"สุริยะใส" สับผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม. หาเสียงเน้นประชานิยมจนน่าห่วง ทำไร้ทิศทางกำหนดอัตลักษณ์มหานครโลก เชื่อใครชนะก็เหมือนเดิม ซัด 2 พรรคใหญ่อาศัยความกลัวสู้กัน ทำเสียโอกาสเห็นผู้ว่าฯ เพื่อการปฏิรูป
วันนี้ (10 ก.พ.) นายสุริยะใส กตะศิลา ผู้ประสานงานกลุ่มกรีน กล่าวว่า ตนเห็นว่านโยบายหาเสียงของผู้สมัครผู้ว่าฯ กทม.ส่วนใหญ่ยังมุ่งเน้นแนวทางประชานิยม ประเภทลดแลกแจกแถม ท่วม กทม. น่าห่วงจนจะไปถึงประเภทประชานิยมแบบไล่แจกเสียด้วยซ้ำ ซึ่งทำให้การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม.ครั้งนี้ไม่ได้แข่งกันในทางนโยบายหรือทิศทางการการพัฒนาโดยเฉพาะการกำหนดอัตลักษณ์ของ กทม.ในฐานะมหานครของโลกในอนาคตว่าควรเป็นอย่างไร แนวทางที่หาเสียงกันอยู่แทบจะเรียกว่าเป็นงานประจำ เป็นงานที่ปลัด กทม. หรือ ผอ.เขตต้องรับผิดชอบหรือดำเนินการอยู่แล้ว เรื่องในระดับนโยบายที่จะทำให้ กทม.เป็นต้นแบบของการปฏิรูปประเทศไทย หรือ เป็นเมืองแบบอย่างของมหานครของโลก แทบจะไม่เห็นวิสัยทัศน์หรือนโยบายจากผู้สมัครฯ โดยเฉพาะผู้สมัครที่มีโอกาสชนะเลือกตั้ง
นายสุริยะใส ระบุว่า เช่น การปฏิรูปการจัดทำงบประมาณ กทม.ที่มีปีละกว่า 7 หมื่นล้านบาทให้เกิดความโปร่งใสมีประสิทธิภาพ การจัดทำผังเมืองใหม่เพื่อแก้ปัญหาอุทกภัยและรองรับการขยายตัวของเมืองในอนาคต การปฏิรูปการศึกษา การเพิ่มพื้นที่สีเขียวที่มากกว่าการปลูกต้นไม้โดยเฉพาะนโยบายสีเขียว การสร้างความสมดุลระหว่างส่วนที่เป็นเมืองกับชุมชน ฯลฯ
"เมื่อเป็นเช่นนี้ทำให้คนบางกลุ่มคิดว่าใครชนะเลือกตั้ง กทม.ก็เหมือนเดิม เพราะไม่เห็นความแตกต่างของนโยบายที่ชัดเจน จนอาจเป็นเหตุผลสำคัญที่คนจำนวนไม่น้อยที่ไม่ออกไปใช้สิทธิเลือกตั้ง เหมือนที่ผ่านๆ มา" นายสุริยะใส กล่าว
นายสุริยะใส ระบุอีกว่า ที่น่าเป็นห่วงมากพบว่าการแข่งขันของผู้สมัครฯจากทั้ง 2 พรรคใหญ่ ที่มีโอกาสชนะเลือกตั้งสูง ยังเป็นการแข่งขันกันแบบสร้างกระแสความกลัวเกิดขึ้นมากจนเกินไป กลัวแพ้บ้าง กลัวสารพัดเรื่อง จนอาจเสียโอกาสที่ประชาชนจะได้เห็นวิสัยทัศน์ นโยบายใหม่ๆ ของผู้สมัครฯ เพื่อปลุกคน กทม.ให้มีความฝัน ความหวังใหม่ร่วมกัน ในการสร้าง กทม.ให้เป็นเมืองต้นแบบการปฏิรูปและเป็นมหานครชั้นนำของโลก ถ้ากระแสความกลัวเข้ามาบดบังการเลือกตั้งครั้งนี้มากเกินไป จะทำให้ผู้มีสิทธิเลือกตั้งออกมาโหวตเพราะความกลัว กลัวแพ้ กลัวโน่น กลัวนี่ จนทำให้ กทม.ได้ผู้ว่าฯ ที่ขาดความเป็นผู้นำ และเสียโอกาสที่จะได้เห็นความเปลี่ยนแปลงใหม่ๆ และยิ่งโหวตเพราะกลัวแพ้ แล้วในที่สุดแพ้จริงๆ ยิ่งจะเป็นการทำให้เสียโอกาสที่ผู้ว่า กทม.จะได้รับการสนับสนุน ความร่วมไม้ร่วมมือจากกลุ่มประชาชนที่เห็นต่าง ทำให้ กทม.สูญเสียพลังเพื่อเปลี่ยนแปลงปฏิรูปไปโดยปริยาย