xs
xsm
sm
md
lg

ยื่น อสส.ตรวจสอบสองอัยการร่วมดีเอสไอ พาพยานคดีอัลรูไวลีหนีออกนอกประเทศ

เผยแพร่:   โดย: ทีมข่าวอาชญากรรม

พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม จำเลยในคดีอุ้มนักธุรกิจชาวซาอุฯ
“พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม” จำเลยคดีอุ้มนักธุรกิจซาอุฯ ยื่นหนังสือจี้เอาผิดอัยการ 2 ราย ร่วมดีเอสไอพา “สุวิชชัย แก้วผลึก” พยานคดีฆ่าหลบหนีออกนอกประเทศ ด้านโฆษกอัยการระบุรับเรื่องไว้เสนอ อสส.แต่ไม่รับปากลงโทษได้หรือไม่ ส่วน “ถาวร เสนเนียม” ทนายความเรียกร้องอัยการประสานยูเออีเอาตัวพยานกลับมาดำเนินคดีในฐานะผู้ร้ายข้ามแดน

ที่สำนักงานอัยการสูงสุด วันนี้ (13 ก.พ.) เมื่อเวลา 14.30 น. พล.ต.ท.สมคิด บุญถนอม อดีตจเรตำรวจแห่งชาติ จำเลยคดีร่วมกันอุ้มนายโมฮัมเหม็ด อัลรูไวลี นักธุรกิจซาอุดีอาระเบีย ที่หายตัวไปตั้งแต่ปี 2533 พร้อมด้วยนายถาวร เสนเนียม ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ ซึ่งที่ปรึกษากฎหมายการดำเนินคดีของ พล.ต.ท.สมคิด และทีมทนายความ เข้าพบนายวินัย ดำรงค์มงคลกุล อธิบดีอัยการสำนักคดีพิเศษ ในฐานะโฆษกสำนักงานอัยการสูงสุด เพื่อยื่นหนังสือถึงนายจุลสิงห์ วสันตสิงห์ อัยการสูงสุด ในฐานะผู้ประสานงานกลาง ตาม พ.ร.บ.การส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 และ พ.ร.บ.ความร่วมมือระหว่างประเทศในเรื่องทางอาญา พ.ศ. 2535 ให้ดำเนินการขอส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ต.ท.สุวิชชัย แก้วผลึก หรือนายเกียรติกรณ์ แก้วเพชรศรี ที่พยานโจทก์คดีอุ้มฆ่านายอัลรูไวลี ซึ่งเป็นคนเดียวกับจำเลยที่หลบหนีหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรีในคดีฆ่าผู้อื่นที่ศาลมีคำพิพากษาจำคุกตลอดชีวิตไปแล้ว เพื่อให้นำตัวมาจากสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี กลับมาเบิกความเป็นพยานคดีดังกล่าวต่อศาลอาญาในประเทศไทย ขณะที่การยื่นหนังสือ พล.ต.ทสมคิดได้นำหลักฐานเอกสารที่เป็นรายงานกระบวนพิจารณาของศาลอาญาคดีอุ้มฆ่านายอัลรูไวลี คำร้องของอัยการในการส่งประเด็นสืบพยานในต่างประเทศ รวมทั้งเอกสารราชการที่เกี่ยวกับการระบุที่อยู่ของ พ.ต.ท.สุวิชชัย, หมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี และเอกสารการทำหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ของ พ.ต.ท.สุวิชชัย ส่งให้อัยการสูงสุดพิจารณาด้วย

โดย พล.ต.ท.สมคิดที่ตกเป็นจำเลยอุ้มฆ่านายอัลรูไวลี กล่าวว่า เหตุที่ต้องมายื่นหนังสือดังกล่าว เนื่องจากมีหลักฐานที่พบว่าพนักงานอัยการฝ่ายกิจการต่างประเทศ และพนักงานอัยการรับผิดชอบคดีดังกล่าว รู้เห็นและทราบถึงการนำพาตัว พ.ต.ท.สุวิชชัย ที่ภายหลังเปลี่ยนชื่อเป็นนายเกียรติกรณ์ พยานโจทก์ที่จะนำมาเบิกความคดีนี้ ออกไปยังยูเออี โดยมีพนักงานสอบสวนคดีพิเศษ 2 คนเกี่ยวข้องด้วยในการคุมตัวออกไป ทั้งที่ พ.ต.ท.สุวิชชัยก็มีหมายจับติดตัว แต่อัยการก็ยังให้มีการนำตัวไปต่างประเทศแล้วมาอนุญาตศาลอาญาส่งประเด็นไปสืบพยานปากดังกล่าวภายหลัง ซึ่งการกระทำดังกล่าวนอกจากจะเป็นการนำพาตัวพยานออกไปโดยไม่สุจริต ไม่ถูกต้องตามกฎหมายแล้ว ยังส่งผลต่อการอำนวยความยุติธรรมกับตนในคดีดังกล่าว ที่ไม่มีโอกาสซักค้านพยานต่อหน้า ขณะที่ตนไม่สามารถจะติดตามไปยังยูเออีเพื่อฟังการสืบพยานปากนี้ได้เนื่องจากไม่พร้อมเรื่องค่าใช่จ่ายการเดินทาง และการจัดเตรียมเอกสาร

ส่วนจะไปยื่นร้องเรียนต่อคณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ (ป.ป.ช.) เพิ่มเติมอีกหรือไม่ พล.ต.ท.สมคิดกล่าวว่า จะดำเนินการแน่นอน เพียงแต่จะดูการดำเนินการของอัยการสูงสุดในเรื่องที่ตนมายื่นในวันนี้ก่อนว่าได้ดำเนินการอย่างไรบ้าง ซึ่งการไปร้องเรียนต่อ ป.ป.ช.ที่จะมีคณะอนุกรรมการไต่สวนเรื่องนั้นจะจัดเตรียมพยานหลักฐานที่ชัดเจน โดยจะให้มีการตรวจสอบทุกคนที่เกี่ยวข้องว่าได้ปฏิบัติหน้าที่มิชอบหรือละเว้นปฏิบัติหน้าที่จนให้เกิดความเสียหายอย่างไร

ส่วนที่ศาลอาญามีคำสั่งอนุญาตให้อัยการโจทก์ส่งประเด็นไปสืบพยานปาก พ.ต.ท.สุวิชชัย ที่ยูเออีได้นั้น พล.ต.ท.สมคิดกล่าวว่า ก็น้อมรับที่เป็นดุลพินิจของศาล เพียงแต่ที่ผ่านมาศาลอาจจะได้รับข้อมูลที่ไม่ถูกต้องจากอัยการ ตนจึงต้องให้มีการตรวจสอบกระบวนการดังกล่าว เพราะนอกจากการกระทำนั้นจะผิดวินัย จริยธรรม และจรรยาบรรณของพนักงานอัยการแล้ว ยังเป็นเรื่องที่ไม่ถูกต้องตามกฎหมายด้วย ซึ่งหากอัยการมือไม่สะอาดแล้วจะส่งผลต่อกระบวนการยุติธรรมเหมือนทฤษฎีกฎหมายแนวคิดต้นไม้พิษที่จะออกลูกมาเป็นพิษด้วย นอกจากนี้ นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) จะปฏิเสธความรับผิดชอบไม่ได้ กรณีที่มีเจ้าหน้าที่ดีเอสไอดำเนินการพาตัวพยานที่เป็นจำเลยหนีหมายจับออกไปต่างประเทศด้วย ซึ่งขณะนี้ทราบว่า 1 ใน 2 เจ้าหน้าที่ดีเอสไอดังกล่าวได้เดินทางกลับมาแล้ว ส่วนอีกคนยังถูกได้รับมอบหมายให้ดูแลพยานดังกล่าว นอกจากนี้เห็นว่าทางอัยการสูงสุดควรจะต้องทำหน้าที่ในฐานะผู้ประสานงานกลางเพื่อขอส่งตัว พ.ต.ท.สุวิชชัย ผู้ร้ายข้ามแดนกลับมาดำเนินคดีในประเทศไทยตามหมายจับของศาลจังหวัดมีนบุรี รวมทั้งอัยการสุงสุดจะต้องตรวจสอบการกระทำของอัยการทั้งสองรายดังกล่าวด้วย

พล.ต.ท.สมคิดยังตั้งข้อสังเกตว่า ภายหลังจากที่มีการตั้งคณะกรรมการติดตามและกำกับดูแลการดำเนินคดีพิเศษที่เกี่ยวข้องกับปะเทศซาอุดีอาระเบีย ตามคำสั่งสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ 188/2555 ที่น.ส.ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ลงนามเมื่อวันที่ 10 ส.ค. 2555 ปรากฏว่า พ.ต.ท.สุวิชชัย ที่เป็นจำเลยหนีหมายจับศาลจังหวัดมีนบุรี ที่มีชื่อติดแบล็กลิสต์การออกนอกประเทศ กลับสามารถทำหนังสือเดินทาง (พาสปอร์ต) ได้ภายในเวลาไม่นาน ขณะที่คณะกรรมการดังกล่าวก็มีอัยการฝ่ายกิจการต่างประเทศ และอัยการรับผิดชอบคดีอัลรูไวลี่ รวมทั้งนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอเป็นกรรมการด้วย แล้วจะปฏิเสธไม่ทราบเรื่องนี้ไม่ได้ ซึ่งอัยการที่รับผิดชอบคดีเป็นผู้ที่ยื่นแสดงให้เห็นว่า พ.ต.ท.สุวิชชัยมีการเปลี่ยนชื่อไปแล้ว

ด้านนายวินัย ดำรงค์มงคลกุล โฆษกอัยการสำนักงานอัยการสูงุด กล่าวว่า จะรับหนังสือดังกล่าวเพื่อส่งให้นายจุลสิงห์ อัยการสูงสุด พิจารณาต่อไป พร้อมยืนยันว่าอัยการไม่ทราบเรื่องการพาตัวพยานออกไปโดยไม่ถูกต้อง ส่วนเรื่องนี้จะเป็นความผิดหรือไม่ ตนยังตอบไม่ได้ ต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริงก่อน ซึ่งจะมีคณะกรรมการขึ้นมาพิจารณา แต่ทั้งนี้อัยการทั้ง 2 คนที่ถูกกล่าวหา ยังไม่ต้องหยุดปฏิบัติหน้าที่ใดๆ โดยขณะนี้ในส่วนของคดีก็อยู่ระหว่างรอการส่งประเด็นไปสืบพยานยังสหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ หรือยูเออี ตามคำสั่งศาลอาญาแล้ว ส่วนการของส่งผู้ร้ายข้ามแดนก็จะต้องพิจารณารายละเอียดก่อน ขณะนี้ยังไม่สามารถตอบอะไรได้

นายถาวร เสนเนียม ฝ่ายกฎหมายพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า อยากให้อัยการมีความกระตือรือร้นมากกว่านี้ในการติดตามตัว พ.ต.ท.สุวิชชัยกลับมาสืบพยานในประเทศ มากกว่าการส่งประเด็นไปสืบต่างประเทศที่ฝ่ายจำเลยจะเสียเปรียบในการซักถามพยานเพื่อพิสูจน์ความจริง ขณะเดียวกันอยากให้นายทวี ประจวบลาภ อธิบดีผู้พิพากษาศาลอาญา ตรวจสอบการใช้ดุลพินิจของผู้พิพากษาเจ้าของสำนวนคดีนี้ในการสืบพยานด้วย

ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ในการยื่นเรื่องตรวจสอบพนักงานอัยการครั้งนี้ พล.ต.ท.สมคิด และทนายความ ได้ทำแผนภูมิแสดงกระบวนการนำตัว พ.ต.ท.สุวิชชัยหลบหนีออกนอกประเทศไปที่สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ เพื่อหลีกเลี่ยงไม่นำตัวมาเป็นพยานเบิกความในศาลของประเทศไทย ให้สื่อมวลชนดูด้วย
กำลังโหลดความคิดเห็น