พล.ท.ดร.พีระพงษ์ มานะกิจ กรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ หรือ กสทช. และประธานอนุกรรมการเนื้อหาและผังรายการกล่าวถึงกรณีที่สถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส ตัดสินใจชะลอการออกอากาศแพร่ภาพรายการตอบโจทย์ประเทศไทย ตอนที่ 5 เมื่อวันศุกร์ที่ 15 มีนาคมที่ผ่านมาว่า จากการเชิญนายสมชัย สุวรรณบรรณ ผู้อำนวยการสถานี มาให้ข้อมูลกับอนุกรรมการฯ ทราบว่า การชะลอการออกรายการดังกล่าว เป็นการตัดสินใจตามกระบวนการของทางสถานี โดยมีหลักการอยู่บนพื้นฐานของการรักษาความปลอดภัยของสถานี และผู้ปฏิบัติการในสถานี เนื่องจากวันดังกล่าว มีประชาชนที่ไม่พอใจเดินทางไปยังสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอสเป็นจำนวนมาก ในขณะที่การเจรจายังไม่ประสบผลสำเร็จ หากไม่มีการตัดสินใจในทางบวกอาจจะเกิดความรุนแรง
ส่วนการนำเทปรายการตอนที่ 5 มาออกอากาศก็เป็นไปตามกระบวนของสถานีฯ โดยมีคณะอนุกรรมการที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ให้นำออกมาแพร่ภาพเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว ในวันจันทร์ที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ส่วนเรื่องเนื้อหาของรายการตอบโจทย์ที่ออกมา ยังมีข้อท้วงติงจากสังคมว่า ไปเกี่ยวข้องกับประเด็นสถาบัน เพราะฉะนั้นอนุกรรมการเนื้อหาและผังรายการ กสทช. จึงรับไว้พิจารณาเพื่อทำการสอบสวน โดยได้ขอเทปรายการตอบโจทย์ทุกตอนมาประกอบการพิจารณา ซึ่งการสอบสวนกรณีนี้เริ่มตั้งแต่วันนี้ (20 มี.ค.) เป็นต้นไป โดยอนุกรรมการทุกคนจะได้รับเทปรายการไปศึกษา และระดมความคิดเห็น ซึ่งหากพบว่าเนื้อหามีความรุนแรงเกินกว่า กสทช. จะพิจารณาจะส่งให้หน่วยงานทางยุติธรรมช่วยตัดสินใจ หาก กสทช. ตัดสินใจได้จะตัดสินใจตามมาตรา 37 พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 คาดว่า การสอบสวนจะเสร็จภายใน 1 เดือนนับจากนี้ไป
พล.ท.ดร.พีระพงษ์ ยังฝากข้อคิดในเรื่องเนื้อหารายการที่จะออกอากาศว่า สื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพ และต้องมีกระบวนการเพื่อตอบสนองเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเสรีภาพต้องมีขอบเขตและมีข้อคิด อาทิ การทำรายการต้องพิจารณาข้อกฎหมายว่า มีเนื้อหาใดทำได้หรือไม่ได้ จริยธรรมของคนทำสื่อต้องเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ตัวอย่างเช่น การทำรายการหลาย ๆ ครั้งมีจุดมุ่งหมายที่ดี แต่นำไปสู่ความรุนแรงต้องรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งประโยคนี้ยังไม่ได้ถามผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส แต่ถามใกล้เคียง โดยวันนี้เน้นถามกระบวนการพิจารณาเป็นหลัก แต่จะสอบถามในกระบวนการสอบสวนในฐานะของ กสทช. ประกันว่า สื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพ แต่เสรีภาพจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ต้องเล็งเห็นผลว่า ทำรายการแล้วสังคมได้อะไร
ส่วนการนำเทปรายการตอนที่ 5 มาออกอากาศก็เป็นไปตามกระบวนของสถานีฯ โดยมีคณะอนุกรรมการที่รับผิดชอบในเรื่องนี้ให้นำออกมาแพร่ภาพเมื่อเห็นว่าปลอดภัยแล้ว ในวันจันทร์ที่ 18 มีนาคมที่ผ่านมา ส่วนเรื่องเนื้อหาของรายการตอบโจทย์ที่ออกมา ยังมีข้อท้วงติงจากสังคมว่า ไปเกี่ยวข้องกับประเด็นสถาบัน เพราะฉะนั้นอนุกรรมการเนื้อหาและผังรายการ กสทช. จึงรับไว้พิจารณาเพื่อทำการสอบสวน โดยได้ขอเทปรายการตอบโจทย์ทุกตอนมาประกอบการพิจารณา ซึ่งการสอบสวนกรณีนี้เริ่มตั้งแต่วันนี้ (20 มี.ค.) เป็นต้นไป โดยอนุกรรมการทุกคนจะได้รับเทปรายการไปศึกษา และระดมความคิดเห็น ซึ่งหากพบว่าเนื้อหามีความรุนแรงเกินกว่า กสทช. จะพิจารณาจะส่งให้หน่วยงานทางยุติธรรมช่วยตัดสินใจ หาก กสทช. ตัดสินใจได้จะตัดสินใจตามมาตรา 37 พ.ร.บ.การประกอบกิจการกระจายเสียง และกิจการโทรทัศน์ พ.ศ.2551 คาดว่า การสอบสวนจะเสร็จภายใน 1 เดือนนับจากนี้ไป
พล.ท.ดร.พีระพงษ์ ยังฝากข้อคิดในเรื่องเนื้อหารายการที่จะออกอากาศว่า สื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพ และต้องมีกระบวนการเพื่อตอบสนองเรื่องนี้ อย่างไรก็ตามเสรีภาพต้องมีขอบเขตและมีข้อคิด อาทิ การทำรายการต้องพิจารณาข้อกฎหมายว่า มีเนื้อหาใดทำได้หรือไม่ได้ จริยธรรมของคนทำสื่อต้องเป็นกลางไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใด และมีความรับผิดชอบต่อสังคม ตัวอย่างเช่น การทำรายการหลาย ๆ ครั้งมีจุดมุ่งหมายที่ดี แต่นำไปสู่ความรุนแรงต้องรับผิดชอบต่อสังคม ซึ่งประโยคนี้ยังไม่ได้ถามผู้อำนวยการสถานีโทรทัศน์ไทยพีบีเอส แต่ถามใกล้เคียง โดยวันนี้เน้นถามกระบวนการพิจารณาเป็นหลัก แต่จะสอบถามในกระบวนการสอบสวนในฐานะของ กสทช. ประกันว่า สื่อมวลชนต้องมีเสรีภาพ แต่เสรีภาพจะต้องมีความรับผิดชอบต่อสังคม ต้องเล็งเห็นผลว่า ทำรายการแล้วสังคมได้อะไร
