00 ได้แต่อเน็จอนาถใจปนสังเวชกับท่าทีกลับไปกลับมาของอธิบดี ดีเอสไอ ธาริต เพ็งดิษฐ์ กับเรื่องคดีทุจริตสร้างโรงพักและแฟลตตำรวจทั่วประเทศ เมื่อวันก่อนพูดอย่าง แต่วันนี้เมื่อประเมินสถานการณ์เห็นท่าไม่ดีก็กลับหลังหัน “เอาตัวรอด” ทันที ก็จะไม่ให้พูดแบบนี้ได้อย่างไร ในเมื่อตอนแรกบอกว่าจะเรียก ผบ.ตร. พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว มาให้ปากคำ ย้ำว่า “ให้ปากคำ” ไม่ใช่ “สอบปากคำ” แต่ขอโทษแค่นี้ระดับตำรวจใหญ่ที่ส่วนใหญ่เคยชินแต่เรื่อง “สอบคนอื่น” ถึงกับทนไม่ได้ เพราะเหมือนอ้างว่าถูกหลู่เกียรติ ถึงกับต้องขึ้นเสียงขู่ตะคอกสอน “มารยาท” กลับไปเสียยกใหญ่ และก็ได้ผลรายนั้นก็ “หงอ” เปลี่ยนไปเป็นพัลวัน
00 แต่อีกแบบหนึ่งเขาเรียก “ไม้หลักปักเลน” ไม่น่าเชื่อถือ เพราะกลายเป็นว่า การทำหน้าที่ของเขา “ไร้หลักการ” ไม่ได้ยึดระเบียบตามกฎหมายแท้จริง เพราะหากมีข้อมูลหลักฐาน หรือตามขั้นตอนต้องทำแบบนั้น ก็ต้องเชิญมาให้ปากคำเพื่อประโยชน์คดี ต่อให้ใหญ่กว่า ผบ.ตร. ก็ต้องยืนหยัดมั่นคง แต่นี่กลายเป็นว่า อ่อนจนเหมือนขี้ผึ้ง ต้องละล่ำละลักขอโทษ 3 เวลาหลังอาหาร หรือแม้แต้การด่วนสรุปการันตีความบริสุทธิ์ ให้กับ “เจ้าจูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่เคยเป็นประธาน ทีโออาร์ ว่าไม่เกี่ยว ทั้งที่แทบไม่ได้อ่านเอกสารด้วยซ้ำไป กลัวว่าจะกระทบคะแนนเสียง ผู้ว่าฯกทม.หรืออย่างไร
00 อย่างไรก็ดี งานนี้ต้องให้เครดิต “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” ที่นำเรื่องดังกล่าวมาเปิดโปง และชี้ให้เห็นว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน และอยู่ในช่วงการ “บริหารสัญญา” ที่ถือว่า “ชุ่ย” มาก รวมไปถึงข้อสงสัยว่า ทำไมถึงต้อง “ต่อสัญญา” ถูกผิดยังไม่รู้ แต่ในฐานะที่อยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวจะปัดทันทีว่าไม่เกี่ยวง่ายๆ ไม่ได้ และต้องย้ำว่า นาทีนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ยังไม่ใช่เป็นผู้เสียหาย แต่ถือว่าเป็น “ผู้ต้องสงสัย” อีกคนหนึ่งด้วย
00 อย่าได้แปลกใจที่ดีเอสไอในยุค ธาริต เพ็งดิษฐ์ มีแต่เรื่องน่าเคลือบแคลง ล่าสุดก็เพิ่งถูกแฉออกมาจาก พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ จำเลยคดีอุ้ม “อัลรูไวลี” นักธุรกิจชาวซาอุฯ ที่แม้จะเกษียณฯไปแล้วแต่ยังเกาะติดคดีแจ ซึ่งอีกทางหนึ่งก็มีผลกระทบกับตัวเองในเรื่องคดีด้วย โดยเฉพาะการไปพบพิรุธว่ามี ดีเอสไอ และอัยการบางคนสมคบกันพาพยานโจทก์ในคดีอุ้มฆ่าดังกล่าวหลบหนีออกนอกประเทศ ทั้งที่บุคคลดังกล่าวยังหลบหนีหมายจับในคดีฆ่าผู้อื่นที่ศาลจำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว รวมทั้งแฉให้เห็นถึงขั้นตอนการปิดบัง ซ่อนเร้น และการทำผิดกฎหมายอย่างน่ารังเกียจที่สุด ซึ่งก็ต้องสอบสวนหาความจริงให้ได้ว่า เป็นไปตามที่กล่าวหาหรือไม่ เพราะกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก ขณะเดียวกันอีกด้านยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การทำงานของทั้งดีเอสไอ และอัยการในยุคนี้ มันน่าเคลือบแคลงจริงๆ
00 ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หรือว่า “เมาไวน์” มากไปอย่างที่มีเสียงนินทาหนาหู เพราะพักหลังจะพูดจะจาอะไรมีแต่เรื่องลบ ผิดพลาดเข้าตัว แถมยังพ่วงเอารัฐบาลเข้ามาเพิ่มแต้มลบมากเกินปกติ ทั้งเรื่อง “เคอร์ฟิวใต้” ถัดมาก็ “รีบเสนอเยียวยาโจรใต้” และยังเปิดศึก “กระจอก” กับ รมว.กลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต มาจนถึงเรื่อง “ปูดข้อมูลผู้ก่อการร้าย” จ้องถล่มสถานกงสุลมะกัน ที่เชียงใหม่ แต่พอถูกตำหนิเรื่อง “ปากสว่าง” ก็หันมาโทษสื่อ ว่าเลอะเทอะ ตามฟอร์ม หรือว่านี่เป็นมาตรฐานของเขาตามปกติกลับมาเป็นเหมือนเดิมในคราบ “ยี้” สมบูรณ์แบบแล้ว !!
00 แต่อีกแบบหนึ่งเขาเรียก “ไม้หลักปักเลน” ไม่น่าเชื่อถือ เพราะกลายเป็นว่า การทำหน้าที่ของเขา “ไร้หลักการ” ไม่ได้ยึดระเบียบตามกฎหมายแท้จริง เพราะหากมีข้อมูลหลักฐาน หรือตามขั้นตอนต้องทำแบบนั้น ก็ต้องเชิญมาให้ปากคำเพื่อประโยชน์คดี ต่อให้ใหญ่กว่า ผบ.ตร. ก็ต้องยืนหยัดมั่นคง แต่นี่กลายเป็นว่า อ่อนจนเหมือนขี้ผึ้ง ต้องละล่ำละลักขอโทษ 3 เวลาหลังอาหาร หรือแม้แต้การด่วนสรุปการันตีความบริสุทธิ์ ให้กับ “เจ้าจูดี้” พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ที่เคยเป็นประธาน ทีโออาร์ ว่าไม่เกี่ยว ทั้งที่แทบไม่ได้อ่านเอกสารด้วยซ้ำไป กลัวว่าจะกระทบคะแนนเสียง ผู้ว่าฯกทม.หรืออย่างไร
00 อย่างไรก็ดี งานนี้ต้องให้เครดิต “ชูวิทย์ กมลวิศิษฏ์” ที่นำเรื่องดังกล่าวมาเปิดโปง และชี้ให้เห็นว่า พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ต้องมีส่วนรับผิดชอบด้วย ในฐานะที่เป็นผู้บังคับบัญชาสูงสุดของหน่วยงาน และอยู่ในช่วงการ “บริหารสัญญา” ที่ถือว่า “ชุ่ย” มาก รวมไปถึงข้อสงสัยว่า ทำไมถึงต้อง “ต่อสัญญา” ถูกผิดยังไม่รู้ แต่ในฐานะที่อยู่ในช่วงเวลาดังกล่าวจะปัดทันทีว่าไม่เกี่ยวง่ายๆ ไม่ได้ และต้องย้ำว่า นาทีนี้ พล.ต.อ.อดุลย์ ยังไม่ใช่เป็นผู้เสียหาย แต่ถือว่าเป็น “ผู้ต้องสงสัย” อีกคนหนึ่งด้วย
00 อย่าได้แปลกใจที่ดีเอสไอในยุค ธาริต เพ็งดิษฐ์ มีแต่เรื่องน่าเคลือบแคลง ล่าสุดก็เพิ่งถูกแฉออกมาจาก พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจ จำเลยคดีอุ้ม “อัลรูไวลี” นักธุรกิจชาวซาอุฯ ที่แม้จะเกษียณฯไปแล้วแต่ยังเกาะติดคดีแจ ซึ่งอีกทางหนึ่งก็มีผลกระทบกับตัวเองในเรื่องคดีด้วย โดยเฉพาะการไปพบพิรุธว่ามี ดีเอสไอ และอัยการบางคนสมคบกันพาพยานโจทก์ในคดีอุ้มฆ่าดังกล่าวหลบหนีออกนอกประเทศ ทั้งที่บุคคลดังกล่าวยังหลบหนีหมายจับในคดีฆ่าผู้อื่นที่ศาลจำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว รวมทั้งแฉให้เห็นถึงขั้นตอนการปิดบัง ซ่อนเร้น และการทำผิดกฎหมายอย่างน่ารังเกียจที่สุด ซึ่งก็ต้องสอบสวนหาความจริงให้ได้ว่า เป็นไปตามที่กล่าวหาหรือไม่ เพราะกระทบต่อกระบวนการยุติธรรมอย่างมาก ขณะเดียวกันอีกด้านยังเป็นการสะท้อนให้เห็นว่า การทำงานของทั้งดีเอสไอ และอัยการในยุคนี้ มันน่าเคลือบแคลงจริงๆ
00 ไม่รู้เป็นเพราะอะไร หรือว่า “เมาไวน์” มากไปอย่างที่มีเสียงนินทาหนาหู เพราะพักหลังจะพูดจะจาอะไรมีแต่เรื่องลบ ผิดพลาดเข้าตัว แถมยังพ่วงเอารัฐบาลเข้ามาเพิ่มแต้มลบมากเกินปกติ ทั้งเรื่อง “เคอร์ฟิวใต้” ถัดมาก็ “รีบเสนอเยียวยาโจรใต้” และยังเปิดศึก “กระจอก” กับ รมว.กลาโหม พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต มาจนถึงเรื่อง “ปูดข้อมูลผู้ก่อการร้าย” จ้องถล่มสถานกงสุลมะกัน ที่เชียงใหม่ แต่พอถูกตำหนิเรื่อง “ปากสว่าง” ก็หันมาโทษสื่อ ว่าเลอะเทอะ ตามฟอร์ม หรือว่านี่เป็นมาตรฐานของเขาตามปกติกลับมาเป็นเหมือนเดิมในคราบ “ยี้” สมบูรณ์แบบแล้ว !!
