ก็อยู่ในข่ายนี้ และความผิดส่วนตัว โดยหากถ้อยคำที่พูดในรายการไปพาดพิง ตัวบุคคลและพรรคการเมือง หากผู้ที่ได้รับความเสียหายร้องทุกข์ คณะพนักงานสืบสวนสอบสวนก็ดำเนินการได้เช่นกัน
**"หงอกศักดิ์"โพสต์เฟซบอกพูดเบาไป
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า วานนี้ (21 มี.ค.) เพซบุ๊กส่วนตัวของนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล ได้โพสต์ข้อความ โดยระบุว่า "ที่ตลกร้าย คือ หลังอัดเทปเสร็จ จนกระทั่งดูที่ฉาย ผมยังมาถามตัวเองบ่อย (พูดให้เพื่อน 2-3 คนฟังด้วย) ว่า เอ เราพูด "เบา" ไปหรือเปล่าหว่า ในความหมายที่ว่า ประเด็นที่พูดพยายามทำให้มันกว้างๆ ที่สุดแล้ว น่าเสียดายหรือเปล่านะ ที่ไม่พูดให้มันเข้มกว่านั้น (อย่างทีเคยเขียนไปแล้วว่า ผมรู้ตัวและจงใจไม่พูดให้มันแหลมคมมาก เพราะ (ก) ไม่ต้องการให้คนทำรายการและสถานีเดือดร้อน และ (ข) ไม่ต้องการว่า ถ้ามันแหลมคมมากไป เขาต้องไป "หั่น" แล้วอาจจะทำให้เนื้อหาเสียได้) และก็หวังว่า เอาเท่านี้ เผื่อจะเป็นจุดเริ่มต้น ของการที่สื่อสาธารณะ จะได้ทำหน้าที่สมเป็นสื่อสาธารณะ คือ หวังว่า ช่องอื่นๆ และไทยพีบีเอสเอง หลังจากนี้ จะได้ทำรายการในลักษณะนี้อีก เฮ้อ ก็นึกไม่ถึงในความเป็นทารกของคนรักเจ้าบ้านเราอ่ะนะ ขวัญอ่อนจริงๆ กลัวอะไรกันนักหนาฟะ"
**ลิ้วล้อออกแถลงการณ์หนุนไทยพีบีเอส
วันเดียวกันนี้ ขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม ออกแถลงการณ์ ยื่นข้อเสนอต่อ องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ดังนี้
1.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ต้องทำหน้าที่ในการเป็นสื่อสาธารณะ ที่ตอบสนองและรับใช้คนทุกกลุ่มในสังคม อย่างเท่าเทียม
2.องค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ต้องมีความกล้าที่จะนำเสนอปัญหาของสังคม อย่างอิสระ รอบด้าน เพื่อผลประโยชน์ของคนทุกส่วนในสังคม
3.คณะผู้บริหารองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ต้องมีความกล้าความเป็นกลาง และความอิสระ จากทุน และกลุ่มการเมือง ซึ่งต้องมีความหนักแน่น และมั่นคง
4.สังคมไทย ยังมีความจำเป็นที่จะต้องมีสื่อสาธารณะ ซึ่งองค์การกระจายเสียงและแพร่ภาพสาธารณะแห่งประเทศไทย (ส.ส.ท.) ทำหน้าที่นี้ดีอยู่ แล้ว และควรทำให้ดีมากกว่านี้
***สื่อนอกตีข่าวคนไทย-กองทัพฉุน
ผู้สื่อข่าวรายงานอีกว่า สื่อต่างประเทศหลายสำนัก รายงานโดยระบุรายการ “ตอบโจทย์” ที่ถูกเผยแพร่ผ่านทาง “ไทยพีบีเอส” สถานีโทรทัศน์สาธารณะของไทย ได้สร้างความขุ่นเคืองให้กับทั้งกองทัพและสังคมไทยเป็นวงกว้าง หลังเนื้อหาของรายการดังกล่าวมีการเจตนาเสนอแนวคิดเกี่ยวกับการ “จำกัดบทบาท” ของสถาบันพระมหาษัตริย์ อันเป็นศูนย์รวมจิตใจของคนไทยทั้งชาติ
รายงานจากสื่อสิ่งพิมพ์เก่าแก่ของสหรัฐฯ อย่างหนังสือพิมพ์รายวัน “ ชิคาโก ทริบูน” ซึ่งก่อตั้งมาตั้งแต่ปี 1847 และมียอดจำหน่ายกว่าวันละ 425,370 ฉบับ รวมถึงสำนักข่าวชื่อดังอย่างรอยเตอร์ ระบุว่า การเผยแพร่เนื้อหาที่กระทบจิตใจของคนไทยโดยรายการโทรทัศน์ดังกล่าว เกี่ยวกับการเสนอให้มีการแก้ไข “กฏหมายมาตรา 112” ได้สร้างความโกรธแค้นและเรียกเสียงประณามจากกองทัพและประชาชนชาวไทย
รายงานของสื่อต่างประเทศระบุว่า เนื้อหาที่ถูกเผยแพร่อย่างต่อเนื่องของรายการดังกล่าวในตอนที่ใช้ชื่อ “สถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ” ก่อให้เกิดการประท้วงจากกลุ่มคนไทยผู้รักชาติ จนทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสที่เป็นผู้ผลิตรายการต้องตัดสินใจเลื่อนและยุติการออกอากาศรายการเมื่อคืนวันจันทร์ (18มี.ค.) ที่ผ่านมา
ขณะเดียวกัน ผลจากการออกอากาศเนื้อหาที่เต็มไปด้วยความขัดแย้งยังทำให้ พลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบกของไทยต้องออกมาตั้งคำถามถึงความเหมาะสมของเนื้อหา ที่เผยแพร่ในช่วงที่ประเทศไทยยังคุกรุ่นด้วยไฟแห่งความขัดแย้ง โดยผู้บัญชาการทหารบกของไทยได้กล่าวผ่านสื่อมวลชนโดยระบุว่า ผู้ใดที่ไม่รักประเทศชาติ ไม่รักสถาบัน สมควรไปหา “แผ่นดินอื่น” อยู่
ในอีกด้านหนึ่ง โจชัว เคอร์แลนต์ซิค คอลัมนิสต์ชื่อดังด้านนโยบายและกิจการระหว่างประเทศแห่งองค์กร “ Council on Foreign Relations” หรือ “ซีเอฟอาร์” ซึ่งมีฐานอยู่ในมหานครนิวยอร์กของสหรัฐฯ ออกมาระบุว่า ตลอดระยะเวลากว่า 2 สัปดาห์ที่ผ่านมา การเผยแพร่รายการที่มีเนื้อหากระทบจิตใจชาวไทยของสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสได้ก่อให้เกิดการถกเถียงเป็นวงกว้างในสังคมไทย รวมถึงในประชาคมระหว่างประเทศที่ศึกษาเกี่ยวกับประเทศไทย พร้อมตั้งคำถามว่า สิ่งที่เกิดขึ้นทำให้สังคมไทยก้าวหน้าขึ้นหรือถอยหลังเข้าคลอง
**กสทช. เผย เทปตอบโจทย์อาจผิดกฎหมาย
พล.ท.ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) ในฐานะประธานอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ กล่าวกับสำนักข่าว ไอ.เอ็น.เอ็น.ถึงการดำเนินการตรวจสอบเนื้อหารายการ "ตอบโจทย์ประเทศไทย ตอน สถาบันพระมหากษัตริย์ ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ออกอากาศผ่านทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส และมีเนื้อหาพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัติรย์ โดยเรื่องดังกล่าวหมิ่นเหม่เข้าข่ายผิดมาตรา 37 แห่งพ.ร.บ.ประกอบกิจการกระจายเสียงและกิจการโทรทัศน์ พ.ศ. 2551 ซึ่งทางอนุกรรมการด้านผังรายการและเนื้อหารายการ จะต้องตรวจสอบต่อไป โดยที่จะต้องมีการนำมาตรา 37 ดังกล่าว มาเทียบเคียงให้เกิดความชัดเจน แต่ส่วนตัวคาดว่า หากกรณีดังกล่าว เข้าข่ายผิดมาตรา 37 จริง ก็ไม่น่าจะถึงขั้นเพิกถอนใบอนุญาต ซึ่งหากมีการตรวจสอบแล้วเห็นว่า การกระทำดังกล่าว เกิดจากการละเลยของผู้ได้รับใบอนุญาตนั้น ทางคณะกรรมการ ก็มีอำนาจในการพักใช้ใบอนุญาต หรือสามารถเพิกถอนใบอนุญาตได้
**"เหลิม"ทำดุ สั่งสอบ เจอผิดฟันทิ้งหมด
ที่ทำเนียบรัฐบาล ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า กรณีที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส โดยรายการตอบโจทย์นำเรื่องสถาบันพระมหากษัตริย์มาพูด ตนสั่งถอดเทปแล้ว ถ้าพบการกระทำผิดจับกุม เพราะรัฐมีหน้าที่ตามรัฐธรรมนูญมาตรา 77
“ไอ้พวกที่ออกมาพูดว่าตำรวจไปถอดเทปเป็นการละเมิดสิทธิ ไอ้พวกปากพล่อย ก็รัฐธรรมนูญเขาเขียนไว้ เมื่อวันที่ 20 มี.ค. ผมไปประชุมที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (สตช.) ได้สั่งพล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ไปแล้ว ถอดเทปมาให้ละเอียด แล้วเอามาให้ผมนั่งอ่าน จะเอาทีมกฎหมายของผมมาดู ไม่ว่าจะเป็นอาจารย์ ไม่ว่าจะเป็นพิธีกร ไม่ว่าใครๆ ผิด ก็ดำเนินคดี แล้วผมรับผิดชอบ รัฐบาลไม่ต้องรับผิดชอบ เพราะผมมีหน้าที่ดูแลสตช. แต่ถ้าไม่ผิดก็จบ แล้วไม่มีงานทำหรือที่มาวิพากษ์วิจารณ์สถาบัน มันเป็นสิทธิ แต่สิทธิก็ต้องมีขอบเขต ประเทศไทยคนมีตั้ง 64 ล้านคน มาฟุ้งซ่านอยู่กับพวกไม่กี่คน” ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
ผู้สื่อข่าวถามว่า ผู้จัดรายการบอกว่าทำไปเพื่อปกป้องสถาบัน ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า ข้อเท็จจริงมันมี ถอดเทปมาเอามาดู ก็รู้ว่าคุณทำอะไร
เมื่อถามว่า หากพบว่ามีความผิดจะจับหมดเลยใช่หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิมกล่าวว่า จับ กฎหมายไม่ได้ห้ามว่าชื่อนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ผู้ดำเนินการรายการตอบโทย์ ทำผิดแล้วไม่ถูกจับ หรือนายสมศักดิ์ เจียมธีรสกุล อาจารย์มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ นายสุลักษณ์ ศิวลักษณ์ ปัญญาชนสยาม ไม่ใช่ ตนไม่ได้ขู่ เพราะเรื่องเกิดขึ้นแล้ว รัฐบาลไม่ทำก็ไม่ได้ เพราะมีรัฐธรรมนูญมาตรา 77
**จวก "ส.ศิวรักษ์"อย่ากล่าวหา ผบ.ทบ.
พ.อ.วินธัย สุวารี รองโฆษกกองทัพบก กล่าวถึงกรณีที่นายสุลักษณ์ ศิวรักษ์ ระบุผ่านรายการ "ตอบโจทย์” ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ว่า ทหารกำลังจะทำตัวเป็นเจ้าของประเทศ ทหารไม่มีสิทธิ์มาแสดงความคิดเห็นอะไรผ่านสื่อ นักวิชาการฉลาดกว่าทหารทุกคน และกล่าวหาว่า ทหารไม่ได้ฝึกมาเพื่อการรบ ทหารฝึกมาอย่างเดียว คือ เรื่องเซ็งลี้หากินว่า เรื่องนี้ไม่น่าพูดเชิงกล่าวหาโดยปราศจากหลักฐานที่ชัดเจน โดยเฉพาะการจินตนาการกล่าวพาดพิงกระทบองค์กรอื่น ทั้งนี้ ขอให้สังคมได้มั่นใจว่า พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นอกจากเป็น ผบ.ทบ. แล้ว ท่านยังมีสถานะเป็นประชาชนคนไทยมีความปรารถนาดีต่อชาติบ้านเมือง จึงมีสิทธิอันชอบธรรมที่จะสะท้อนความคิดเห็นในมุมมองของกองทัพเกี่ยวกับประเด็นต่างๆ ที่มีผลกระทบต่อสังคม ส่วนเรื่องความฉลาดรอบรู้ของแต่ละสาขาอาชีพนั้น ในข้อเท็จจริงเป็นเรื่องที่เปรียบเทียบได้ยาก ที่สำคัญกองทัพบกไม่เคยมองว่าใครฉลาดกว่าใคร คำนึงแต่เพียงว่าจะฉลาดหรือไม่ฉลาดก็ต้องทำงานเพื่อสังคม ประเทศชาติและประชาชน
** เตือน“หมอเหวง”เคารพกติกาสังคม
สำหรับกรณี นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทยและแกนนำ นปช.เตือน ผบ.ทบ.อย่าใช้โทสะไล่คนไปอยู่ต่างประเทศ ถ้าประชาชนมาไล่ทหารที่ฆ่าคนไปอยู่ต่างประเทศบ้างจะทำอย่างไร พ.อ.วินธัย กล่าวว่า ปกติทุก สังคมจะมีกฎกติกาที่ใช้เป็นกรอบให้คนส่วนใหญ่ยึดถือปฏิบัติ สำหรับใครที่ไม่พอใจหรืออึดอัดกับกฎกติกาดังกล่าว ก็น่าจะมองหาสังคมอื่นที่คิดว่าเหมาะกับตัวเองได้ ไม่ควรมองว่ากฎกติกาของสังคมนั้นผิด จึงต้องแก้ไขโดยไม่จำเป็น ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยอมรับกฎกติกาได้ จึงอยากให้มองว่าเป็นการแนะนำทางออกให้มากกว่า
“ไม่ควรใช้ดุลยพินิจส่วนตัวมากล่าวหาทหาร เพราะไม่มีทหารที่ไหนจะทําร้ายประชาชน และที่ผ่านมาทหารปฏิบัติโดยยึดตามกรอบกฎหมายเป็นหลักอาจส่งผลกระทบให้บางคนไม่พอใจบ้างขอให้มองอย่างเป็นธรรม ทหารถูกกลุ่มผู้ไม่หวังดีทําร้ายเช่นกัน ดังนั้น จึงไม่ควรพูดกล่าวหากันไปมาแบบเด็กๆ ควรปล่อยให้เป็นเรื่องของกระบวนการยุติธรรมเหมาะสมกว่า ทั้งนี้ กองทัพบกวางตัวอยู่ในกรอบกติการอการพิสูจน์ข้อเท็จจริงที่ถูกกล่าวหาด้วยความอดทน”พ.อ.วินธัย กล่าว
**นายกฯโยนเจ้าหน้าที่ดูแลเรื่องหมิ่นสถาบัน
น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ให้สัมภาษณ์ถึงท่าทีของรัฐบาลในการปกป้องสถาบันฯ ว่า ในส่วนของเจ้าหน้าที่ที่ดูแล ต้องนำเรื่องต่างๆ เหล่านี้ไปพิจารณาก่อน
เมื่อถามว่ากังวลหรือไม่เพราะมีการออกมาพูดหมิ่นสถาบันกันมากขึ้นในช่วงนี้ นายกฯ ไม่ได้ตอบคำถามดังกล่าว พยายามเดินเลี่ยงออกจากกลุ่มผู้สื่อข่าวทันที