xs
xsm
sm
md
lg

จับรด.ปี 3 เกณฑ์ทหาร แก้กฎทหารยุคใหม่ ต้องฉลาด

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

วานนี้ ( 5 ก.พ.) พล.ท.วิชิต ศรีประเสริฐ ผู้บัญชาการหน่วยบัญชาการรักษาดินแดน (ผบ.นรด.) ให้สัมภาษณ์ถึงกรณีที่ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก (ผบ.ทบ.) มีแนวคิดที่จะให้ผู้ที่จบหลักสูตรนักศึกษาวิชาการทหารต้องเข้ามาเกณฑ์ทหารว่า เรื่องนี้ยังเป็นแนวคิด ซึ่งขณะนี้ยังไม่สามารถทำได้ในทันที แต่ที่ผ่านมาทาง นรด.ก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน เพราะอนุสัญญาเจนีวานั้นห้ามไม่ให้เด็กฝึกอาวุธ จึงทำให้ นศ.วิชาการทหารไม่สามารถฝึกอาวุธได้อย่างเข้มข้นเท่าที่ควร ทั้งนี้ไม่ว่าใครก็ตามที่เรียนจบรด.ชั้นปีที่ 3 จะได้รับการแต่งตั้งยศนายสิบ หากจำเป็นต้องออกมาปฏิบัติงานร่วมกับทหารก็มีสิทธิปกครองผู้ใต้บังคับบัญชา ซึ่งจะทำให้เกิดปัญหาได้ เนื่องจากขณะนี้การฝึกทหารเกณฑ์มีความเข้มข้นมากกว่าการฝึกผู้บังคับบัญชาถ้าอ่อนกว่าจะไปออกคำสั่งได้อย่างไร ดังนั้นจะต้องมีการฝึก เพื่อให้สมกับที่มีการประดับยศเป็นผู้นำคน
ส่วนการผลักดันให้แนวคิดดังกล่าวเกิดขึ้นได้อย่างเป็นรูปธรรมนั้น ตนคิดว่าจะต้องแก้ไขในระดับกฎกระทรวงกลาโหม สำหรับพ.ร.บ.ส่งเสริมการฝึกวิชาทหาร พ.ศ.2503 นั้นคงไม่มีปัญหา เพราะไม่ได้กำหนดระดับชั้น เป็นเพียงการส่งเสริมด้านวิชาการเท่านั้น ทั้งนี้ทั่วประเทศใน 1 ปีจะมีนักเรียนสมัครเข้ามาเป็นนศ.วิชาทหารกว่าแสนคน แต่เรียนจบจริงประมาณ 8 หมื่นคน โดยการฝึกวิชาทหารนั้นอยู่ภายใต้แนวคิดลูกผู้ชายไทยทุกคนต้องเป็นทหาร ที่มีวินัยสูงกว่าคนปกติ เพราะทหารมีอุดมการณ์สูงสุดคือยอมสละได้แม้ชีวิตเลือดเนื้อ เพราะปกป้องประเทศชาติ เพราะฉะนั้นการฝึกทหารคือต้องฝึกให้คนสำนึกในชาติและกล้าที่จะเสียสละ
เมื่อถามว่าปัจจุบันมีปัญหาที่ผู้ปกครองออกมาวิ่งเต้นให้บุตรหลานเรียน รด.มากขึ้น เพราะไม่ต้องการให้เป็นทหารเกณฑ์ พล.ท.วิชิต กล่าวว่า นรด.เป็นหน่วยตรวจสอบไม่ใช่หน่วยบังคับบัญชา ซึ่งปีนี้จะต้องมีการทำการประชาสัมพันธ์ในเรื่องนี้ให้มาก ว่าอย่าไปเชื่อใครทั้งสิ้นที่บอกว่าจะช่วยเหลือต่างๆ ได้ และกองทัพเองก็ไม่ต้องการบุคคลที่ไม่แข็งแรงเข้ามาเป็นทหาร ถ้าโกงหรือวิ่งเต้นเข้ามาก็ต้องเจอกัน อย่าไปคิดว่าเสียเงินแล้วสามารถวิ่งเต้นได้ บางคนมีบุตรชายแต่ไม่อยากให้เป็นทหาร ตนขอย้ำว่าการเป็นทหารไม่ได้โหดร้ายอย่างที่คิดและเป็นหน้าที่ของลูกผู้ชายไทย ตนให้เกียรติทหารทุกคนที่ทำงานเพื่อประเทศชาติและกองทัพ ส่วนที่มองว่าหากเปิดให้เรียนรด.มากขึ้นจะเกิดความเหลื่อมล้ำในสังคม ตนยอมรับว่าเกิดความเหลื่อมล้ำขึ้นแน่นอน ถ้าเมื่อไหร่มีการเปิดให้เรียนรด.มากขึ้น โดยคนที่จะเรียนรด.ได้คือคนที่จบม.3 และยังต้องกำลังศึกษาอยู่ในโรงเรียนเท่านั้น เนื่องจากจะต้องมีอาจารย์คอยดูแลเปรียบเสมือนเป็นตัวแทนผู้ปกครอง เพราะฉะนั้นคนที่ไม่ได้เรียนต่อจบม.3 แล้วเข้าสู่ตลาดแรงงานก็จะไม่มีโอกาสได้เรียนรด.และจำเป็นต้องเข้ารับการเกณฑ์ทหารแทน ตนมองว่าไม่ยุติธรรม แต่หากเปิดให้การเรียนรด. 100 เปอร์เซ็นต์ ตนถามว่าแล้วจะเอาใครมาเป็นทหารเกณฑ์ เพราะกองทัพต้องมีทหาร
ด้านพล.ต.ทวีชัย กฤษิชีวิน ผู้บัญชาการศูนย์การกำลังสำรอง กล่าวว่า ต้องเข้าใจว่า นศ.วิชาทหารชั้นปีที่ 3 ปัจจุบันไม่ต้องเป็นทหาร ทำให้มีการแย่งชิงกันเข้าเรียน และเกิดความไม่ยุติธรรมขึ้น ส่วนใหญ่เป็นคนที่มีเงินที่ไม่ต้องการให้ลูกเป็นทหารด้วยการมาเรียนรด. ทั้งนี้ในอนาคตจะต้องพูดคุยว่านศ.วิชาทหารที่เรียนจบชั้นปีที่ 3 แล้วอาจจะต้องเป็นทหารต่อประมาณ 6 เดือนเหมือนกับผู้ที่เรียนจบปริญญาตรี โดยใช้สิทธิสมัคร ส่วนนศ.วิชาทหารที่เรียนจบชั้นปีที่ 5 นั้นไม่ต้องเป็นทหารต่อ แต่ถ้านศ.วิชาทหารที่เรียนจบชั้นปีที่ 3 แล้วไม่ต้องการเป็นทหารจะต้องเรียนให้จบชั้นปีที่ 5 ที่สำคัญกฎหมายสากลระบุว่า เด็กไม่สามารถฝึกอาวุธได้ จึงจำเป็นต้องขยายหลักสูตร โดยปรับไปอยู่ชั้นปีที่ 4-5 เพื่อจะได้มีความเชี่ยวชาญด้านการทหารมากขึ้น ไม่เช่นนั้น นศ.วิชาทหารชั้นปีที่3 ยังไม่ทันยิงปืนเป็นก็เรียนจบแล้ว ซึ่งแนวคิดนี้น่าจะยุติธรรมที่สุด ถ้าไม่ทำแบบนี้อาจจะเป็นการเอาเปรียบคนยากจนได้ ทางกองทัพต้องหาวิธีการเพื่อให้เกิดความยุติธรรมในสังคม ถือว่าเป็นแนวคิดที่ดี ซึ่งจะต้องไปศึกษารายละเอียด
พล.ต.ทวีชัย กล่าวต่อว่า ขณะนี้มีนศ.วิชาทหารชั้นปีที่ 1-3 ทั่วประเทศประมาณ 3 แสนกว่าคน ซึ่งถือว่ามีจำนวนมาก ส่วนชั้นปีที่4-5 มีอยู่ประมาณหมื่นกว่าคน จึงทำให้เกิดการแย่งกันเข้าเรียนรด.เพื่อไม่ต้องเป็นทหาร แต่คนที่เรียนชั้นปีที่4-5 ต้องใจรักจริง โดยจะได้ยศเทียบเท่า ร.ต. เพื่อเป็นเกียรติยศและศักดิ์ศรี ส่วนนศ.วิชาทหารที่เรียนชั้นปีที่3 จะได้ยศเทียบเท่ายศนายสิบ ในฐานะที่ตนเป็นครูฝึกและเป็นหน่วยที่รับผิดชอบต้องการให้นศ.วิชาทหารเหล่านี้เรียนจบชั้นปีที่5 เพื่อศักดิ์ศรีตนเองและปลูกฝังเรียนรู้เรื่องวิชาทหาร โดยเฉพาะการช่วยเหลือสังคม ทั้งนี้ที่ผ่านมาประเทศไทยยังไม่เคยใช้ทหารกำลังสำรอง และเมื่อ 10 ปีที่ผ่านก็เพิ่งฟื้นฟูระบบกำลังสำรอง เพื่อจัดให้เป็นรูปแบบระบบใหม่ โดยจะต้องมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องเช่นเดียวกับประเทศสิงคโปร์ อังกฤษ สหรัฐฯที่มีการพัฒนาเรื่องนี้พอสมควร โดยเฉพาะสิงคโปร์เป่านกหวีดปรี๊ดเดียวก็มีกำลังพล 2 กองพลพร้อมปฏิบัติหน้าที่ทันที
“นศ.วิชาทหารของไทยมีระดับการเรียนเกรด 3-4 ถือว่ามีสติปัญญาดี แต่เมื่อมาฝึกระยะสั้นจะไม่ได้ผล แม้ว่าครูฝึกจะมีการสอนภาคปฏิบัติต่างๆ ก็ยังไม่เกิดเป็นรูปร่าง แต่ถ้าเรียนต่อไปถึงปี 5 จึงจะสมบูรณ์ ทั้งนี้ต้องยอมรับว่า ถ้านำคนที่ไม่ได้เรียนหนังสือมาเกณฑ์ทหารนั้น ความรู้ความสามารถอาจจะน้อยกว่าผู้ที่เรียนหนังสือ กองทหารที่พัฒนาแล้วจะต้องมีทหารที่มีสติปัญญา เพราะนอกจากกำลังกายแล้วสติปัญญาก็สำคัญ กองทัพต้องมีการพัฒนา แต่ที่ผ่านมาไม่มีโอกาสได้เลือก อย่างไรก็ตามแนวคิดดังกล่าวจะต้องไปแก้ไขที่กฎกระทรวงกลาโหม ซึ่งต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร กองทัพไม่สามารถทำอะไรได้ตามอำเภอใจ เพราะทุกอย่างเป็นกฎหมายหมด และคิดว่าคงยังไม่เกิดในเร็วนี้” พล.ต.ทวีชัย กล่าว
พ.อ.ธนาธิป สว่างแสง โฆษกกระทรวงกลาโหม กล่าวว่า ทางกระทรวงกลาโหมขอชี้แจงว่าตามเจตนารมณ์ 6 ข้อของ พล.อ.อ.สุกำพล สุวรรณทัต รมว.กลาโหม ที่มอบให้ปลัดกระทรวงกลาโหม ผู้บัญชาการทหารสูงสุด ผู้บัญชาการเหล่าทัพ และผู้บังคับหน่วยขึ้นตรง เมื่อวันที่ 25 ต.ค. 2555 เรื่องการพัฒนาระบบกำลังสำรองเป็นเจตนารมณ์ประการหนึ่ง ที่ให้มีการพิจารณาทบทวนวัตถุประสงค์ของการเรียนวิชาทหารของนักศึกษาวิชาทหาร รวมทั้งพยายามสร้างแรงจูงใจให้ประชาชนเข้ามาเป็นทหาร ตลอดจนพิจารณาเรื่องการใช้ประโยชน์ทหารกองประจำการเพื่อปฏิบัติหน้าที่ได้อย่างเหมาะสมกับคุณวุฒิทางการศึกษา ระบบการฝึกนักศึกษาวิชาทหาร จะต้องมีการปรับปรุงหลักสูตรการฝึกให้เกิดความเหมาะสม เช่น พิจารณาทบทวนวัตถุประสงค์ของการเรียนวิชาทหาร โดยให้เห็นถึงความภาคภูมิใจในการเข้ามารับใช้ชาติด้วยการเป็นทหาร นอกจากนี้หากมีการรับสมัครนักศึกษาวิชาทหารเพิ่มขึ้นจะทำให้อัตราส่วนการตรวจเลือกทหารกองเกินเข้าเป็นทหารกองประจำการในแต่ละผลัดลดลง ซึ่งอาจทำให้เกิดผลกระทบในการปฏิบัติงานของหน่วยที่มีการบรรจุทหารกองประจำการได้ อย่างไรก็ตามหากจะมีการปรับระบบที่เกี่ยวข้องกับหลักสูตรนักศึกษาวิชาทหารจะมีการประชุมหารือ เพื่อให้ได้แนวทางปฏิบัติอย่างเหมาะสม สอดคล้องกับสถานการณ์ความมั่นคงในปัจจุบัน โดยพิจารณาอย่างรอบคอบถึงผลกระทบต่อผู้ที่เข้ารับการศึกษาและการปฏิบัติงานในภาพรวมของกระทรวงกลาโหม
กำลังโหลดความคิดเห็น