ASTV ผู้จัดการรายวัน - หุ้นไทยโดนปัจจัยภายนอกฉุดติดลบ 9.81 จุด หลังการเลือกตั้งอิตาลีหาพรรคเสียงข้างมากไม่ได้ สร้างความกังวลวิกฤตยูโรโซนลุกลามต่อ กดดันนักลงทุนต่างชาติ - สถาบันเทขาย ด้าน “จรัมพร”เตือนพบฟองสบู่ใน 120 หลักทรัพย์ P/Eสูงเวอร์
ตลาดหุ้นไทย วานนี้(26ก.พ.) ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบ จากการเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ และสถาบัน โดยปิดที่ระดับ 1,530.32 จุด ลดลง 9.81 จุด หรือ -0.64% มูลค่าการซื้อขาย 64,372.84 ล้านบาท ภาพรวมได้รับอิทธิพลจากปัจจัยลบภายนอกประเทศ หลังการเลือกตั้งในอิตาลี ส่อแววจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซน จะพบกับปัญหาที่มากขึ้นเหนือคาดการณ์
โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุด ที่ระดับ 1,539.81 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,524.08 จุ
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 268 หลักทรัพย์ ลดลง 411 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 113 หลักทรัพย์
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นต่างๆทั่วโลก จากความกังวลเรื่องของผลการเลือกตั้งของอิตาลี ที่คะแนนออกมายังไม่เป็นเอกฉันท์ ส่งผลให้ยังไม่สามารถมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ อีกทั้งยังรอข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องการแก้ไขการปรับลดวงเงินงบประมาณของสหรัฐฯ ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน
ทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นไทย วันนี้(27ก.พ.) คาดว่าดัชนี ยังอยู่ในด้านลบอถ้าไม่มีข่าวใหม่ที่ส่งผลบวกต่อตลาดเข้ามา แต่ดัชนีจะไม่ปรับลงตลอดเพราะจะทรงตัวในลักษณะรีบาวน์ ซึ่งต้องรอติดตามความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลอิตาลีอีกครั้งครั้ง โดยให้กรอบการแกว่ง 1,520-1,535 จุด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ขณะนี้มีสัญญาณความเสี่ยงจากปัญหาฟองสบู่ใน 120 หลักทรัพย์ โดย 70 หลักทรัพย์ เป็นหุ้นที่มีราคาปรับขึ้นอย่างร้อนแรงจนอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) พุ่งขึ้นเกิน 40 เท่า และหุ้นอีก 50 หลักทรัพย์ มีผลตอบแทนติดลบ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯและคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีคำเตือนไปยังนักลงทุนในการลงทุนในหุ้นดังกล่าว เพราะไม่อยากให้ขาดทุนจากการลงทุน ดังนั้นขอให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยง หากต้องการเล่นหุ้นร้อนแรง ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี อาทิ หุ้นใน SET50 และขอให้ลงทุนด้วยเงินสด ไม่ควรลงทุนจากเงินกู้
ทั้งนี้ ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยในปี 2555 ปรับขึ้นร้อนแรงมาก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับสูงขึ้น 35.8% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอันดับที่ 1 ของภูมิภาคเอเชีย ทำให้มูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นถึง 600,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนจากรายย่อยถึง 300,000 ล้านบาท ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นมาก
ตลาดหุ้นไทย วานนี้(26ก.พ.) ดัชนีเคลื่อนไหวในแดนลบ จากการเทขายของนักลงทุนต่างประเทศ และสถาบัน โดยปิดที่ระดับ 1,530.32 จุด ลดลง 9.81 จุด หรือ -0.64% มูลค่าการซื้อขาย 64,372.84 ล้านบาท ภาพรวมได้รับอิทธิพลจากปัจจัยลบภายนอกประเทศ หลังการเลือกตั้งในอิตาลี ส่อแววจัดตั้งรัฐบาลไม่ได้ ซึ่งทำให้นักลงทุนกังวลว่าวิกฤตหนี้สาธารณะในยูโรโซน จะพบกับปัญหาที่มากขึ้นเหนือคาดการณ์
โดยระหว่างวันดัชนีปรับตัวสูงสุด ที่ระดับ 1,539.81 จุด และต่ำสุดที่ระดับ 1,524.08 จุ
หลักทรัพย์ที่มีการเปลี่ยนแปลงวานนี้ เพิ่มขึ้น 268 หลักทรัพย์ ลดลง 411 หลักทรัพย์ และไม่เปลี่ยนแปลง 113 หลักทรัพย์
นายสมชาย เอนกทวีผล ผู้อำนวยการฝ่ายวิเคราะห์หลักทรัพย์ บล.ฟินันเซียไซรัส กล่าวว่า ตลาดหุ้นไทยวันนี้ปรับตัวลงตามตลาดหุ้นต่างๆทั่วโลก จากความกังวลเรื่องของผลการเลือกตั้งของอิตาลี ที่คะแนนออกมายังไม่เป็นเอกฉันท์ ส่งผลให้ยังไม่สามารถมีการจัดตั้งรัฐบาลได้ อีกทั้งยังรอข้อสรุปที่ชัดเจนเรื่องการแก้ไขการปรับลดวงเงินงบประมาณของสหรัฐฯ ซึ่งเหลือเวลาอีกไม่กี่วัน
ทำให้แนวโน้มตลาดหุ้นไทย วันนี้(27ก.พ.) คาดว่าดัชนี ยังอยู่ในด้านลบอถ้าไม่มีข่าวใหม่ที่ส่งผลบวกต่อตลาดเข้ามา แต่ดัชนีจะไม่ปรับลงตลอดเพราะจะทรงตัวในลักษณะรีบาวน์ ซึ่งต้องรอติดตามความชัดเจนของการจัดตั้งรัฐบาลอิตาลีอีกครั้งครั้ง โดยให้กรอบการแกว่ง 1,520-1,535 จุด
นายจรัมพร โชติกเสถียร กรรมการและผู้จัดการ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) กล่าวว่า ขณะนี้มีสัญญาณความเสี่ยงจากปัญหาฟองสบู่ใน 120 หลักทรัพย์ โดย 70 หลักทรัพย์ เป็นหุ้นที่มีราคาปรับขึ้นอย่างร้อนแรงจนอัตราส่วนราคาต่อกำไรสุทธิ (P/E Ratio) พุ่งขึ้นเกิน 40 เท่า และหุ้นอีก 50 หลักทรัพย์ มีผลตอบแทนติดลบ ซึ่งตลาดหลักทรัพย์ฯและคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้มีคำเตือนไปยังนักลงทุนในการลงทุนในหุ้นดังกล่าว เพราะไม่อยากให้ขาดทุนจากการลงทุน ดังนั้นขอให้นักลงทุนกระจายความเสี่ยง หากต้องการเล่นหุ้นร้อนแรง ควรเลือกลงทุนในหุ้นที่มีพื้นฐานดี อาทิ หุ้นใน SET50 และขอให้ลงทุนด้วยเงินสด ไม่ควรลงทุนจากเงินกู้
ทั้งนี้ ภาพรวมดัชนีหุ้นไทยในปี 2555 ปรับขึ้นร้อนแรงมาก ส่งผลให้ดัชนีตลาดหลักทรัพย์ปรับสูงขึ้น 35.8% ซึ่งเป็นการเพิ่มขึ้นอันดับที่ 1 ของภูมิภาคเอเชีย ทำให้มูลค่าตลาดรวม (มาร์เก็ตแคป) เพิ่มขึ้นถึง 600,000 ล้านบาท ส่วนหนึ่งเป็นการลงทุนจากรายย่อยถึง 300,000 ล้านบาท ทำให้ราคาหุ้นปรับขึ้นมาก