ผบ.ตร.สั่งหน่วยงานที่เกี่ยวข้องถอดเทปเนื้อหารายการ “ตอบโจทย์ประเทศไทย” เพื่อตรวจสอบ พร้อมจับตาความเคลื่อนไหวบนโซเชียลเน็ตเวิร์ก ลั่นจะนั่งหัวโต๊ะพิจารณาด้วยตนเอง คาดใช้เวลา 2-3 วันรู้ผล
วันนี้ (20 มี.ค.) ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ (ตร.) พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ (ผบ.ตร.) กล่าวถึงกรณีรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ทางสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ตอนสถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ว่าตนได้ดูรายการดังกล่าวแค่บางตอน จึงไม่สามารถตอบได้ว่าเนื้อหารายการเข้าข่ายผิดกฎหมายหรือไม่ ต้องขอตรวจสอบอย่างละเอียดก่อน โดยขณะนี้ให้สันติบาลและฝ่ายกฎหมายไปดำเนินการถอดเทปเนื้อหารายการทั้งหมดแล้ว และตนจะนั่งหัวโต๊ะพิจารณาเนื้อหาเองทุกๆ ด้าน คาดว่าจะใช้เวลา 2-3 วัน หากมีเนื้อหาส่อเสียดหรือผิดกฎหมายก็ต้องดำเนินคดี ส่วนจะต้องเรียกผู้ดำเนินรายการ โปรดิวเซอร์ หรือผู้บริหารสถานีมาสอบปากคำหรือไม่ขอพิจารณาเนื้อหาก่อน อย่างไรก็ตาม ได้สั่งให้เจ้าหน้าที่จับตาเนื้อหาในโซเซียลเน็ตเวิร์กที่อาจมีบางกลุ่มนำเนื้อหาไปขยายผลหรือยุยงให้เกิดความขัดแย้งเพิ่มขึ้นแล้ว โดยการข่าวเบื้องต้นรายงานว่ายังไม่มีความเคลื่อนไหวอะไร
ด้าน พล.ต.ต.ปิยะ อุทาโย โฆษกสำนักงานตำรวจแห่งชาติ กล่าวว่า เรื่องนี้สำนักงานตำรวจแห่งชาติ ไม่ได้นิ่งนอนใจ พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.ได้สั่งการตั้งแต่ทราบเหตุ และนัดประชุมทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง ทั้ง พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร. ด้านกฎหมาย, พล.ต.ท.สฤษณ์ชัย อเนกเวียง ผู้บัญชาการตำรวจสันติบาล, พล.ต.ท.วัฒนา สักกวัตร ผู้บัญชาการสำนักงานกฎหมายและคดี รวมทั้งสั่งการให้กองสารนิเทศถอดเทปทั้งภาพและเสียงของการนำเสนอรายการ “ตอบโจทย์ประเทศไทย” ตอน สถาบันพระมหากษัตริย์ภายใต้รัฐธรรมนูญ ที่ดำเนินรายการโดยนายภิญโญ ไตรสุริยธรรมา ทั้ง 5 ตอน พร้อมถอดเทปเป็นคำพูดโดยละเอียดคำต่อคำทั้งหมด รวมทั้งรวบรวมข้อมูลการข่าวที่ปรากฏในสื่อต่างๆ ทั้งหมด ให้ฝ่ายกฎหมายพิจารณา รวมถึงให้สำนักงานเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร ดูสื่อออนไลน์ด้วย
“นอกจากนี้ได้ให้ฝ่ายกฎหมายทำการตรวจสอบว่าเนื้อหาสาระในการแสดงความเห็นดังกล่าวในรายการ ทั้งในส่วนผู้ดำเนินรายการ และผู้ร่วมรายการ โดยเฉพาะที่วิพากษ์วิจารณ์กันมาก คือ ว่ามีส่วนไหน ตอนใดที่เข้าข่าย วิเคราะห์ผิดองค์ประกอบของกฎหมายที่เกี่ยวข้องอย่างไร หรือไม่ ผู้ใดเกี่ยวข้องบ้าง รวมทั้งความเหมาะสมว่ามีความสมควรหรือไม่อย่างไร ขณะเดียวกันให้กองบัญชาการตำรวจสันติบาลตรวจสอบข้อมูลในเชิงลึกทั้งหมด ทั้งที่มา ที่ไป ของรายการ การนำเสนอ ผู้จัด สถานีออกอากาศ” พล.ต.ต.ปิยะกล่าว และว่า ตร.ได้จัดตั้งทีมงานรวบรวมดำเนินการเรื่องนี้เป็นการเฉพาะ ถือเป็นนโยบายเร่งด่วน โดยมีผู้บังคับการกองคดีอาญา เป็นเลขานุการ รวบรวมข้อมูลจาก ทุกฝ่ายทั้งประเด็นข้อกฎหมาย และความเหมาะสม บังควรหรือมิบังควร โดยมีการจัดตั้งศูนย์รวบรวมที่สำนักงาน พล.ต.อ.เอก อังสนานนท์ รอง ผบ.ตร.ฝ่ายกฎหมาย ชั้น 1 อาคาร 1
พล.ต.ต.ปิยะกล่าวด้วยว่า สำหรับแนวทางการปฏิบัติที่เกี่ยวกับคดีสถาบันนั้น ตร. ได้มีคำสั่ง ตร. ที่ 122/2553 ลงวันที่ 2 มี.ค. 2553 กำหนดแนวทางการปฏิบัติ ขั้นตอนผู้รับผิดชอบ รวมทั้งการดำเนินคดีต่างๆ ไว้ชัดเจนแล้ว ยืนยันว่าเรื่องดังกล่าวถือว่าสำคัญ และกระทบความรู้สึกประชาชนโดยทั่วไป ตร.จะดำเนินการอย่างรอบคอบ รวดเร็ว โดยยึดหลักกฎหมายอย่างเคร่งครัด