การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.กำลังเข้มข้นขึ้นทุกวัน และโพลทุกสำนักบอกว่า พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ผู้สมัครของพรรคเพื่อไทย นำม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร จากพรรคประชาธิปัตย์ ตามมาห่างๆคือ พล.ต.อ.เสรีพิสุทธิ์ เตมียาเวส อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติที่ลงสมัครในนามกลุ่มอิสระและกำลังขายแคมเปญกรุงเทพฯต้องปลอดจากพรรคการเมือง
ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อสวนดุสิตโพล กรุงเทพโพล หรือเอแบคโพลหรอกครับ เพราะทั้งสามโพลนี้โน้มเอียงไปทางพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล แต่พอผลสำรวจของนิด้าโพลออกมาว่า พงศพัศนำสุขุมพันธุ์ เช่นเดียวกัน ผมก็เริ่มหวั่นไหวว่า กรุงเทพฯอาจจะถูกระบอบทักษิณยึดครองไปแล้วเป็นแน่แท้
กลายเป็นคำถามว่า คนกรุงเทพฯเปลี่ยนไปแล้วอย่างที่จตุพร พรหมพันธุ์ พูดอย่างย่ามใจว่า ตอนนี้คนกรุงเทพฯเปลี่ยนมาเป็นเสื้อแดงแล้ว
ถ้าถามผมผมก็ไม่เชื่อหรอกครับว่าคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่กลายเป็นเสื้อแดงไปอย่างที่จตุพรว่า แต่ผมคิดว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของคนกรุงเทพฯเป็นการตัดสินใจที่คิดหนักที่สุด ยากที่สุด และน่าจะมองว่าจะเลือกผู้ว่าฯกทม.แบบไหนมากกว่าเลือกสีเสื้อทางการเมือง
บอกตรงๆผมไม่ยินดีเลยถ้าพงศพัศจะชนะเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.เพราะนั่นเท่ากับระบอบทักษิณสามารถเข้ายึดกุมเมืองหลวงฐานที่มั่นของชนชั้นกลาง และชนชั้นนำที่ถูกระบุว่าคนเหล่านั้นเป็นศัตรูกับระบอบทักษิณ
มันทำใจยากครับที่จะยอมรับระบอบทักษิณได้ในฐานะที่ผมต่อสู้กับความชั่วร้ายของระบอบทักษิณมานานจนมีข้อหาร้ายแรงติดตัว
แต่การจะลงคะแนนเลือกหม่อมสุขุมพันธุ์ที่เราเห็นฝีไม้ลายมือมาแล้ว4ปีว่าไม่เอาไหนนั้น ผมคิดว่าสำหรับหลายๆคนที่ไม่ใช่สาวกของประชาธิปัตย์แบบหัวปักหัวปำ เป็นคนกลางๆ ผมเชื่อว่าคนเหล่านั้นคิดว่าถ้าจะเลือกหม่อมสุขุมพันธุ์ต้องใช้ความพยายามบังคับใจตัวเองอย่างมาก ถ้าจะเลือกต้องใช้แรงฝืนใจอย่างมาก
บางคนบอกว่าต้องยอมฝืนเลือกสุขุมพันธุ์ เพราะไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยยึดครองกรุงเทพฯ หลายคนบอกว่า ถ้าไม่เอาทักษิณต้องเลือกสุขุมพันธุ์ แต่พอถามว่า แล้วหม่อมสุขุมพันธุ์มีดีอย่างไรที่เราต้องเลือก คำตอบนั้นก็ล่องลอยอยู่ในสายลม
จะบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ดีกว่าพรรคเพื่อไทยก็ตอบยาก เพราะเห็นฝีไม้ลายมือในการบริหารบ้านเมืองมาแล้วว่าไม่เอาไหนพอๆกัน และถ้าจะว่าไปการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ในการทำงานจริงๆนั้นแทบจะไม่เกี่ยวกับพรรคเลย ดูระหว่างยุคสุขุมพันธุ์กับพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ หม่อมสุขุมพันธุ์กับพรรคเป็นไม้เบื่อไม้เมากันด้วยซ้ำไป แม้ว่าปัจจัยหลักจะมาจากบุคลิกของหม่อมสุขุมพันธุ์ก็ตาม ผมก็เลยไม่เชื่อเรื่อง“รอยต่อ”ของพรรคเพื่อไทยด้วย
บางคนไม่เอาเสื้อแดง ยังนึกถึงภาพบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟ บางคนหวั่นไหวภัยที่จะกระทบต่อสถาบัน แต่ไม่อยากเลือกสุขุมพันธุ์ก็กลัวว่า พงศพัศจะได้ จะเลือกคนอื่นก็ไม่มั่นใจว่าจะมากพอที่จะชนะพงศพัศที่เสียงของเสื้อแดงแพ็คกันแน่นไม่แตกแน่ๆหรือไม่
หลายคนจึงยังตัดสินใจไม่ได้ในตอนนี้ว่าจะเลือกใคร คิดๆอยู่ว่าจะเลือกตามความรู้สึกของตัวเองหรือว่าเลือกในเชิงยุทธศาสตร์
ผมว่าพรรคประชาธิปัตย์เองก็รู้ว่าตัวบุคคลเป็นรองจึงไม่ตัดสินใจกำหนดตัวผู้สมัครผู้ว่าฯแต่เนิ่นๆ ข่าวตอนแรกออกมาทำนองว่าไม่เอาสุขุมพันธุ์ด้วยซ้ำไป แต่พอหม่อมขู่ว่าถึงพรรคไม่ส่งก็จะลงแน่ๆ พรรคประชาธิปัตย์ก็เกิดความกลัวว่าจะแย่งคะแนนกัน ทั้งที่จริงๆแล้วถ้าปล่อยให้สุขุมพันธุ์เป็นผู้สมัครอิสระ สุขุมพันธุ์ก็คงได้ไม่กี่คะแนนเพราะภาพลักษณ์ส่วนตัว แล้วถ้าพรรคเลือกคนอย่างกรณ์ จาติกวณิช ภาพของตัวบุคคลก็อาจสู้กับพงศพัศได้สบาย
ผมไม่ได้บอกนะครับว่ากรณ์มีคุณสมบัติที่ครบถ้วน และยังจำเรื่องที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เล่าเรื่องคนปล่อยข่าวว่ารับเงินทักษิณได้ดี แต่ภาพของกรณ์ไม่ช้ำเท่ากับสุขุมพันธุ์ที่คนกรุงเทพฯเห็นฝีไม้ลายมือมาแล้ว
อย่าลืมว่าโพลส่วนใหญ่แม้พงศพัศจะนำหน้าหม่อมสุขุมพันธุ์ แต่จะเห็นได้ว่าทุกโพลยังมีคะแนนคนกลางๆที่ยังไม่ตัดสินใจอีกมาก คะแนนตรงนี้ต่างหากที่เป็นเสียงชี้ขาด ลองนึกดูสิครับว่า เขาจะตัดสินใจเลือกคนที่ภาพดีแต่พรรคแย่ หรือคนที่ภาพแย่แต่พรรคก็แย่พอกัน
นอกจากภาพตัวบุคคลหม่อมสุขุมพันธุ์สู้ไม่ได้เมื่อบวกกับจริตคนกรุงเทพฯและสื่อที่ชอบคนสร้างภาพ แถมพงศพัศนี่เป็นจอมสร้างภาพระดับตัวพ่อที่สะสมภาพมานานจนเจนตาคนที่พบเห็นมาดนุ่มขยัน คะแนนก็นำลิ่ว จนคนลืมนึกไปว่า มาจากพรรคของทักษิณและเป็นแก๊งเดียวกับพวกเผาเมืองที่มาช่วยหาเสียง
ถ้าคนจะถามว่า พงศพัศมีผลงานอะไรในระหว่างเป็นตำรวจคำตอบก็คงไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ที่คนจำได้ติดตาก็เพราะพงศพัศขยันเป็นข่าว และรู้ว่าจะทำอะไรที่ทำให้ได้ออกสื่อและทำแบบนี้มาเป็นสิบๆปี
ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนของพรรคที่มีฐานที่9แสนเป็นทุน แต่พงศพัศมีฐานของพรรคที่5แสน แต่เมื่อบวกกับคะแนนบุคคลที่เหนือกว่าสุขุมพันธุ์หลายขุม โพลทุกโพลจึงให้พงศพัศนำห่าง
คะแนน 9 แสนกับ 5 แสนนี่ผมไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆนะครับ แต่นำมาจากผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในหลายครั้งที่ผ่านมา คะแนนของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์จะได้ประมาณ 9 แสน เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย(ไทยรักไทย-พลังประชาชน)ที่จะได้ประมาณ 5 แสน
อย่างไรก็ตามผมไม่เชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จะรักษาฐานคะแนนระดับนั้นไว้ได้ ขณะเดียวกันผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะมีฐานคะแนนที่เข็มแข็งขึ้น แต่ยังเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะยังมีคะแนนพรรคที่เหนือกว่าแม้ว่าอาจจะไม่เท่าเดิมที่เคยได้ แต่คะแนนที่สำคัญที่น่าจะชี้ขาดจากคนที่ยังไม่ตัดสินใจก็คือภาพของตัวบุคคลซึ่งต้องยอมรับว่าหม่อมสุขุมพันธุ์เป็นรอง
ถ้าประชาธิปัตย์จะแพ้ก็ต้องโทษการไม่กล้าตัดสินใจที่ไม่กล้าเปลี่ยนตัวผู้สมัคร การตัดสินใจก็สะท้อนภาวะผู้นำของหัวหน้าพรรคนั่นแหละครับ
ส่วนตัวนะครับ สำหรับผมแล้วยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่สิ่งที่ทำให้ผมอาจตัดสินใจง่ายก็คือ พฤติกรรมของสาวกพรรคประชาธิปัตย์ที่ชอบใช้วาจาด่าทอคนที่วิจารณ์พรรคของตัวเองโดยไม่มองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงหรือความเท็จ ใครบอกว่าไม่เลือกหม่อมสุขุมพันธุ์หรือประชาธิปัตย์คนนั้นเป็นคนชั่ว เป็นพวกโจร เป็นพวกล้มเจ้า เป็นพวกรับเงินทักษิณ ไม่ยอมรับการโต้แย้งด้วยเหตุผล เอาแต่ประณามคนอื่นเมื่อไม่ถูกใจตัวเอง
และที่สำคัญไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น พวกนี้ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยอย่างมาก เราพบคนแบบนี้มากทีเดียวครับในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะพวกแม่ยกพ่อยกของพรรคประชาธิปัตย์ โดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่า พฤติกรรมที่กระทำอยู่นั้นไม่สามารถเรียกคะแนนให้กับพรรคที่เขารักมีแต่จะเพิ่มความชิงชังและทำให้คนอื่นถอยห่าง
ผมมองไม่ออกเลยว่า เราจะต้านกระแสที่มาแรงของผู้สมัครพรรคเพื่อไทยที่มีระบอบทักษิณหนุนหลังได้อย่างไร
แต่สุดท้ายผมหวังว่าคนกรุงเทพฯจะมองเห็นทางออก ซึ่งเราคงต้องเคารพการตัดสินใจของคนกรุงเทพฯที่จะมีฉันทามติร่วมกันว่าจะเลือกใครเป็นผู้ว่าฯกทม.
ตอนแรกผมก็ไม่ค่อยจะเชื่อสวนดุสิตโพล กรุงเทพโพล หรือเอแบคโพลหรอกครับ เพราะทั้งสามโพลนี้โน้มเอียงไปทางพรรคเพื่อไทยและรัฐบาล แต่พอผลสำรวจของนิด้าโพลออกมาว่า พงศพัศนำสุขุมพันธุ์ เช่นเดียวกัน ผมก็เริ่มหวั่นไหวว่า กรุงเทพฯอาจจะถูกระบอบทักษิณยึดครองไปแล้วเป็นแน่แท้
กลายเป็นคำถามว่า คนกรุงเทพฯเปลี่ยนไปแล้วอย่างที่จตุพร พรหมพันธุ์ พูดอย่างย่ามใจว่า ตอนนี้คนกรุงเทพฯเปลี่ยนมาเป็นเสื้อแดงแล้ว
ถ้าถามผมผมก็ไม่เชื่อหรอกครับว่าคนกรุงเทพฯส่วนใหญ่กลายเป็นเสื้อแดงไปอย่างที่จตุพรว่า แต่ผมคิดว่า การตัดสินใจครั้งนี้ของคนกรุงเทพฯเป็นการตัดสินใจที่คิดหนักที่สุด ยากที่สุด และน่าจะมองว่าจะเลือกผู้ว่าฯกทม.แบบไหนมากกว่าเลือกสีเสื้อทางการเมือง
บอกตรงๆผมไม่ยินดีเลยถ้าพงศพัศจะชนะเลือกตั้งเป็นผู้ว่าฯกทม.เพราะนั่นเท่ากับระบอบทักษิณสามารถเข้ายึดกุมเมืองหลวงฐานที่มั่นของชนชั้นกลาง และชนชั้นนำที่ถูกระบุว่าคนเหล่านั้นเป็นศัตรูกับระบอบทักษิณ
มันทำใจยากครับที่จะยอมรับระบอบทักษิณได้ในฐานะที่ผมต่อสู้กับความชั่วร้ายของระบอบทักษิณมานานจนมีข้อหาร้ายแรงติดตัว
แต่การจะลงคะแนนเลือกหม่อมสุขุมพันธุ์ที่เราเห็นฝีไม้ลายมือมาแล้ว4ปีว่าไม่เอาไหนนั้น ผมคิดว่าสำหรับหลายๆคนที่ไม่ใช่สาวกของประชาธิปัตย์แบบหัวปักหัวปำ เป็นคนกลางๆ ผมเชื่อว่าคนเหล่านั้นคิดว่าถ้าจะเลือกหม่อมสุขุมพันธุ์ต้องใช้ความพยายามบังคับใจตัวเองอย่างมาก ถ้าจะเลือกต้องใช้แรงฝืนใจอย่างมาก
บางคนบอกว่าต้องยอมฝืนเลือกสุขุมพันธุ์ เพราะไม่อยากให้พรรคเพื่อไทยยึดครองกรุงเทพฯ หลายคนบอกว่า ถ้าไม่เอาทักษิณต้องเลือกสุขุมพันธุ์ แต่พอถามว่า แล้วหม่อมสุขุมพันธุ์มีดีอย่างไรที่เราต้องเลือก คำตอบนั้นก็ล่องลอยอยู่ในสายลม
จะบอกว่าพรรคประชาธิปัตย์ดีกว่าพรรคเพื่อไทยก็ตอบยาก เพราะเห็นฝีไม้ลายมือในการบริหารบ้านเมืองมาแล้วว่าไม่เอาไหนพอๆกัน และถ้าจะว่าไปการดำรงตำแหน่งผู้ว่าฯกทม.ในการทำงานจริงๆนั้นแทบจะไม่เกี่ยวกับพรรคเลย ดูระหว่างยุคสุขุมพันธุ์กับพรรคประชาธิปัตย์ก็ได้ หม่อมสุขุมพันธุ์กับพรรคเป็นไม้เบื่อไม้เมากันด้วยซ้ำไป แม้ว่าปัจจัยหลักจะมาจากบุคลิกของหม่อมสุขุมพันธุ์ก็ตาม ผมก็เลยไม่เชื่อเรื่อง“รอยต่อ”ของพรรคเพื่อไทยด้วย
บางคนไม่เอาเสื้อแดง ยังนึกถึงภาพบ้านเมืองที่ลุกเป็นไฟ บางคนหวั่นไหวภัยที่จะกระทบต่อสถาบัน แต่ไม่อยากเลือกสุขุมพันธุ์ก็กลัวว่า พงศพัศจะได้ จะเลือกคนอื่นก็ไม่มั่นใจว่าจะมากพอที่จะชนะพงศพัศที่เสียงของเสื้อแดงแพ็คกันแน่นไม่แตกแน่ๆหรือไม่
หลายคนจึงยังตัดสินใจไม่ได้ในตอนนี้ว่าจะเลือกใคร คิดๆอยู่ว่าจะเลือกตามความรู้สึกของตัวเองหรือว่าเลือกในเชิงยุทธศาสตร์
ผมว่าพรรคประชาธิปัตย์เองก็รู้ว่าตัวบุคคลเป็นรองจึงไม่ตัดสินใจกำหนดตัวผู้สมัครผู้ว่าฯแต่เนิ่นๆ ข่าวตอนแรกออกมาทำนองว่าไม่เอาสุขุมพันธุ์ด้วยซ้ำไป แต่พอหม่อมขู่ว่าถึงพรรคไม่ส่งก็จะลงแน่ๆ พรรคประชาธิปัตย์ก็เกิดความกลัวว่าจะแย่งคะแนนกัน ทั้งที่จริงๆแล้วถ้าปล่อยให้สุขุมพันธุ์เป็นผู้สมัครอิสระ สุขุมพันธุ์ก็คงได้ไม่กี่คะแนนเพราะภาพลักษณ์ส่วนตัว แล้วถ้าพรรคเลือกคนอย่างกรณ์ จาติกวณิช ภาพของตัวบุคคลก็อาจสู้กับพงศพัศได้สบาย
ผมไม่ได้บอกนะครับว่ากรณ์มีคุณสมบัติที่ครบถ้วน และยังจำเรื่องที่คุณสนธิ ลิ้มทองกุล เล่าเรื่องคนปล่อยข่าวว่ารับเงินทักษิณได้ดี แต่ภาพของกรณ์ไม่ช้ำเท่ากับสุขุมพันธุ์ที่คนกรุงเทพฯเห็นฝีไม้ลายมือมาแล้ว
อย่าลืมว่าโพลส่วนใหญ่แม้พงศพัศจะนำหน้าหม่อมสุขุมพันธุ์ แต่จะเห็นได้ว่าทุกโพลยังมีคะแนนคนกลางๆที่ยังไม่ตัดสินใจอีกมาก คะแนนตรงนี้ต่างหากที่เป็นเสียงชี้ขาด ลองนึกดูสิครับว่า เขาจะตัดสินใจเลือกคนที่ภาพดีแต่พรรคแย่ หรือคนที่ภาพแย่แต่พรรคก็แย่พอกัน
นอกจากภาพตัวบุคคลหม่อมสุขุมพันธุ์สู้ไม่ได้เมื่อบวกกับจริตคนกรุงเทพฯและสื่อที่ชอบคนสร้างภาพ แถมพงศพัศนี่เป็นจอมสร้างภาพระดับตัวพ่อที่สะสมภาพมานานจนเจนตาคนที่พบเห็นมาดนุ่มขยัน คะแนนก็นำลิ่ว จนคนลืมนึกไปว่า มาจากพรรคของทักษิณและเป็นแก๊งเดียวกับพวกเผาเมืองที่มาช่วยหาเสียง
ถ้าคนจะถามว่า พงศพัศมีผลงานอะไรในระหว่างเป็นตำรวจคำตอบก็คงไม่มีอะไรเป็นชิ้นเป็นอัน แต่ที่คนจำได้ติดตาก็เพราะพงศพัศขยันเป็นข่าว และรู้ว่าจะทำอะไรที่ทำให้ได้ออกสื่อและทำแบบนี้มาเป็นสิบๆปี
ตอนนี้พรรคประชาธิปัตย์มีคะแนนของพรรคที่มีฐานที่9แสนเป็นทุน แต่พงศพัศมีฐานของพรรคที่5แสน แต่เมื่อบวกกับคะแนนบุคคลที่เหนือกว่าสุขุมพันธุ์หลายขุม โพลทุกโพลจึงให้พงศพัศนำห่าง
คะแนน 9 แสนกับ 5 แสนนี่ผมไม่ได้คิดขึ้นมาลอยๆนะครับ แต่นำมาจากผลการเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม.ในหลายครั้งที่ผ่านมา คะแนนของผู้สมัครพรรคประชาธิปัตย์จะได้ประมาณ 9 แสน เช่นเดียวกับพรรคเพื่อไทย(ไทยรักไทย-พลังประชาชน)ที่จะได้ประมาณ 5 แสน
อย่างไรก็ตามผมไม่เชื่อว่า พรรคประชาธิปัตย์จะรักษาฐานคะแนนระดับนั้นไว้ได้ ขณะเดียวกันผมเชื่อว่าพรรคเพื่อไทยน่าจะมีฐานคะแนนที่เข็มแข็งขึ้น แต่ยังเชื่อว่าพรรคประชาธิปัตย์น่าจะยังมีคะแนนพรรคที่เหนือกว่าแม้ว่าอาจจะไม่เท่าเดิมที่เคยได้ แต่คะแนนที่สำคัญที่น่าจะชี้ขาดจากคนที่ยังไม่ตัดสินใจก็คือภาพของตัวบุคคลซึ่งต้องยอมรับว่าหม่อมสุขุมพันธุ์เป็นรอง
ถ้าประชาธิปัตย์จะแพ้ก็ต้องโทษการไม่กล้าตัดสินใจที่ไม่กล้าเปลี่ยนตัวผู้สมัคร การตัดสินใจก็สะท้อนภาวะผู้นำของหัวหน้าพรรคนั่นแหละครับ
ส่วนตัวนะครับ สำหรับผมแล้วยังไม่ได้ตัดสินใจ แต่สิ่งที่ทำให้ผมอาจตัดสินใจง่ายก็คือ พฤติกรรมของสาวกพรรคประชาธิปัตย์ที่ชอบใช้วาจาด่าทอคนที่วิจารณ์พรรคของตัวเองโดยไม่มองว่าสิ่งที่เขาพูดนั้นเป็นความจริงหรือความเท็จ ใครบอกว่าไม่เลือกหม่อมสุขุมพันธุ์หรือประชาธิปัตย์คนนั้นเป็นคนชั่ว เป็นพวกโจร เป็นพวกล้มเจ้า เป็นพวกรับเงินทักษิณ ไม่ยอมรับการโต้แย้งด้วยเหตุผล เอาแต่ประณามคนอื่นเมื่อไม่ถูกใจตัวเอง
และที่สำคัญไม่เคารพสิทธิของผู้อื่น พวกนี้ต้องเรียนรู้และทำความเข้าใจเรื่องสิทธิเสรีภาพประชาธิปไตยอย่างมาก เราพบคนแบบนี้มากทีเดียวครับในโซเชียลมีเดีย โดยเฉพาะพวกแม่ยกพ่อยกของพรรคประชาธิปัตย์ โดยที่พวกเขาหารู้ไม่ว่า พฤติกรรมที่กระทำอยู่นั้นไม่สามารถเรียกคะแนนให้กับพรรคที่เขารักมีแต่จะเพิ่มความชิงชังและทำให้คนอื่นถอยห่าง
ผมมองไม่ออกเลยว่า เราจะต้านกระแสที่มาแรงของผู้สมัครพรรคเพื่อไทยที่มีระบอบทักษิณหนุนหลังได้อย่างไร
แต่สุดท้ายผมหวังว่าคนกรุงเทพฯจะมองเห็นทางออก ซึ่งเราคงต้องเคารพการตัดสินใจของคนกรุงเทพฯที่จะมีฉันทามติร่วมกันว่าจะเลือกใครเป็นผู้ว่าฯกทม.