วานนี้ (13 ก.พ.) นพ.ประดิษฐ สินธวณรงค์ รมว.สาธารณสุข (สธ.) กล่าวภายหลังเปิดประชุมและมอบนโยบายแก่ผู้แทนชมรมสาธารณสุขแห่งประเทศไทย ประมาณ 120 คน เพื่อพัฒนายุทธศาสตร์หน่วยงานสาธารณสุขระดับอำเภอ และระดับตำบลว่า ในปี 2556 นี้ รัฐบาลมีนโยบายเพิ่มเงินให้องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่น(อปท.) ขึ้นอีกประมาณ 20,000 ล้านบาท ให้เป็นสัดส่วนร้อยละ50 เพื่อดูแลกิจกรรมต่างๆซึ่งรวมถึงเรื่องสุขภาพด้วย โดยงบส่วนนี้จะไปเพิ่มในส่วนของเงินที่จะอุดหนุนกิจกรรมของอาสาสมัครสาธารณสุขประจำหมู่บ้าน (อสม.) เพื่อแก้ปัญหายาเสพติดในชุมชน การดูแลช่วยเหลือกลุ่มผู้พิการ โดยให้มีการทำงานแบบบูรณาการร่วมกันในพื้นที่ ระหว่างหน่วยงานอปท. ประชาชน และโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพประจำตำบล (รพ.สต.) โดยยึดประชาชนเป็นศูนย์กลาง มั่นใจงานจะประสบความสำเร็จได้อย่างแน่นอน
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาสุขภาพที่สำคัญของรัฐบาล คือ การสร้างภูมิต้านทานให้กับประชาชนทุกวัย เนื่องจากโรคที่กำลังคุกคามประเทศของเราขณะนี้ เป็นโรคจากพฤติกรรมทางสังคม แตกต่างจากในอดีตซึ่งเป็นโรคติดเชื้อ ซึ่งเราสามารถควบคุมได้ดีพอสมควร และมีการฉีดวัคซีน ได้มอบนโยบายให้ รพ.สต. ทั่วประเทศกว่า 9,000 แห่ง เพิ่มกลยุทธ์ในด้านการส่งเสริมสุขภาพประชาชนทุกกลุ่ม ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา ร่วมกับอปท.และอสม. เพื่อให้มีภูมิต้านทานต่อโรคทางสังคม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ อายุ 0-6 ปี อายุ 6-18 ปี อายุ 18-59 ปี และ60 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากจะเป็นการป้องกัน และแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น กลุ่มอายุ 0-6 ปี จะดูตั้งแต่การตั้งครรภ์ การฝากครรภ์ ที่ถูกต้องเพื่อให้เด็กที่เกิดออกมาเป็นเด็กมีคุณภาพ กลุ่มอายุ 6-18 ปี เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยทำงาน เข้าสู่สังคม เด็กวัยเหล่านี้เมื่อเข้าสู่สังคมจะมีพฤติกรรมและพบกับปัญหาความเสี่ยงต่างๆ จะต้องดูตั้งแต่เรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การลดพฤติกรรมความเสี่ยงต่างๆ เช่น การไม่สวมหมวกนิรภัยในกลุ่มที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ เป็นต้น ส่วนกลุ่มวัยทำงาน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของประเทศ จะต้องกระตุ้นและสร้างให้มีภูมิต้านโรคโดยเฉพาะพฤติกรรมต่างๆ ป้องกันโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งจะต้องมีระบบการตรวจค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยง เพื่อแก้ไขพฤติกรรมเสี่ยงป้องกันไม่ให้ป่วย ก็จะเป็นการประหยัดเงิน ยืดอายุการมีสุขภาพดีให้แก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น สำหรับกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเน้นเรื่องการซ่อมแซม การฟื้นฟูสุขภาพ
"กลยุทธ์เหล่านี้ต้องเริ่มต้นที่ระดับ รพ.สต. เป็นผู้ดูแลโดยร่วมมือกับท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การทำงานของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพนั้น จะยังคงในเรื่องการให้บริการรักษาพยาบาลเบื้องต้นแก่ประชาชนที่เจ็บป่วย และมีระบบการส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลระดับที่สูงขึ้น เนื่องจากเป็นสถานพยาบาลด่านแรกที่อยู่ใกล้ชุมชนที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนด้วย" รมว.สาธารณสุข กล่าว
นพ.ประดิษฐ กล่าวอีกว่า ยุทธศาสตร์แก้ไขปัญหาสุขภาพที่สำคัญของรัฐบาล คือ การสร้างภูมิต้านทานให้กับประชาชนทุกวัย เนื่องจากโรคที่กำลังคุกคามประเทศของเราขณะนี้ เป็นโรคจากพฤติกรรมทางสังคม แตกต่างจากในอดีตซึ่งเป็นโรคติดเชื้อ ซึ่งเราสามารถควบคุมได้ดีพอสมควร และมีการฉีดวัคซีน ได้มอบนโยบายให้ รพ.สต. ทั่วประเทศกว่า 9,000 แห่ง เพิ่มกลยุทธ์ในด้านการส่งเสริมสุขภาพประชาชนทุกกลุ่ม ตั้งแต่วัยเด็กจนถึงวัยชรา ร่วมกับอปท.และอสม. เพื่อให้มีภูมิต้านทานต่อโรคทางสังคม แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม คือ อายุ 0-6 ปี อายุ 6-18 ปี อายุ 18-59 ปี และ60 ปีขึ้นไป
ทั้งนี้ เนื่องจากจะเป็นการป้องกัน และแก้ไขปัญหาตั้งแต่ต้นน้ำ เช่น กลุ่มอายุ 0-6 ปี จะดูตั้งแต่การตั้งครรภ์ การฝากครรภ์ ที่ถูกต้องเพื่อให้เด็กที่เกิดออกมาเป็นเด็กมีคุณภาพ กลุ่มอายุ 6-18 ปี เตรียมความพร้อมก่อนเข้าสู่วัยทำงาน เข้าสู่สังคม เด็กวัยเหล่านี้เมื่อเข้าสู่สังคมจะมีพฤติกรรมและพบกับปัญหาความเสี่ยงต่างๆ จะต้องดูตั้งแต่เรื่องอาหาร การออกกำลังกาย การลดพฤติกรรมความเสี่ยงต่างๆ เช่น การไม่สวมหมวกนิรภัยในกลุ่มที่ขับขี่รถจักรยานยนต์ เป็นต้น ส่วนกลุ่มวัยทำงาน ซึ่งเป็นกำลังสำคัญของประเทศ จะต้องกระตุ้นและสร้างให้มีภูมิต้านโรคโดยเฉพาะพฤติกรรมต่างๆ ป้องกันโรคอ้วน เบาหวาน ความดันโลหิตสูง ซึ่งจะต้องมีระบบการตรวจค้นหาผู้ที่มีความเสี่ยง เพื่อแก้ไขพฤติกรรมเสี่ยงป้องกันไม่ให้ป่วย ก็จะเป็นการประหยัดเงิน ยืดอายุการมีสุขภาพดีให้แก่ประชาชนได้ดียิ่งขึ้น สำหรับกลุ่มอายุ 60 ปีขึ้นไป จะเน้นเรื่องการซ่อมแซม การฟื้นฟูสุขภาพ
"กลยุทธ์เหล่านี้ต้องเริ่มต้นที่ระดับ รพ.สต. เป็นผู้ดูแลโดยร่วมมือกับท้องถิ่น อย่างไรก็ตาม การทำงานของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพนั้น จะยังคงในเรื่องการให้บริการรักษาพยาบาลเบื้องต้นแก่ประชาชนที่เจ็บป่วย และมีระบบการส่งต่อรักษาที่โรงพยาบาลระดับที่สูงขึ้น เนื่องจากเป็นสถานพยาบาลด่านแรกที่อยู่ใกล้ชุมชนที่สุด เพื่อสร้างความเชื่อมั่นแก่ประชาชนด้วย" รมว.สาธารณสุข กล่าว