xs
xsm
sm
md
lg

ลากคราบสื่อมวลชน อวยคนชั่ว เอื้อทรราช

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

**5 มีนาคม วันนักข่าวผ่านไปแล้วอย่างเงียบเชียบ หรืออาจจะเรียกว่า “เดียวดาย” คิดกันง่าย ๆ วันที่ 1 พ.ค.ที่เป็น “วันแรงงาน” ยังดูว่าผู้คนจะตื่นเต้นมากกว่า เพราะอย่างน้อยวันแรงงานเราจะได้เห็นผู้ใช้แรงงานออกมายืนหยัดเรียกร้องสิทธิของตัวเองกันอย่างเข้มข้น
แต่เราไม่เคยเห็นนักข่าวใช้วันนักข่าว มาทบทวนการทำหน้าที่ เพื่อสร้างประโยชน์ให้กับสังคมเพิ่มเติมกว่าที่เป็นอยู่
โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในยามที่บ้านเมืองมีความขัดแย้งสูง สังคมขาดองค์ความรู้ที่จะตัดสินเรื่องราวถูกผิด ชั่วดี แต่ถูกชี้นำจากการบิดเบือนความจริง หรือวาระในใจของคนบางกลุ่มที่ต้องการกำหนดทิศทางใหม่ให้กับประเทศ
ในโอกาสนี้ จึงเป็นเรื่องดีที่สื่อมวลชนที่ยังมีสำนึกรับผิดชอบต่อแผ่นดินเกิดของตัวเอง จะได้ลองทบทวนการทำหน้าที่ของตัวเองให้สอดคล้องกับสถานการณ์บ้านเมือง และกำหนดบทบาทให้สื่อมวลชน เป็นหนึ่งในองคาพยพที่จะร่วมขับเคลื่อนประเทศนี้ไปอย่างถูกทิศ ถูกทาง ไม่ใช่ทำตัวเป็นแค่ผู้สังเกตการณ์ ทำหน้าที่รายงานเรื่องราวต่าง ๆ เท่านั้น
อย่างแรกที่เพื่อนสื่อมวลชนน่าจะลองทบทวนดูคือ เราให้คุณค่ากับเรื่องของ บทบรรณาธิการ ว่าเป็นหัวใจสำคัญในการบอกทิศทางของหนังสือพิมพ์แต่ละฉบับ แต่น่าแปลกใจที่บทบรรณาธิการดังกล่าว กลับถูกซุกไว้ในซอกหลืบของหนังสือพิมพ์ ที่ไม่สะดุดตาชวนให้ผู้คนอ่านแต่อย่างใด
ทั้งที่บทบรรณาธิการจำนวนไม่น้อยมีคุณค่าในการนำเสนอความเห็นที่เป็นคุณประโยชน์ต่อชาติบ้านเมือง แต่น่าเสียดายที่มีประชาชนน้อยเต็มทีจะเหลือบสายตาไปอ่านบทบรรณาธิการ ที่ทรงคุณค่าเหล่านั้น เพราะพื้นที่หน้าสามซึ่งเปรียบเสมือนทำเลทอง ถูกใช้ไปเพื่อธุรกิจการข่าวมากกว่าจะใช้พื้นที่เพื่อเพิ่มพูนปัญญาให้กับประชาชน
เราจึงเห็นหน้าสามของหนังสือพิมพ์หลายฉบับ อวยคนชั่ว เอื้อทรราช ด้วยการบิดเบือนข้อเท็จจริงอย่างโจ๋งครึ่ม ที่น่าเศร้า คือ บทความหากินเหล่านี้กลับได้พื้นที่ดี มีคนอ่าน แตกต่างจากบทบรรณาธิการโดยสิ้นเชิง เป็นไปได้หรือไม่ ที่จะมีการสลับสับเปลี่ยนพื้นที่ให้บทบรรณาธิการ มีที่ยืนอย่างเหมาะสมในหน้าหนังสือพิมพ์
นอกจากนี้ ประเด็นที่มีการวิพากษ์วิจารณ์กันมาก คือ ความล้มเหลวของโพลสำนักต่าง ๆ ที่หน้าแหกกันเป็นแถวจากการสำรวจความเห็นประชาชนในการเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ที่ไม่ตรงกับความเป็นจริง และยังสะท้อนถึงปัญหาคนทำโพลว่ามีวาระทางการเมืองซ่อนเร้น แอบเอางานวิชาการไปทำมาหากินอย่างไม่อายฟ้าอายดินด้วย
ประเด็นที่สื่อมวลชนไม่ควรจะมองข้ามไปคือ “โพลถูกสร้างโดยสื่อ” ถามว่าถ้าสื่อมวลชนได้บทสรุปแล้วว่า ทั้งเอแบคโพล หรือสวนดุสิต ล้วนไร้ความน่าเชื่อถือ ขาดความขลังทางวิชาการ เพราะขังตัวเองไว้ใน “ถังแห่งผลประโยชน์”จนไม่สามารถตะเกียกตะกายออกมาได้
**สื่อมวลชนก็ต้องบอยคอต ไม่ให้คุณค่ากับนักฉวยโอกาสที่เอางานวิชาการมาหากิน ด้วยการไม่นำเสนอข่าวโพลรับใช้การเมืองที่ไม่สร้างสรรค์ในประเด็นที่เป็นประโยชน์ต่อบ้านเมือง
คงไม่เกิดประโยชน์ใดๆ ที่สื่อมวลชนจะมานั่งก่นด่า หรือเรียกหาความรับผิดชอบจาก เอแบคโพล หรือ สวนดุสิตโพล เพราะเห็นกันชัดเจนอยู่แล้วว่า อย่างหนาห้าห่วง ในทางกลับกันสื่อมวลชนควรจะเริ่มต้นจากตัวเอง เพื่อเปลี่ยนแปลงประเทศนี้ในวิสัยที่สามารถทำได้ทันที คือ
เลิกนำเสนอข่าวโพลจากทั้งสองสำนัก โดยก้าวข้ามความคิดที่ว่ามันเป็นประเด็นข่าวที่เล่นได้ไปเสีย แต่ต้องคิดว่าข่าวจากสำนักโพลเหล่านี้สร้างประโยชน์ใดๆ ต่อสาธารณะหรือไม่
ยังไม่ต้องพูดถึงเรื่องการเมือง แค่ผลสำรวจที่ว่า วัยรุ่นเตรียมเสียสาวในวันวาเลนไทน์ วิญญูชนก็พึงจะตัดสินได้ว่า มิใช่สิ่งที่จรรโลงใจ หรือยกระดับสังคมแต่อย่างใด แล้วทำไมสื่อมวลชนยังนำเสนอข่าวเหล่านี้ ถ้าไม่ใช่มองแบบฉาบฉวยว่า เป็นประเด็นที่เล่นได้ โดยไม่คำนึงถึงผลกระทบที่อาจกลายเป็นการสร้างค่านิยมที่ผิดตามมา
ยิ่งในขณะนี้มีความชัดเจนอย่างที่สุดว่า บุคลากรที่ทำโพลนั้น มีความเชื่อมโยงอยู่กับอำนาจรัฐ ทั้งรับจ๊อบและตำแหน่งตามที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ประเคนให้ ในขณะที่บางคนก็รับใช้เกินขอบเขตความเป็นวิชาการไปมาก
สื่อมวลชนจึงควรทำหน้าที่เป็นประตู เปิดปิดกลั่นกรองข้อมูลข่าวสารก่อนที่จะไปถึงประชาชนว่า ข่าวไหนดี ข่าวไหนเน่า ไม่ใช่ปล่อยไปทั้งของดีของเสีย เมื่อโพลมันเน่า เชื่อถือไม่ได้ ก็เลิกยัดเยียดให้ประชาชนเสพของเน่าได้แล้ว
**เอาพื้นที่หน้ากระดาษหนังสือพิมพ์ไปลงข่าวที่ให้ประโยชน์กับประชาชน สะท้อนถึงปัญหาของประเทศให้มากขึ้นจะดีกว่า หากทำได้ เชื่อเถอะว่าบรรดาโพลสำนักต่างๆ จะมีการขยับปรับเปลี่ยนกลับเข้าสู่ความเป็นวิชาการมากขึ้น เพราะถ้าสื่อมวลชนไม่ให้ค่า กลุ่มคนที่หากินกับงานวิชาการก็หมดช่องทางเหมือนกัน
กำลังโหลดความคิดเห็น