ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ใครๆ ก็รู้กันทั้งบ้านทั้งเมืองว่า รัฐบาลทักษิณ เป็นผู้แปรรูปการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) เมื่อปี 2544เพื่อใช้เป็นช่องทางเข้าถือหุ้นในรัฐวิสาหกิจพลังงานของชาติในนามของนอมินีและเครือข่ายบริวาร แล้วใช้เป็นแหล่งสูบเลือดสูบเนื้อประชาชนที่ไม่มีทางเลือกเพราะปตท.ผูกขาดธุรกิจน้ำมันและก๊าซฯ
แต่บรรดาแกนนำและครูโรงเรียนนปช.ยังมั่วข้อมูลปลุกระดมคนเสื้อแดงไกลปืนเที่ยงว่า ปตท.เป็นของอำมาตย์ พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรี ซึ่งเป็นเรื่องไม่น่าเชื่อว่าในปีพ.ศ.ที่ข้อมูลข่าวสารล้นทะลักยังมีพวกตั้งใจไปหลอกและพวกยอมให้ถูกหลอก ถูกปั่นหัว หลงเหลืออยู่ในสังคมไทยอีก
การมั่วข้อมูลปตท.เป็นของอำมาตย์ ถูกกระจายผ่านเครือข่ายสื่อคนเสื้อแดง อย่างเช่น วิทยุชุมชน ในย่านลาดพร้าว ซึ่งอยู่ไม่ไกลจากศูนย์กลางความเจริญ เมืองหลวงของประเทศเพียงไม่กี่กิโลเมตร และแม้แต่การปราศรัยในงานเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่เริ่มรุกไล่ไปทั่วประเทศก็ยังมีการบิดเบือนข้อมูลข่าวสารกันจะจะ
ดังเช่นกรณีที่นายทอม ดันดี ศิลปินเสื้อแดง ไปอวดภูมิแฉทรัพยากรไทยอยู่ใต้อุ้งมืออำมาตย์ ข้อมูลที่หมู่บ้านเสื้อแดงต้องทราบโดยตอนหนึ่งในการปราศรัย นายทอม ระบุว่า ปตท.เป็นของ (พล.อ.) เปรม ติณสูลานนท์
นายทอม ยังเอาข้อมูลเท็จมั่ง จริงมั่ง มาปะติดปะต่อ ปั่วหัวคนเสื้อแดงอย่างสนุกสนาน เช่น ประเทศไทย มีน้ำมันอันดับที่ 33 ของโลก ทำไมคนไทยไม่ได้ประโยชน์ตรงนี้ ปตท.มีกำไรแต่ละปีมหาศาล ถ้าเอากำไรของปตท.มาเป็นเงินปันผลประชาชนคนไทยจะได้ส่วนแบ่งไม่ต่ำกว่า 3 - 8 ล้านบาทต่อปี หากคิดระยะเวลาที่สูบน้ำมันขึ้นมา 30 ปี ป่านนี้ได้คนละ 90 ล้านบาท แล้วทำไมถึงไม่หยุดยั้งการขึ้นราคา แถมยังเอาน้ำมันเข้ามากลั่นขายให้คนไทยในราคาแพง สูบเลือดสูบเนื้อทุกอย่างตั้งแต่ลืมตาตื่น พร้อมกับย้ำว่าสิ่งที่รัฐบาลอำมาตย์ต้องการ คือ มีฐานอำนาจ กอบโกย และสืบทอด โดยทำให้ประชาชนต้องจน - โง่, โง่ - จน ไม่จบสิ้น
ถึงข้อมูลของนายทอม จะบิดเบี้ยวอย่างไร แต่เรื่องที่ถูกต้องก็คือ องค์กรผู้ขาดธุรกิจพลังงานของประเทศแห่งนี้ ตั้งหน้าตั้งตาสูบเลือดคนไทย โอดโอยขอขึ้นราคาก๊าซฯ ราคาน้ำมัน ชนิดแพงกว่าที่คาดอุบาทว์กว่าที่คิดมาโดยตลอด
ข้อมูลอีกด้านของกลุ่มสมาพันธ์หมู่บ้านเสื้อแดงเอง ก็แฉข้อมูลโดนปตท.ต้ม หลอกขายน้ำมันแพง เหมือนเพิ่งเริ่มรู้สึกตัว โดยนายนที สรวารี แกนนำกลุ่มสร้างสรรค์กิจกรรมอิสระชน ปราศรัยในงานเปิดหมู่บ้านเสื้อแดงที่เชียงราย ว่าหากใช้รัฐธรรมนูญและการปกครองที่เป็นประชาธิปไตยก็จะเจริญ ทั้งนี้ควรจะเจริญมานานแล้ว แต่ในปี 2519 รัฐบาลได้วางแผนนโยบายพลังงานแห่งชาติ หลังขุดพบบ่อน้ำมันในหลายแห่ง จากนั้นเกิดความวุ่นวายทำให้รัฐบาลไม่สามารถดำเนินการตามแผนได้ ในปี 2520 ได้มีการตั้งบริษัทการปิโตรเลียมแห่งประเทศไทย (ปตท.) ขึ้นมา ซึ่งทำให้ในปัจจุบันมีการขุดเจาะพบน้ำมันเพื่อส่งไปขายต่อที่สหรัฐอเมริกา แล้วก็รับจากสหรัฐอเมริกานำกลับมาขายในประเทศต่ออีกทอดหนึ่ง จึงทำให้น้ำมันมีราคาแพงกว่าสหรัฐอเมริกาถึง 50% จึงสงสัยว่าเงินที่เราควรได้หายไป และเรากลายเป็นคนถูกหลอกตลอด
ใครหลอกใคร ตั้งแต่นายใหญ่จนมาถึงไพร่แดงไกลปืนเที่ยง แต่ที่แน่ๆ เห็นชัดๆ ว่า แดงหลอกปั่นหัวแดงด้วยกันเอง โดยอ้างเอาอำมาตย์มาบังหน้า ทั้งที่อำมาตย์แดงบางคนก็ทำตัวเป็นอีแอบตักตวงผลประโยชน์จาก ปตท. อย่างเนียนๆ
ไม่เชื่อก็ลองไปถามไถ่ "อำมาตย์เต้น" ที่สวาปามงบโฆษณาประชาสัมพันธ์และการเคลียร์ม็อบจากปตท. ถึง 200 กว่าล้าน รวมทั้งนายก่อแก้ว พิกุลทอง ที่เจริญรอยตาม "อำมาตย์เต้น" ฟันไปเกือบร้อยล้าน เรียกได้ว่ารู้ช่องทางทำมาหากินกันอย่างดี แม้ว่านี่ถือเป็นเศษเงินขี้ปะติ๋วของปตท.ที่มีกำไรแต่ละปีนับแสนล้านบาทก็ตาม
หากย้อนไกลไปถึง "พ่อแม้ว" ของชาวเสื้อแดงที่ไม่เพียงแต่ประสบความสำเร็จในการแปรรูป ปตท. เท่านั้น ถึงวันนี้เขายังสาละวนอยู่แต่กับเรื่องขุมทรัพย์พลังงาน และมี ปตท. เข้าไปเกี่ยวข้องด้วยเสมอ ไม่ว่าจะเป็นขุมทรัพย์น้ำมันและก๊าซฯ ในประเทศที่ เครือปตท.ได้รับสัมปทานขุดเจาะ และผูกขาดการขนส่งก๊าซฯ ผ่านระบบท่อ หรือขุมทรัพย์เขตทับซ้อนทางทะเลในกัมพูชาหรือแม้กระทั่งการเจรจาเรื่องพลังงานในพม่าที่ทีมผู้บริหารปตท.ถือกระเป๋าเดินตามก้นทักษิณ
แต่เรื่องปตท.กับทักษิณนี้ ถ้าใครพูดมากไปเดี๋ยวสาวกรับใช้มีเคือง อย่างก่อนหน้านี้ที่ "หน้าปลาบู่ชนเขื่อน" นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ตั้งข้อสังเกตกล่าวหาว่า การจะปรับขึ้นราคาน้ำมันของ ปตท.มักจะเกิดขึ้นในช่วงที่ พ.ต.ท.ทักษิณ และนางสาวยิ่งลักษณ์ ชินวัตร เดินทางไปเยือนพม่า และมีข่าววงในว่าปตท.กำลังจะได้สัมปทานแหล่งก๊าซฯในพม่าอีก 2 แห่ง ดังนั้นคาดว่าจะมีครอบครัวหนึ่งถือหุ้นใหญ่ในบริษัท
นายนพดล ก็ออกมาสวนกลับว่า พ.ต.ท.ทักษิณ และครอบครัวไม่มีหุ้นในปตท. แม้แต่หุ้นเดียว หากเป็นความจริงเต็มใจจะยกหุ้นส่วนนี้ให้มูลนิธิคนปัญญาอ่อน ทางพรรคประชาธิปัตย์ได้ใช้ประเด็นนี้มาใส่ร้าย พ.ต.ท.ทักษิณ เพื่อประเด็นทางการเมือง
แต่ถ้าคนไทยยังไม่ลืมเร็วกันเกินไป ข้อสงสัยว่ารัฐบาลทักษิณ "ขาย ปตท. ขาดทุน ขายทำไม ??" จนบัดนี้ก็ยังไม่มีคำตอบ
อย่าลืมว่า ในการแปรรูปปตท. คณะกรรมการที่มีส่วนเกี่ยวข้องหลายคณะที่จัดตั้งโดยรัฐบาลทักษิณ ได้ตีมูลค่าทรัพย์สิน และราคาหุ้น ของ ปตท.ในราคาต่ำมาก สร้างความเสียหายต่อประเทศไม่น้อยกว่า 190,000 ล้านบาท โดยหุ้นของปตท.ที่นำออกขาย 25% เมื่อปี 2544 จำนวน 800 ล้านหุ้นในราคา 35 บาทต่อหุ้น จะได้เงินสูงสุดไม่เกิน 28,000 ล้านบาท ขณะที่ข้อเท็จจริงรัฐและประชาชนถูกโกงไปมากกว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้น กล่าวคือ
1) ก่อนกำหนดราคาหุ้นของ ปตท. มีการแก้บัญชีย้อนหลัง ทำให้ทุนและกำไรสะสมของ ปตท. จำนวน 50,121 ล้านบาท ถูกลดเหลือเพียง 14,441 ล้านบาท เท่ากับมูลค่าทรัพย์สินของ ปตท. เมื่อเป็นรัฐวิสาหกิจหายไปถึง 36,000 ล้านบาท สินทรัพย์ที่หายไปมีมูลค่ามากกว่าเงินที่ได้จากการขายหุ้น
2) เงินที่ได้จากการขายหุ้น ต้องจ่ายให้บริษัทผู้ขายหุ้น 800 ล้านบาท
3) ประกาศจ่ายเงินปันผลก่อนขายหุ้นว่าภายใน 3 เดือน จะปันผลหุ้นละ 2 บาท แม้จะยังไม่ได้คำนวณผลประกอบการเป็นเงิน 1,600 ล้านบาท
4) ขายหุ้นให้พนักงานและผู้บริหารในราคาพาร์ 10 บาท จำนวน 48 ล้านหุ้น เป็นการนำสมบัติชายมาแบ่งปันกัน ซึ่งฝ่ายบริหารอาศัยการแบ่งหุ้นให้พนักงานระดับล่างของปตท. เป็นเกราะกำบังในการได้ประโยชน์จากทรัพย์สมบัติชาติมากกว่าพนักงานทั่วไป
และ 5) การประเมินมูลค่าบริษัทในเครือปตท. ซึ่งรัฐวิสาหกิจ ปตท. เคยลงทุนบริษัทในเครือจำนวน 63,672 ล้านบาท กลับถูกตีมูลค่าติดลบ 5,190 ล้านบาท เท่ากับยกบริษัทในเครือรัฐวิสาหกิจ ปตท. ให้ฟรีแล้วยังแถมเงินให้อีก 5,190 ล้านบาท
ดังนั้น เมื่อรวมการประเมินลดมูลค่าทรัพย์สิน ปตท. ทั้งหมด ปรากฏว่า มีจำนวนถึง 106,008 ล้านบาท เทียบกับการขายหุ้น ปตท. ได้เงินสูงสุดไม่เกิน 28,000 ล้านบาท เท่ากับการขายรัฐวิสาหกิจ ปตท.แบบขาดทุน คำถามคือ ขายทำไม
การแปรรูป ปตท. ทำให้ประเทศชาติเสียหายจากการประเมินมูลค่าทรัพย์สินราคาถูก ขายขาดทุน ประชาชนผู้บริโภค ภาคธุรกิจในฐานการผลิตเดือดร้อนจากการผูกขาดและกำไรสูงเกินควร คือ น้ำมันราคาแพง และการกำหนดโครงสร้างราคา การกำกับดูแลที่ไม่ชอบธรรม กำไรที่ขูดรีด การก่อหนี้กองทุนน้ำมัน การฮั้วราคาน้ำมันระหว่างโรงกลั่นกับปั๊มน้ำมัน ส่วนก๊าซธรรมชาติผูกขาด ราคาแพง จากโครงสร้างราคา ค่าปากหลุม ค่าหัวคิว ค่าท่อ กำไรจากก๊าซ ฮั้วกันระหว่างปตท.และบริษัทลูก และการขายก๊าซฯในราคาแพงให้การไฟฟ้าฝ่ายผลิตฯ ที่ส่งผลให้ราคาค่าไฟที่ส่งผ่านมาให้ประชาชนแบกรับแพงขึ้น
การแปรรูป ปตท. เป็นการเปิดทางให้มีการคอร์รัปชั่น กลายเป็นเครื่องมือสร้างความร่ำรวย เอื้อประโยชน์ให้กับญาติ พรรคพวก นักการเมืองและเครือข่ายมาตั้งแต่รัฐบาลทักษิณจนบัดนี้ การจัดสรรขายหุ้นบริษัท ปตท. ซึ่งเป็นสมบัติของชาติและของประชาชนทุกคน มีการจัดสรรในลักษณะอภิสิทธิ์ จำนวน 47,245,725 หุ้น ในราคาหุ้นละ 10 บาท ต่ำกว่าราคาขายให้ ประชาชนทั่วไปในราคาหุ้นละ 35 บาท
ขณะที่การเปิดขายให้ประชาชนทั่วไป ปรากฏว่า การจองหุ้นหมดเกลี้ยงภายใน 1 นาที 17 วินาที แต่บรรดาญาติและพรรคพวกนักการเมืองกลับได้รับการจัดสรรหุ้นสูงสุดถึงครอบครัวละ 5,106,000 หุ้น ซึ่งไม่เป็นธรรมอย่างยิ่ง โดยเฉพาะตระกูลจุฬางกูล เช่น ทวีฉัตร จุฬางกูร หลานของ สุริยะ จึงรุ่งเรืองกิจ อดีตเลขาพรรคไทยรักไทย และรมว.อุตสาหกรรม ขณะนั้น ได้ 2.2 ล้านหุ้น (เท่ากับ 0.078%) (จอง 1 แสนหุ้น, อุปการคุณ 2.1 ล้านหุ้น ) และ ประยุทธ มหากิจศิริ รองหัวหน้าพรรคไทยรักไทย 5.106 ล้านหุ้น (เท่ากับ 0.18%) (จอง 1 แสน, อุปการคุณ 1.96 ล้านหุ้น) เท่ากับ 2.01 เป็นต้น
ไม่เพียงแต่ร่ำรวยจากหุ้น ปตท. เท่านั้น เครือข่าย เครือญาติ นักการเมือง รวมถึงข้าราชการระดับสูง และผู้บริหารของปตท. ยังมีร่ำรวยจากเงินเดือน เบี้ยประชุม โบนัส สารพัดผลประโยชน์จากการเข้ามาเป็นบอร์ดของปตท.และบริษัทลูก เป็นการถ่างขาคุมหลายตำแหน่ง
จากผลศึกษาของคณะอนุกรรมาธิการเสริมสร้างธรรมาภิบาลเกี่ยวกับการศึกษาธรรมาภิบาลในกิจการพลังงาน ได้ระบุถึงการแปรรูป ปตท. ทำให้ ปตท.ได้เงินลงทุนจากผู้ถือหุ้นใหม่ที่เข้ามาซื้อหุ้นเพิ่มทุนแค่ 28,083 ล้านบาท โดยแยกเป็น ปี 2544 จำนวน 24,250 ล้านบาท ปี 2549 จำนวน 1,405 ล้านบาท และปี 2550 จำนวน 2,427 ล้านบาท แต่ผู้ถือหุ้นใหม่ ได้รับส่วนแบ่งกำไรระหว่างปี 2544 - 2550 มากถึง 216,384 ล้านบาท คิดเป็นอัตรากำไรสูงถึง 771% ซึ่งนักลงทุนใหม่ดังกล่าว มีคำถามมาตลอดว่าคือนักการเมืองที่เข้าซื้อหุ้นผ่านทางกองทุนนอมินีทั้งนั้น ใช่หรือไม่?
ข้อมูลเหล่านี้สาวกคนเสื้อแดงควรสดับรับฟังเอาไว้เสียบ้าง เพื่อจะได้ไม่ถูกหลอกปั่นหัวง่ายๆ
ถามว่า ณ เวลานี้ โครงสร้างผู้ถือหุ้นของบมจ. ปตท. (PTT) จากตลาดหลักทรัพย์แห่งประ
เทศไทย ณ วันที่ 10 กันยายน 2555 คือใครบ้าง มีดังนี้
1. กระทรวงการคลัง 1,459,885,575 หุ้น (51.11%)
2. กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.เอ็มเอฟซี จำกัด (มหาชน) 217,900,000 หุ้น (7.63%)
3. กองทุนรวม วายุภักษ์หนึ่ง โดย บลจ.กรุงไทย จำกัด (มหาชน) 217,900,000 หุ้น (7.63%)
4. บริษัท ไทยเอ็นวีดีอาร์ จำกัด 104,844,600 หุ้น (3.67%)
5. CHASE NOMINEES LIMITED 42 จำนวน72,852,101 หุ้น (2.55%)
6. HSBC (SINGAPORE) NOMINEES PTE LTD 63,928,176 หุ้น (2.24%)
7. STATE STREET BANK AND TRUST COMPANY 34,240,032 หุ้น (1.20%)
8. NORTRUST NOMINEES LIMITED-NT0 SEC LENDING THAILAND 25,924,443 หุ้น (0.91%)
9. STATE STREET BANK EUROPE LIMITED 24,886,102 หุ้น (0.87%)
10. สำนักงานประกันสังคม 24,019,200 หุ้น (0.84%)
11.GOVERNMENT OF SINGAPORE INVESTMENT CORPORATION C 17,812,200 (0.62%)
12. THE BANK OF NEW YORK MELLON-CGT TAXABLE 15,813,217 (0.55%)
13. THE BANK OF NEW YORK (NOMINEES) LIMITED 14,980,134 (0.52%)
ในโครงสร้างผู้ถือหุ้นข้างต้น ส่วนที่ระบุว่า เป็นนอมินี (NOMINEES) หรือผู้ถือหุ้นแทนนั่นแหละที่เป็นข้อกังขา และเมื่อตราบใดที่ไม่มีความกระจ่างแจ้งหลายฝ่ายจึงเชื่อว่าเป็นกลุ่มนอมินีของทักษิณและเครือข่าย
แต่ที่สำคัญยิ่งกว่าเรื่องที่ว่าปตท.อยู่ในอุ้งมืออำมาตย์หรือกลุ่มทักษิณ ก็คือ ปตท.ใหญ่เกินไป มีอำนาจเหนือรัฐบาล เหนือตลาดหลักทรัพย์ฯ เหนือสื่อ เหนือประชาชน องค์กรแห่งนี้มีขนาดเงินทุนหมุนเวียนมากกว่ากระทรวงการคลังถึง 3 เท่า ปตท.เป็นองค์กรซ่อนเงื่อน อยู่ในสภาพเป็นทั้งรัฐและเอกชน โดยรัฐถือหุ้น 51.1% เพื่อคงความเป็นรัฐ มีสิทธิพิเศษ ไม่ต้องอยู่ภายใต้กฎหมายแข่งขันทางการค้า และยังอยู่ในคราบเอกชนที่แสวงหากำไรไม่จบสิ้น ทั้งยังผูกขาด ควบรวมกิจการพลังงานทั้งแนวนอนและแนวดิ่ง ครอบงำกิจการปิโตรเคมี โรงกลั่นน้ำมัน โรงแยกก๊าซฯ ปั้มน้ำมัน เรียกได้ว่าเป็นผู้กำหนดนโยบายด้านพลังงานของประเทศตัวจริงและกำหนดความเป็นตายด้านพลังงานของชาติโดยไม่มีใครกล้าหือ
นี่คือโจทย์ใหญ่ของประชาชนคนไทยทั้งประเทศไม่ว่าจะใส่เสื้อสีอะไรที่จะต้องช่วยกันหาทางควบคุมยักษ์พลังงานแห่งนี้ไม่ให้เอาเปรียบสูบเลือดคนไทยด้วยกันเอง