ASTVผู้จัดการรายวัน – บีทีเอสเลื่อนออกกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐาน BTSGIF จากก.พ.เป็นเม.ย. 56 คาดก.ล.ต.เร่งเดินหน้าหลังได้รับหนังสือตอบกลับจากดีเอสไอ ฟุ้งปีนี้รายได้และจำนวนผู้โดยสายรถไฟฟ้าโตใกล้เคียงปีก่อนที่ขยายตัวตามเป้าหมาย 10-12% ยอมรับหากกทม.ไฟดับรถหยุดแน่ เหตุระบบไฟสำรองไม่สามารถใช้เดินรถได้
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) เปิดเผยว่า บริษัทฯเลื่อนการเปิดขายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) จากเดิมที่กำหนดไว้ปลายก.พ.นี้ออกไป 1.5-2 เดือนขึ้นกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.)ที่จะอนุมัติไฟลิ่งได้เมื่อใด
เนื่องจากคาดว่าภายในสัปดาห์นี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)จะส่งเรื่องตอบกลับก.ล.ต. หลังจากดีเอสไอไม่ติดใจสงสัยเกี่ยวกับสัญญาสัมปทานการเดินรถไฟฟ้า และในการออกกองทุนรวมฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญาส่วนต่อขยายของบีทีเอสที่กำลังเป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่ เพราะบริษัทฯจะนำรายได้จากการสัมปทานเดิมของบีทีเอสที่มีอายุอีก 17ปีมาเป็นรายได้ของกองทุนฯ เชื่อว่า ก.ล.ต.เร่งรัดเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากการออกกองทุนฯนี้เป็นการสนองนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมของประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาประเทศ
“การเลื่อนเปิดขายกองทุนรวมฯออกไปนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อแผนงานบริษัท เพราะภาครัฐยังไม่มีเปิดประมูลทำส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ซึ่งภายหลังจากก.ล.ต.อนุมัติไฟลิ่งแล้ว บริษัทฯมีแผนจะโรดโชว์กองทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ ฮ่องกงและสิงคโปร์ โดยสัดส่วนการขายกองทุนฯให้ต่างชาติและนักลงทุนไทยนั้น ยังไม่ได้สรุป”
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯคาดว่ารายได้และจำนวนผู้โดยสารในงวดปี 2556/2557 จะเติบโต 10-12% ใกล้เคียงงวดปี 2555/2556สิ้นสุด 31 มี.ค. 56 เนื่องจากบริษัทฯอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสในช่วงไตรมาส 1 /2556-57 (เม.ย.-มิ.ย.56) จากปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่ 15-40 บาท/เที่ยว ตามต้นทุนค่าแรงค่าซ่อมบำรุงและค่าไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นคิดเป็นต้นทุนถึง 70%ของต้นทุนรวม และบริษัทฯไม่ได้ปรับค่าโดยสารมาตั้งแต่ปี 2548 ที่เคยปรับขึ้นในอัตรา 10% ทำให้บริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯรับจ้างกทม.เดินรถส่วนต่อขยายจากวงเวียนใหญ่ไปตลาดพลู ทำให้มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นระดับหนึ่งด้วย และการปรับขึ้นค่าโดยสารนั้น ไม่ได้ต้องขออนุมัติ เพียงแต่แจ้งกทม.ให้รับทราบ
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/55-56(1ม.ค.-31มี.ค.56) คาดว่ารายได้และจำนวนผู้โดยสารยังเติบโตได้ตามเป้าหมายต่อเนื่องจากไตรมาส 3 โดยในที่ 14 ก.พ.56 มียอดผู้โดยสารสูงสุด 7.3 แสนเที่ยวคนต่อวัน ดังนั้นจำนวนผู้โดยสารในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่ 12-15% และรายได้จะเติบโตสูงกว่าจำนวนผู้โดยสาร
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า หากผู้ว่ากทม.คนใหม่ไม่ใช่ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ไม่น่าจะมีผลกระทบการออกกองทุนรวมฯของบริษัท เพราะการออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้สนับสนุน ใครเป็นผู้ว่าฯก็ไม่เกี่ยวกัน รวมทั้งไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อสัญญาจ้างเดินรถด้วย แต่ทั้งนี้คงต้องอธิบายทำความเข้าใจ เพราะสิ่งที่บริษัทฯดำเนินการมาถูกต้อง
สำหรับความเสี่ยงหากเกิดไฟดับอันเนื่องจากการหยุดส่งก๊าซฯพม่าในช่วง 5-13 เม.ย.นี้ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า บริษัทฯมีการสำรองไฟฟ้าไว้เผื่อฉุกเฉิน ระบบสื่อสาร แต่ไม่สามารถใช้เดินรถไฟฟ้าได้ ทั้งนี้ บริษัทฯรับไฟเพื่อเดินรถจาก 2 จุด คือหมอชิต และไผ่สิงโต ที่ผ่านมา ไม่เคยเกิดไฟดับพร้อมกันทั้ง 2 จุดนี้ ทำให้สามารถเดินรถไฟฟ้าได้
นายสุรพงษ์ เลาหะอัญญา กรรมการและผู้อำนวยการใหญ่ สายปฏิบัติการ บริษัท ระบบขนส่งมวลชนกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ซึ่งเป็นบริษัทในเครือบมจ.บีทีเอส กรุ๊ป โฮลดิ้ง (BTS) เปิดเผยว่า บริษัทฯเลื่อนการเปิดขายกองทุนรวมโครงสร้างพื้นฐานระบบขนส่งมวลชนทางราง บีทีเอสโกรท (BTSGIF) จากเดิมที่กำหนดไว้ปลายก.พ.นี้ออกไป 1.5-2 เดือนขึ้นกับคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์
(ก.ล.ต.)ที่จะอนุมัติไฟลิ่งได้เมื่อใด
เนื่องจากคาดว่าภายในสัปดาห์นี้กรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ)จะส่งเรื่องตอบกลับก.ล.ต. หลังจากดีเอสไอไม่ติดใจสงสัยเกี่ยวกับสัญญาสัมปทานการเดินรถไฟฟ้า และในการออกกองทุนรวมฯไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับสัญญาส่วนต่อขยายของบีทีเอสที่กำลังเป็นเรื่องถกเถียงกันอยู่ เพราะบริษัทฯจะนำรายได้จากการสัมปทานเดิมของบีทีเอสที่มีอายุอีก 17ปีมาเป็นรายได้ของกองทุนฯ เชื่อว่า ก.ล.ต.เร่งรัดเดินหน้าต่อไปได้ เนื่องจากการออกกองทุนฯนี้เป็นการสนองนโยบายรัฐบาลในการพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานและการคมนาคมของประเทศไทยให้ทัดเทียมนานาประเทศ
“การเลื่อนเปิดขายกองทุนรวมฯออกไปนี้ ไม่ส่งผลกระทบต่อแผนงานบริษัท เพราะภาครัฐยังไม่มีเปิดประมูลทำส่วนต่อขยายรถไฟฟ้า ซึ่งภายหลังจากก.ล.ต.อนุมัติไฟลิ่งแล้ว บริษัทฯมีแผนจะโรดโชว์กองทุนโครงสร้างพื้นฐานทั้งในและต่างประเทศทั้งสหรัฐฯ อังกฤษ ฮ่องกงและสิงคโปร์ โดยสัดส่วนการขายกองทุนฯให้ต่างชาติและนักลงทุนไทยนั้น ยังไม่ได้สรุป”
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า บริษัทฯคาดว่ารายได้และจำนวนผู้โดยสารในงวดปี 2556/2557 จะเติบโต 10-12% ใกล้เคียงงวดปี 2555/2556สิ้นสุด 31 มี.ค. 56 เนื่องจากบริษัทฯอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะปรับขึ้นอัตราค่าโดยสารรถไฟฟ้าบีทีเอสในช่วงไตรมาส 1 /2556-57 (เม.ย.-มิ.ย.56) จากปัจจุบันที่จัดเก็บอยู่ 15-40 บาท/เที่ยว ตามต้นทุนค่าแรงค่าซ่อมบำรุงและค่าไฟฟ้าปรับตัวสูงขึ้นคิดเป็นต้นทุนถึง 70%ของต้นทุนรวม และบริษัทฯไม่ได้ปรับค่าโดยสารมาตั้งแต่ปี 2548 ที่เคยปรับขึ้นในอัตรา 10% ทำให้บริษัทฯมีรายได้เพิ่มขึ้น ขณะเดียวกันบริษัทฯรับจ้างกทม.เดินรถส่วนต่อขยายจากวงเวียนใหญ่ไปตลาดพลู ทำให้มีจำนวนผู้โดยสารเพิ่มขึ้นระดับหนึ่งด้วย และการปรับขึ้นค่าโดยสารนั้น ไม่ได้ต้องขออนุมัติ เพียงแต่แจ้งกทม.ให้รับทราบ
สำหรับผลการดำเนินงานในไตรมาส 4/55-56(1ม.ค.-31มี.ค.56) คาดว่ารายได้และจำนวนผู้โดยสารยังเติบโตได้ตามเป้าหมายต่อเนื่องจากไตรมาส 3 โดยในที่ 14 ก.พ.56 มียอดผู้โดยสารสูงสุด 7.3 แสนเที่ยวคนต่อวัน ดังนั้นจำนวนผู้โดยสารในปีนี้จะเติบโตตามเป้าหมายที่ 12-15% และรายได้จะเติบโตสูงกว่าจำนวนผู้โดยสาร
นายสุรพงษ์ กล่าวต่อไปว่า หากผู้ว่ากทม.คนใหม่ไม่ใช่ม.ร.ว.สุขุมพันธ์ บริพัตร ไม่น่าจะมีผลกระทบการออกกองทุนรวมฯของบริษัท เพราะการออกกองทุนโครงสร้างพื้นฐานเป็นสิ่งที่รัฐบาลชุดนี้สนับสนุน ใครเป็นผู้ว่าฯก็ไม่เกี่ยวกัน รวมทั้งไม่น่าจะส่งผลกระทบต่อสัญญาจ้างเดินรถด้วย แต่ทั้งนี้คงต้องอธิบายทำความเข้าใจ เพราะสิ่งที่บริษัทฯดำเนินการมาถูกต้อง
สำหรับความเสี่ยงหากเกิดไฟดับอันเนื่องจากการหยุดส่งก๊าซฯพม่าในช่วง 5-13 เม.ย.นี้ นายสุรพงษ์ กล่าวว่า บริษัทฯมีการสำรองไฟฟ้าไว้เผื่อฉุกเฉิน ระบบสื่อสาร แต่ไม่สามารถใช้เดินรถไฟฟ้าได้ ทั้งนี้ บริษัทฯรับไฟเพื่อเดินรถจาก 2 จุด คือหมอชิต และไผ่สิงโต ที่ผ่านมา ไม่เคยเกิดไฟดับพร้อมกันทั้ง 2 จุดนี้ ทำให้สามารถเดินรถไฟฟ้าได้