รายงานการเมือง
เข้าทำนอง “ขว้างงูไม่พ้นคอ” ไปแล้ว สำหรับการตีปี๊บปัญหาการก่อสร้างโรงพักฉาว เกิดการทิ้งงานของบริษัทผู้รับเหมาจนก่อสร้างไม่เสร็จ มีแต่เสาโชว์โด่เด่อยู่ในหลายพื้นที่ จากที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ โต้โผใหญ่ ใช้ ธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ออกโรงเล่นงาน สุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกรัฐมนตรี
หวังกัดให้จมเขี้ยว กลายเป็นว่ากัดไปโดนพรรคพวกตัวเองซะงั้น! ทำให้ ร.ต.อ.เฉลิม เริ่มออกอาการดำน้ำ พูดไม่ออกบอกไม่ถูก หันกลับมาใช้วิธีตามนิสัยถาวร คือการท้าทายแทนการให้ความจริง
หลังมีเอกสารราชการยืนยันชัดแจ้งว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ของพรรคเพื่อไทย มีส่วนรู้เห็นในเรื่องการทำสัญญาก่อสร้างโรงพักตั้งแต่ต้นจนจบ แถมยังมีหลักฐานว่าเป็นผู้ลงนามเสนอให้ พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิ์ศรี ผบ.ตร.ในขณะนั้น ลงนามให้ความเห็นชอบว่าจ้างบริษัท พีซีซีฯ ในราคา 5,848 ล้านบาท ว่าเป็นราคาที่เหมาะสมและเป็นไปตามระเบียบทุกอย่าง ที่ ผบ.ตร.ควรให้ความเห็นชอบเพื่อเสนอเรื่องต่อนายสุเทพเป็นขั้นตอนสุดท้าย
แถมยังถูกแฉโพยจาก “เสี่ยอ่าง” ชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ หัวหน้าพรรครักประเทศไทยด้วยว่า ในยุครัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร มีการขยายสัญญาให้กับบริษัทพีซีซีถึง 3 ครั้ง รวม 9 เดือน ที่สำคัญคือ ในยุค พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร.คนปัจจุบัน ก็มีการขยายเวลาล่าสุดวันที่ 7 พ.ย. 55 ด้วย พร้อมกับบี้ให้ธาริต เชิญทั้ง พล.ต.อ.อดุลย์ และ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีต ผบ.ตร. ในฐานะบริหารสัญญาผิดพลาดจนเกิดปัญหาการทิ้งงานตามมา เพื่อให้ปากคำกับดีเอสไอด้วย จนทำให้ร้อนก้นออกอาการกันเป็นแถว
โดยเฉพาะคนที่เก็บอาการไม่อยู่อย่างหนักคือ พล.ต.อ.อดุลย์ ที่สร้างภาพเป็นตำรวจน้ำดีมาตลอด ก็มา “ดีแตก” ฉายภาพความเป็นคนประเภทเดียวกับกลุ่มคนที่รับใช้ นักโทษชายทักษิณ ไม่มีผิดเพี้ยน ด้วยการแสดงอำนาจบาทใหญ่ใส่ ธาริต ว่าต้องให้เกียรติ ต้องมีมารยาท คิดก่อนที่จะเชิญตัวเองไปให้ปากคำ
ใหญ่โตกันคับบ้านคับเมืองจริงๆ สำหรับขี้ข้าทักษิณในยุคนี้
ที่น่าสมเพช คือ ธาริต ก็กุลีกุจอออกมาขอโทษทันทีที่ พล.ต.อ.อดุลย์ขยับปากด่าชนิดที่ไม่เพียงแต่จะทำให้ดีเอสไอเสื่อมเสียเกียรติยศศักดิ์ศรีเท่านั้น แต่ยังทำให้ ธาริต ไร้ซึ่งคุณค่าความเป็นมนุษย์อย่างชัดเจนยิ่งขึ้นด้วย
เมื่อเริ่มเหยียบตาปลากันเองแบบนี้ ก็เลยทำให้กัดกันเองนัวตามไปด้วย จน ร.ต.อ.เฉลิม อาจต้องกระดกไวน์ขวดที่ 9 เพื่อย้อมใจที่ทุกอย่างผิดแผน กลายเป็นทำพวกเดียวกันซวยยกก๊วน จนรีบตีชิ่งหนีนักข่าวหลังถูกถามเรื่อง ผบ.ตร.ฉุน ธาริต
ยิ่งไปกว่านั้นคือ การลุแก่อำนาจคิดว่าทำได้ทุกอย่างกำลังกลายเป็นบ่วงรัดคอให้ตายหมู่ทั้ง ธาริต และ พล.ต.อ.พงศพัศ จากการกระทำพิลึกพิลั่นที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน คือ
การที่ธาริตเปิดดีเอสไอวันอาทิตย์ ซึ่งเป็นวันหยุดราชการใช้สถานที่ราชการฟอกผิดให้กับ พล.ต.อ.พงศพัศ ที่ใส่เสื้อเบอร์ 9 โชว์หรากลางวงแถลงข่าวร่วมกับธาริต ซึ่งอาจทำให้ซวยร่วมทั้งเจ้าหน้าที่รัฐอย่าง ธาริต และผู้สมัคร อย่าง พล.ต.อ.พงศพัศด้วย
เนื่องจาก พ.ร.บ.การเลือกตั้งสมาชิกสภาท้องถิ่นหรือผู้บริหารท้องถิ่น พ.ศ. 2545 มาตรา 60 ห้ามมิให้เจ้าหน้าที่ของรัฐใช้ตำแหน่งหน้าที่กระทำการใดๆ อันเป็นคุณหรือเป็นโทษแก่ผู้สมัคร เว้นแต่เป็นการ กระทำตามอำนาจหน้าที่ ซึ่งกรณีของ ธาริต ค่อนข้างชัดเจนว่าทำเกินอำนาจหน้าที่เป็นการให้คุณกับ พล.ต.อ.พงศพัศ ซึ่งเป็นผู้สมัครรับเลือกตั้งผู้ว่ากทม.ของพรรคเพื่อไทยอย่างชัดแจ้ง โดยดูได้จากคำให้สัมภาษณ์ที่ตัดตอนความจริงของ ธาริต ที่ว่า
“พล.ต.อ.พงศพัศ ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับโครงการแล้ว หลังจากที่มีการยกเลิกทีโออาร์ฉบับแรกไป”
คำพูดดังกล่าวยิ่งเป็นการยืนยันถึงความพยายามปกป้อง พล.ต.อ.พงศพัศ อย่างออกนอกหน้า และอาจเข้าข่ายการปฏิบัติหน้าที่โดยมิชอบด้วย เพราะมีบันทึกข้อความลงวันที่ 30 ก.ย. 2553 ที่ พล.ต.ท.พงศพัศ (ยศในขณะนั้น) แทงเรื่องถึง พล.ต.อ.วิเชียร พจน์โพธิศรี ผบ.ตร. เสนอให้ความเห็นชอบการว่าจ้างบริษัทพีซีซีฯ
โดยยืนยันว่าการประมูลทุกอย่างเป็นไปด้วยความโปร่งใส ถูกต้องตามระเบียบและได้ราคาต่ำสุดจึงสมควรให้ว่าจ้างบริษัทดังกล่าวก่อสร้างโรงพักทั้ง 396 แห่งทั่วประเทศ ก่อนที่ พล.ต.อ.วิเชียร จะลงนามในวันถัดมาคือวันที่ 1 ตุลาคม 2553
จะเป็นไปได้อย่างไรที่ดีเอสไอซึ่งได้ติดตามสอบสวนคดีนี้มาเป็นเวลากว่า 1 เดือนแล้วจะไม่เคยเห็นเอกสารฉบับนี้ ประเด็นคือถ้าเคยเห็นแล้วยังกล้าการันตีความบริสุทธิ์ให้กับ พล.ต.อ.พงศพัศ แต่เอาผิดกับคนอื่นได้อย่างไร ในเมื่อคนชงเรื่องคือ พล.ต.อ.พงศพัศ
หรือถ้าอ้างว่าไม่เคยเห็น ก็ต้องถามถึงมาตรฐานการทำงานของดีเอสไอว่ายังมีความน่าเชื่อถืออยู่อีกหรือไม่ เพราะทำงานได้ชุ่ยเกินกว่าจะจินตนาการได้ ซึ่งหลังจากนี้ ธาริต คงถูกเช็กบิลไล่หลังให้กรรมไล่ล่าในอีกหลายคดี
แต่คนที่แย่ไม่แพ้กัน คือ พล.ต.อ.พงศพัศ ที่ขันอาสาเป็นผู้ว่าฯ กทม. ใช้สโลแกนสวยหรูว่า “ฝาก กทม.ไว้กับพงศพัศ” แต่กลับทำตัวเป็นเด็กเลี้ยงแกะ โกหกประชาชนว่าไม่มีส่วนเกี่ยวข้องทั้งที่รับผิดชอบโดยตรง ในเรื่องการให้ความเห็นชอบกับการว่าจ้างบริษัทพีซีซีฯซึ่งเกิดปัญหาทิ้งงานตามมา
จึงเป็นเรื่องที่ คน กทม.ต้องถามตัวเองว่าจะฝาก กทม.ให้คนที่ไม่พูดความจริงกับประชาชนดูแลได้หรือไม่
และที่สำคัญเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า “ให้ทุกข์แก่ท่าน ทุกข์นั้นถึงตัว”