การปลดล็อคการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ไม่ให้อยู่ในมือพวกเผาบ้านเผาเมือง พรรคประชาธิปัตย์ควรแสดงสปิริตถอนตัวผู้สมัครเลือกตั้ง กทม. ในครั้งนี้แล้วประกาศสนับสนุนผู้สมัครอิสระคนใดคนหนึ่งอย่างเป็นทางการ
ผมรู้สึกว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม ครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่เคยมีมานับแต่กรุงเทพได้ถูกสถาปนาเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยเลย เนื้อหาสาระของการเลือกตั้งผู้ว่าถูกบิดเบือนไปหมด ความสำคัญของความโดดเด่นของผู้สมัครผู้ว่า กทม เนื้อหานโยบายของผู้สมัครแต่ละคนที่จะเป็นประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ชาว กทม. ถูกมองข้ามไปหมด
การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คราวนี้ กลับกลายเป็นสงครามชิงเมืองหลวงของพรรคการเมืองสองพรรคโดยที่คน กทม. ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งกลายเป็นเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อของพรรคเพื่อไทยที่ใช้วิชามารสารพัดงัดขึ้นมาตั้งแต่โพลชี้นำรับจ้างหรือการดิสเครดิสพรรคคู่แข่ง จนกระทั่งเรื่องฉาวดังกล่าวก็วกเข้าสู่ผู้สมัครพรรคตัวเองและเครือข่ายจนกระโดดชิ่งหนีกันแทบไม่ทัน ขนาดแกล้งล็อคเลขท้ายหวยก็ยังหน้าด้านทำได้ ตัดต่อรูปดารานักร้องนักมวยมาสนับสนุนพรรคตน
ทางฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่แพ้กัน ที่ตัดสินใจเลือกผู้สมัครจากพรรคตนเองก็ไม่เป็นที่นิยมของคนกทม จากผลงานการเป็นผู้ว่าฯ ที่ผ่านมาที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็กัดฟันส่ง เพราะกลัวแกจะไปสมัครอิสระจนมาตัดคะแนนกันเอง จนในที่สุดต้องใช้ความเกลียดความกลัวมาเป็นสโลแกนเลือกตั้ง ตัดต่อภาพเหตุการเผาเมืองมาโจมตีพรรคคู่แข่งและโจมตีผู้สมัครคนอื่นและคนที่ไม่ต้องการเลือกพรรคตนว่าทำให้เสียงแตก ว่าทำให้กรุงเทพตกเป็นของพวกเผาบ้านเผาเมือง จนทำให้เกิดกระแสความหมั่นไส้พรรคประชาธิปัตย์ตีกลับจนคะแนนวูปลงทุกวันๆ
นี่คือภาพสะท้อนว่า การเมืองไทยถึงทางตันโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่เป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเป็นการชูภาพของผู้สมัครที่เป็นปัจเจกบุคคลโดยตรงกลับกลายเป็นเรื่องระหว่างพรรคการเมืองมีความสำคัญเหนือกว่าคุณสมบัติของคนที่โดดเด่นที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.
คำถามคือพรรคประชาธิปัตย์ชนะไปชาว กทม. จะได้อะไร คำตอบคือไม่ได้อะไร นอกจากการเป็นตัวประกันระหว่างพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ที่เล่นเกมกันไปเล่นเกมกันมาก็เท่านั้น และในที่สุดความเดือดร้อนก็จะกลับมาตกอยู่ที่ชาว กทม. เสียเอง
แล้วถ้าพรรคเพื่อไทยชนะชาว กทม. จะได้อะไร ก็ไม่ได้อะไรนอกจากได้แต่มองตาปริบๆกับการกินรวบแบบไร้รอยต่อ และหน่วยงานของ กทม. ก็จะเป็นฐานสนับสนุนให้มวลชน นปช. และพรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งในและนอกสภาได้สะดวกโยธินยิ่งขึ้น
สรุปคือการเลือกตั้ง กทม. ครั้งนี้หากพรรคหนึ่งพรรคใดชนะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับชาว กทม. แท้ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว และจากผลโพล์ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยก็ทำท่าจะได้รับเลือกเป็นผู้ว่า กทม. เสียด้วยและพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีทางที่จะตีตื้นขึ้นได้จากแนวทางการหาเสียงของพรรคและพฤติกรรมผลักมิตรให้เป็นศัตรู ส่วนผู้สมัครอิสระอื่นๆ นั้นล้วนแล้วแต่มีฐานคะแนนที่จะตัดสินใจเลือกระหว่างอิสระด้วยกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว และฐานเสียงเหล่านี้ล้วนไม่ยอมตกเป็นเหยื่อวิธีการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น
จุดที่น่าสนใจคือทั้งมวลชนพรรคประชาธิปัตย์และผู้ที่จะเลือกผู้สมัครอิสระมีจุดร่วมกันอยู่หนึ่งอย่างซึ่งสำคัญมากกว่าสำหรับพรรคประชาธิปัตย์คือการสกัดไม่ให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ยึดฐานเลือกตั้ง กทม. ได้
ดังนั้นการปลดล็อคการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ในครั้งนี้ไม่ให้อยู่ในมือพวกเผาบ้านเผาเมืองที่ลงตัวสำหรับทุกฝ่ายคือ พรรคประชาธิปัตย์ควรแสดงสปิริตถอนตัวผู้สมัคเลือกตั้ง กทม. ในครั้งนี้แล้วประกาศสนับสนุนผู้สมัครอิสระคนใดคนหนึ่งอย่างเป็นทางการทันที สมมุติว่าอาจจะเป็นคุณสุหฤท ซึ่งจะส่งผลให้ผู้สมัครอิสระดังกล่าวจะมีคะแนนนิยมแซงผู้สมัครพรรคเพื่อไทยอย่างทันที เพราะจะได้คะแนนนิยมจาก
หนึ่ง : สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่จะมาช่วยเทคะแนนให้ เพราะนี่คือฐานเสียงที่เอายุทธศาสตร์พรรคนำหน้าในการตัดสินใจเลือกตั้งอยู่แล้ว
สอง : มีแนวโน้มว่าคะแนนเสียงของผู้สมัครอิสระคนต่างๆจะมารวมตัวกันหากผู้สมัครอิสระรายใดรายหนึ่งมีความชัดเจนที่จะชนะในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าอาจมีการประกาศรวมทีมเป็นรองผู้ว่าดูแลด้านต่างๆในภายหลังซึ่งเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายได้
หากพรรคประชาธิปัตย์เลือกวิธีนี้ มีแต่เกิดผลดีกับพรรคประชาธิปัตย์เอง ข้อแรกพรรคเพื่อไทยยึดพื้นที่กรุงเทพไม่ได้ ข้อสองคะแนนแฝงของพรรคประชาธิปัตย์จะมีมากขึ้นผ่านการสนับสนุนผู้สมัครอิสระ ข้อสามเป็นการปฏิรูปภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ว่ากล้าตัดสินใจและเป็นผู้นำริเริ่มให้ทีการปฏิรูปการเมืองจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ข้อสี่ การเลือกตั้งผู้ว่า กทม กลับมาเข้ารูปเข้ารอยตามวัตถุประสงค์ที่ควรจะเป็นอีกครั้ง ข้อห้าเปิดโอกาสให้คนที่มีความมุ่งมั่นมีแนวคิดใหม่ๆที่สร้างสรรค์ได้มาทำหน้าที่เป็นพ่อเมือง
แนวคิดนี้ผมว่าเป็นการวัดใจพรรคประชาธิปัตย์ และตั้งคำถามกลับไปยังมวลชนพรรคประชาธิปัตย์เองว่า ตกลงจะยอมให้พวกเผาบ้านเผาเมืองยึดกรุงเทพอันเป็นที่มั่นสุดท้ายทางการเมืองของตนหรือเปล่า ถึงเวลาหรือยังที่พรรคการเมืองนี้และผู้สนับสนุนพรรคการเมืองนี้จะเสียสละให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะคน กทม อย่างแท้จริง
ถึงเวลาหรือยังที่สังคมควรจะตั้งคำถามกลับไปยังพรรคประชาธิปัตย์บ้าง เวลามีเหลือไม่มากนี่คือการพิสูจน์ภาวะผู้นำของพรรคนี้อย่างแท้จริงว่ายังพอที่จะเป็นความหวังให้กับประชาชนได้หรือเปล่า หรือจะเอาแต่ได้อย่างเดียว
โดย : จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ
ผมรู้สึกว่าการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม ครั้งนี้ เป็นการเลือกตั้งที่สกปรกที่สุดในประวัติศาสตร์การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ที่เคยมีมานับแต่กรุงเทพได้ถูกสถาปนาเป็นเมืองหลวงของประเทศไทยเลย เนื้อหาสาระของการเลือกตั้งผู้ว่าถูกบิดเบือนไปหมด ความสำคัญของความโดดเด่นของผู้สมัครผู้ว่า กทม เนื้อหานโยบายของผู้สมัครแต่ละคนที่จะเป็นประโยชน์ที่จับต้องได้แก่ชาว กทม. ถูกมองข้ามไปหมด
การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. คราวนี้ กลับกลายเป็นสงครามชิงเมืองหลวงของพรรคการเมืองสองพรรคโดยที่คน กทม. ที่มีสิทธิ์เลือกตั้งกลายเป็นเหยื่อ ไม่ว่าจะเป็นเหยื่อของพรรคเพื่อไทยที่ใช้วิชามารสารพัดงัดขึ้นมาตั้งแต่โพลชี้นำรับจ้างหรือการดิสเครดิสพรรคคู่แข่ง จนกระทั่งเรื่องฉาวดังกล่าวก็วกเข้าสู่ผู้สมัครพรรคตัวเองและเครือข่ายจนกระโดดชิ่งหนีกันแทบไม่ทัน ขนาดแกล้งล็อคเลขท้ายหวยก็ยังหน้าด้านทำได้ ตัดต่อรูปดารานักร้องนักมวยมาสนับสนุนพรรคตน
ทางฝั่งพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่แพ้กัน ที่ตัดสินใจเลือกผู้สมัครจากพรรคตนเองก็ไม่เป็นที่นิยมของคนกทม จากผลงานการเป็นผู้ว่าฯ ที่ผ่านมาที่ล้มเหลวโดยสิ้นเชิง แต่พรรคประชาธิปัตย์ก็กัดฟันส่ง เพราะกลัวแกจะไปสมัครอิสระจนมาตัดคะแนนกันเอง จนในที่สุดต้องใช้ความเกลียดความกลัวมาเป็นสโลแกนเลือกตั้ง ตัดต่อภาพเหตุการเผาเมืองมาโจมตีพรรคคู่แข่งและโจมตีผู้สมัครคนอื่นและคนที่ไม่ต้องการเลือกพรรคตนว่าทำให้เสียงแตก ว่าทำให้กรุงเทพตกเป็นของพวกเผาบ้านเผาเมือง จนทำให้เกิดกระแสความหมั่นไส้พรรคประชาธิปัตย์ตีกลับจนคะแนนวูปลงทุกวันๆ
นี่คือภาพสะท้อนว่า การเมืองไทยถึงทางตันโดยสิ้นเชิง ทั้งๆ ที่เป็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ซึ่งเป็นการชูภาพของผู้สมัครที่เป็นปัจเจกบุคคลโดยตรงกลับกลายเป็นเรื่องระหว่างพรรคการเมืองมีความสำคัญเหนือกว่าคุณสมบัติของคนที่โดดเด่นที่จะมาเป็นผู้ว่าฯ กทม.
คำถามคือพรรคประชาธิปัตย์ชนะไปชาว กทม. จะได้อะไร คำตอบคือไม่ได้อะไร นอกจากการเป็นตัวประกันระหว่างพรรคการเมืองสองพรรคใหญ่ที่เล่นเกมกันไปเล่นเกมกันมาก็เท่านั้น และในที่สุดความเดือดร้อนก็จะกลับมาตกอยู่ที่ชาว กทม. เสียเอง
แล้วถ้าพรรคเพื่อไทยชนะชาว กทม. จะได้อะไร ก็ไม่ได้อะไรนอกจากได้แต่มองตาปริบๆกับการกินรวบแบบไร้รอยต่อ และหน่วยงานของ กทม. ก็จะเป็นฐานสนับสนุนให้มวลชน นปช. และพรรคเพื่อไทยเคลื่อนไหวทางการเมืองทั้งในและนอกสภาได้สะดวกโยธินยิ่งขึ้น
สรุปคือการเลือกตั้ง กทม. ครั้งนี้หากพรรคหนึ่งพรรคใดชนะไม่ได้เกิดประโยชน์อะไรกับชาว กทม. แท้ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว และจากผลโพล์ผู้สมัครจากพรรคเพื่อไทยก็ทำท่าจะได้รับเลือกเป็นผู้ว่า กทม. เสียด้วยและพรรคประชาธิปัตย์ก็ไม่มีทางที่จะตีตื้นขึ้นได้จากแนวทางการหาเสียงของพรรคและพฤติกรรมผลักมิตรให้เป็นศัตรู ส่วนผู้สมัครอิสระอื่นๆ นั้นล้วนแล้วแต่มีฐานคะแนนที่จะตัดสินใจเลือกระหว่างอิสระด้วยกันอย่างชัดเจนอยู่แล้ว และฐานเสียงเหล่านี้ล้วนไม่ยอมตกเป็นเหยื่อวิธีการหาเสียงของพรรคประชาธิปัตย์ทั้งสิ้น
จุดที่น่าสนใจคือทั้งมวลชนพรรคประชาธิปัตย์และผู้ที่จะเลือกผู้สมัครอิสระมีจุดร่วมกันอยู่หนึ่งอย่างซึ่งสำคัญมากกว่าสำหรับพรรคประชาธิปัตย์คือการสกัดไม่ให้พรรคเพื่อไทยชนะการเลือกตั้ง ยึดฐานเลือกตั้ง กทม. ได้
ดังนั้นการปลดล็อคการเลือกตั้งผู้ว่า กทม.ในครั้งนี้ไม่ให้อยู่ในมือพวกเผาบ้านเผาเมืองที่ลงตัวสำหรับทุกฝ่ายคือ พรรคประชาธิปัตย์ควรแสดงสปิริตถอนตัวผู้สมัคเลือกตั้ง กทม. ในครั้งนี้แล้วประกาศสนับสนุนผู้สมัครอิสระคนใดคนหนึ่งอย่างเป็นทางการทันที สมมุติว่าอาจจะเป็นคุณสุหฤท ซึ่งจะส่งผลให้ผู้สมัครอิสระดังกล่าวจะมีคะแนนนิยมแซงผู้สมัครพรรคเพื่อไทยอย่างทันที เพราะจะได้คะแนนนิยมจาก
หนึ่ง : สมาชิกพรรคประชาธิปัตย์ที่จะมาช่วยเทคะแนนให้ เพราะนี่คือฐานเสียงที่เอายุทธศาสตร์พรรคนำหน้าในการตัดสินใจเลือกตั้งอยู่แล้ว
สอง : มีแนวโน้มว่าคะแนนเสียงของผู้สมัครอิสระคนต่างๆจะมารวมตัวกันหากผู้สมัครอิสระรายใดรายหนึ่งมีความชัดเจนที่จะชนะในการเลือกตั้งผู้ว่า กทม ในครั้งนี้ ซึ่งเป็นไปได้สูงว่าอาจมีการประกาศรวมทีมเป็นรองผู้ว่าดูแลด้านต่างๆในภายหลังซึ่งเป็นประโยชน์แก่ทุกฝ่ายได้
หากพรรคประชาธิปัตย์เลือกวิธีนี้ มีแต่เกิดผลดีกับพรรคประชาธิปัตย์เอง ข้อแรกพรรคเพื่อไทยยึดพื้นที่กรุงเทพไม่ได้ ข้อสองคะแนนแฝงของพรรคประชาธิปัตย์จะมีมากขึ้นผ่านการสนับสนุนผู้สมัครอิสระ ข้อสามเป็นการปฏิรูปภาพลักษณ์ของพรรคประชาธิปัตย์ว่ากล้าตัดสินใจและเป็นผู้นำริเริ่มให้ทีการปฏิรูปการเมืองจากการเลือกตั้งครั้งนี้ ข้อสี่ การเลือกตั้งผู้ว่า กทม กลับมาเข้ารูปเข้ารอยตามวัตถุประสงค์ที่ควรจะเป็นอีกครั้ง ข้อห้าเปิดโอกาสให้คนที่มีความมุ่งมั่นมีแนวคิดใหม่ๆที่สร้างสรรค์ได้มาทำหน้าที่เป็นพ่อเมือง
แนวคิดนี้ผมว่าเป็นการวัดใจพรรคประชาธิปัตย์ และตั้งคำถามกลับไปยังมวลชนพรรคประชาธิปัตย์เองว่า ตกลงจะยอมให้พวกเผาบ้านเผาเมืองยึดกรุงเทพอันเป็นที่มั่นสุดท้ายทางการเมืองของตนหรือเปล่า ถึงเวลาหรือยังที่พรรคการเมืองนี้และผู้สนับสนุนพรรคการเมืองนี้จะเสียสละให้กับประเทศไทย โดยเฉพาะคน กทม อย่างแท้จริง
ถึงเวลาหรือยังที่สังคมควรจะตั้งคำถามกลับไปยังพรรคประชาธิปัตย์บ้าง เวลามีเหลือไม่มากนี่คือการพิสูจน์ภาวะผู้นำของพรรคนี้อย่างแท้จริงว่ายังพอที่จะเป็นความหวังให้กับประชาชนได้หรือเปล่า หรือจะเอาแต่ได้อย่างเดียว
โดย : จิตตนาถ ลิ้มทองกุล ประธานเจ้าหน้าที่บริหารเครือเอเอสทีวีผู้จัดการ