วานนี้(5 ก.พ.56) นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าว ถึงกรณีนักวิชาการทางสังคมและประชาชนลงชื่อยื่นจดหมายเปิดผนึก ถึงประธานรัฐสภา นายกรัฐมนตรี ประธานศาลฎีกา และคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนแห่งชาติจากกรณีนายสมยศ พฤกษาเกษมสุข ถูกศาลอาญาตัดสินจำคุกในคดีหมิ่นพระบรมเดชานุภาพนั้น ว่า ประเด็นข้อเรียกร้องหรือข้อประท้วงเรื่องนี้ ไม่ใช่เรื่องใหม่เป็นเรื่องที่มีการถกเถียงกันมา ซึ่งตนคิดว่าปัญหาต้องแยกแยะ เพราะการไปประท้วงว่าศาลตัดสินไม่ถูกต้อง หรือไม่ควรมีการลงโทษนายสมยศนั้น ที่ผ่านมาตนไม่เคยเห็นว่าเมื่อศาลตัดสินแล้วจะมาบอกว่าศาลทำเกินไป และยื่นเรื่องถึงนายกฯ หรือประธานสภา แต่คดีนี้ก็ยังไม่ถึงที่สุด ซึ่งคู่ความก็สามารถไปอุทธรณ์ได้ ถ้าเห็นว่ายังไม่ได้รับความเป็นธรรม ก็ควรจะปล่อยให้กระบวนการยุติธรรมดำเนินไป เพราะอธิบดีศาลก็ออกมาอธิบายชัดเจนว่าการตัดสินของศาลยึดตามตัวบทกฎหมาย ซึ่งหลายครั้งในคดีที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้ มักมีความพยายามทำให้เกิดความสับสนโดยไม่ไปดูรายละเอียดของการสืบพยานของคำพิพากษาว่าทำไมศาลถึงได้ตัดสินอย่างนี้ แล้วก็ไปสรุปว่า เป็นความคิดเห็นต่างทางการเมืองเลยถูกลงโทษ
“ผมยืนยันว่าความเห็นต่างทางการเมืองนั้นไม่ควรจะถูกลงโทษ แต่ผมเข้าใจว่าหลายกรณี รวมทั้งกรณีนี้ศาลไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่เป็นการไปเผยแพร่สิ่งที่อ้างว่าเป็นข้อเท็จจริง แต่เป็นการใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งกระทบกระเทือนไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และสิ่งผลกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงของประเทศด้วย ส่วนเรื่องสิทธิการได้รับการประกันตัว หรือกฎหมายก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่ถ้ามาบอกว่าการตัดสินคดีนี้ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ ไม่ควรจะลงโทษ และไปเหมารวมโดยไม่ดูข้อเท็จจริงในคดีว่าคนถูกลงโทษแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง จะเป็นการสร้างความสับสนในสังคม”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ยื่นหนังสือให้อธิบดีศาลออกมาขอโทษ และลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบในกรณีที่ อธิบดีศาลอาญา ออกมาแสดงความคิดเห็นกรณีการที่มีกลุ่มต่อต้าน ม.112 วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลนั้น ว่า ตนไม่เข้าใจว่าอธิบดีศาลไปทำผิดอะไร ถึงจะต้องไปขอโทษและลาออก เพราะอธิบดีก็พูดตามกฎหมายไม่ได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวเลย แต่เป็นการอธิบายกฎหมายให้เข้าใจซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะหากมีการตัดสินไปแล้ว แต่มีการไปสร้างกระแส สร้างความสับสน อธิบดีศาลก็ได้ทำการชี้แจง ไม่ได้มีอะไรที่จะต้องไปขอโทษหรือลาออก
“ในที่สุดสังคมจะหาข้อยุติไม่ได้ เพราะถ้าเราบอกว่ากระบวนการยุติธรรมนี้พอตัดสินแล้ว ก็บอกไม่ยอมรับ แต่ถ้าตัดสินถูกใจก็ไม่เห็นมีการมาพูดถึงเรื่องเหล่านี้เลย แล้วปัญหาจะยุติอย่างไร จึงอยากให้คนเหล่านี้ย้อนกลับไปดูหลักของสังคมประชาธิปไตย ซึ่งการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้นทำได้ แต่การที่จะไปตั้งคำถามกับกระบวนการที่เป็นข้อยุติของสังคมแล้วบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร เพราะใครไม่พอใจก็ระดมคนมา ก็จะเป็นสังคมซึ่งเหมือนกับไม่มีกฎหมาย ผมซึ่งไม่เชื่อว่าสังคมไม่มีกฎหมายจะเป็นประชาธิปไตยได้”
นายอรรถพรพลบุตร ส.ส.เพชรบุรีและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้องให้ศาลลงโทษอย่างเฉียบขาดต่อกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมที่หน้าศาลอาญาซึ่ง ในระยะหลายปีที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงได้มีพฤติการณ์คุกคามศาลและเกี่ยวโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่องโดยเป็นกระบวนการที่เชื่องโยงกับทั้งในและนอกประเทศจนถึงขึ้นชุมนุมคุกคามที่หน้าศาลหลายครั้ง ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทยการกระทำดังกล่าวหากปล่อยให้ดำเนินไปก็จะทำให้ศาลสถิตยุติธรรมถูกกัดเซาะทำลายความน่าเชื่อถือไปเรื่อยๆ และอาจทำให้ประชาคมโลกบางส่วนเกิดความเคลือบแคลงต่อกระบวนการศาลของประเทศไทย
“ที่ผ่านมาศาลและสังคมไทยใช้ความอดทนอย่างยิ่งต่อพฤติการณ์ของคนเสื้อแดงและนักวิชาการบางคนเพื่อประคับประคองไม่ให้สังคมแตกแยกกันมากขึ้น แต่ความอดทนควรสิ้นสุดลงแล้ว และถึงเวลาที่จะต้องรักษาสถาบันศาลสถิตยุติธรรมเอาไว้ด้วยการใช้กฏหมายหมิ่นศาลและหมิ่นสถาบันอย่างเคร่งครัด แทนการให้สัมภาษณ์ตอบโต้ซึ่งจะเป็นการลดตัวมาเป็นคู่ขัดแย้ง”
นายอรรถพรกล่าวว่าคนไทยเกือบทั้งหมดเชื่อถือและยอมรับคำพิพากษาของศาลว่ามีความเที่ยงธรรมและเป็นแกนหลักของสังคมและถือว่า ระบบศาลไทยมีความเป็นสากลมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก มีเพียงคนกลุ่มน้อยคือคนเสื้อแดงเท่านั้นที่ต่อต้านคุกคามเพราะคำพิพากษาบางคดีกระทบต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและขบวนการคนเสื้อแดงรวมทั้งคนกลุ่มนี้มีเจตนาพิเศษที่จะเชื่อมโยงศาลไปยังสถาบันเบื้องสูง ซึ่งจะต้องระงับยังยั้งอย่างเด็ดขาด
นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. กล่าวว่า เป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาแสดงความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ มีสิทธิ์แสดงออก ขอให้ทำตามกรอบประชาธิปไตย ผู้ถูกกล่าวหาควรดูด้วยว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่จริง แต่ในส่วนของกลุ่มต่างๆขอให้เคลื่อนไหวตามกรอบกฎหมาย
“ผมยืนยันว่าความเห็นต่างทางการเมืองนั้นไม่ควรจะถูกลงโทษ แต่ผมเข้าใจว่าหลายกรณี รวมทั้งกรณีนี้ศาลไม่ได้มองว่าเป็นเรื่องการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง แต่เป็นการไปเผยแพร่สิ่งที่อ้างว่าเป็นข้อเท็จจริง แต่เป็นการใส่ร้ายป้ายสี ซึ่งกระทบกระเทือนไปถึงสถาบันพระมหากษัตริย์ และสิ่งผลกระทบกระเทือนถึงความมั่นคงของประเทศด้วย ส่วนเรื่องสิทธิการได้รับการประกันตัว หรือกฎหมายก็สามารถแสดงความคิดเห็นได้ แต่ถ้ามาบอกว่าการตัดสินคดีนี้ไม่ควรจะเป็นอย่างนี้ ไม่ควรจะลงโทษ และไปเหมารวมโดยไม่ดูข้อเท็จจริงในคดีว่าคนถูกลงโทษแสดงความคิดเห็นทางการเมืองที่แตกต่าง จะเป็นการสร้างความสับสนในสังคม”
นายอภิสิทธิ์ กล่าวถึงกรณีกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.)ยื่นหนังสือให้อธิบดีศาลออกมาขอโทษ และลาออก เพื่อแสดงความรับผิดชอบในกรณีที่ อธิบดีศาลอาญา ออกมาแสดงความคิดเห็นกรณีการที่มีกลุ่มต่อต้าน ม.112 วิพากษ์วิจารณ์คำตัดสินของศาลนั้น ว่า ตนไม่เข้าใจว่าอธิบดีศาลไปทำผิดอะไร ถึงจะต้องไปขอโทษและลาออก เพราะอธิบดีก็พูดตามกฎหมายไม่ได้แสดงความคิดเห็นส่วนตัวเลย แต่เป็นการอธิบายกฎหมายให้เข้าใจซึ่งเป็นเรื่องที่สำคัญ เพราะหากมีการตัดสินไปแล้ว แต่มีการไปสร้างกระแส สร้างความสับสน อธิบดีศาลก็ได้ทำการชี้แจง ไม่ได้มีอะไรที่จะต้องไปขอโทษหรือลาออก
“ในที่สุดสังคมจะหาข้อยุติไม่ได้ เพราะถ้าเราบอกว่ากระบวนการยุติธรรมนี้พอตัดสินแล้ว ก็บอกไม่ยอมรับ แต่ถ้าตัดสินถูกใจก็ไม่เห็นมีการมาพูดถึงเรื่องเหล่านี้เลย แล้วปัญหาจะยุติอย่างไร จึงอยากให้คนเหล่านี้ย้อนกลับไปดูหลักของสังคมประชาธิปไตย ซึ่งการแสดงความคิดเห็นทางการเมืองนั้นทำได้ แต่การที่จะไปตั้งคำถามกับกระบวนการที่เป็นข้อยุติของสังคมแล้วบ้านเมืองจะอยู่อย่างไร เพราะใครไม่พอใจก็ระดมคนมา ก็จะเป็นสังคมซึ่งเหมือนกับไม่มีกฎหมาย ผมซึ่งไม่เชื่อว่าสังคมไม่มีกฎหมายจะเป็นประชาธิปไตยได้”
นายอรรถพรพลบุตร ส.ส.เพชรบุรีและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวเรียกร้องให้ศาลลงโทษอย่างเฉียบขาดต่อกลุ่มคนเสื้อแดงชุมนุมที่หน้าศาลอาญาซึ่ง ในระยะหลายปีที่ผ่านมากลุ่มคนเสื้อแดงได้มีพฤติการณ์คุกคามศาลและเกี่ยวโยงไปถึงสถาบันเบื้องสูงอย่างต่อเนื่องโดยเป็นกระบวนการที่เชื่องโยงกับทั้งในและนอกประเทศจนถึงขึ้นชุมนุมคุกคามที่หน้าศาลหลายครั้ง ซึ่งเป็นกรณีที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในสังคมไทยการกระทำดังกล่าวหากปล่อยให้ดำเนินไปก็จะทำให้ศาลสถิตยุติธรรมถูกกัดเซาะทำลายความน่าเชื่อถือไปเรื่อยๆ และอาจทำให้ประชาคมโลกบางส่วนเกิดความเคลือบแคลงต่อกระบวนการศาลของประเทศไทย
“ที่ผ่านมาศาลและสังคมไทยใช้ความอดทนอย่างยิ่งต่อพฤติการณ์ของคนเสื้อแดงและนักวิชาการบางคนเพื่อประคับประคองไม่ให้สังคมแตกแยกกันมากขึ้น แต่ความอดทนควรสิ้นสุดลงแล้ว และถึงเวลาที่จะต้องรักษาสถาบันศาลสถิตยุติธรรมเอาไว้ด้วยการใช้กฏหมายหมิ่นศาลและหมิ่นสถาบันอย่างเคร่งครัด แทนการให้สัมภาษณ์ตอบโต้ซึ่งจะเป็นการลดตัวมาเป็นคู่ขัดแย้ง”
นายอรรถพรกล่าวว่าคนไทยเกือบทั้งหมดเชื่อถือและยอมรับคำพิพากษาของศาลว่ามีความเที่ยงธรรมและเป็นแกนหลักของสังคมและถือว่า ระบบศาลไทยมีความเป็นสากลมากที่สุดประเทศหนึ่งในโลก มีเพียงคนกลุ่มน้อยคือคนเสื้อแดงเท่านั้นที่ต่อต้านคุกคามเพราะคำพิพากษาบางคดีกระทบต่อพ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรและขบวนการคนเสื้อแดงรวมทั้งคนกลุ่มนี้มีเจตนาพิเศษที่จะเชื่อมโยงศาลไปยังสถาบันเบื้องสูง ซึ่งจะต้องระงับยังยั้งอย่างเด็ดขาด
นพ.เหวง โตจิราการ ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำนปช. กล่าวว่า เป็นประชาชนกลุ่มหนึ่งที่ออกมาแสดงความเห็นตามระบอบประชาธิปไตย ไม่อยากวิพากษ์วิจารณ์เรื่องนี้ มีสิทธิ์แสดงออก ขอให้ทำตามกรอบประชาธิปไตย ผู้ถูกกล่าวหาควรดูด้วยว่าเป็นอย่างนั้นจริงหรือไม่จริง แต่ในส่วนของกลุ่มต่างๆขอให้เคลื่อนไหวตามกรอบกฎหมาย