ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ผลการสำรวจความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับการเลือกตั้งผู้ว่ากรุงเทพมหานคร ถูกเปิดเผยอย่างต่อเนื่อง จนกว่าจะถึงวันเลือกตั้ง
ที่น่าสนใจก็คือ ศูนย์สำรวจความคิดเห็น “นิด้าโพล” สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ได้สำรวจความคิดเห็นของประชาชน เรื่อง “คนกรุงฯ กับการเลือกตั้ง ผู้ว่าฯ กทม. โค้งที่ 1” ระหว่างวันที่ 17 - 19 มกราคม 2556 จากประชาชนที่มีอายุ 18 ปีขึ้นไป และมีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ทั้ง 50 เขต จำนวน 1,500 หน่วยตัวอย่าง กระจายทุกระดับการศึกษา ทุกอาชีพ
ผลการสำรวจพบว่า เมื่อถามว่า “หากวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง ท่านจะเลือกใครเป็นผู้ว่าฯกทม.” พบว่า คนกรุงเทพฯ ร้อยละ 20.60 ระบุว่า จะเลือก ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ บริพัตร เป็นผู้ว่าฯ กทม. รองลงมาร้อยละ 19.13 จะเลือก พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ ร้อยละ 4.93 จะเลือก พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ร้อยละ 1.13 จะเลือก นายสุหฤท สยามวาลา ร้อยละ 0.27 จะเลือก นายโฆษิต สุวินิจจิต และ มีร้อยละ 52.80 ที่ระบุว่า ยังไม่ตัดสินใจ มีเพียงร้อยละ 1.13 ที่ระบุว่า ไม่ลงคะแนนเสียง
นั่นหมายความว่า ฐานเสียงของคุณชายสุขุมพันธุ์ ยังเหนือว่า ฐานเสียงของพรรคเพื่อไทย เล็กน้อย
แต่ประเด็นสำคัญที่สุดคือ ยังมีคนไม่ตัดสินใจเลือกผู้ว่าฯกทม. อีก 52.80 %
ผลการสำรวจของนิด้า มีความแตกต่างราวขาวกับดำกับผลการสำรวจของเอแบคโพลล์ โพลล์รับใช้ของพรรคเพื่อไทย
เอแบคโพลล์ มหาวิทยาลัยอัสสัมชัญ ได้สำรวจเรื่อง โค้งแรกเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ใครนำใครตาม กรณีศึกษาตัวอย่างประชาชนผู้มีสิทธิเลือกตั้งในเขตกรุงเทพมหานคร จำนวนทั้งสิ้น 1,766 ตัวอย่าง ระหว่างวันที่ 22-23 มกราคม 2556
คำถามเดียวกันกับนิด้าโพลล์ แต่แตกต่างกันเพียง 3 วัน ปรากฏว่า เอแบคโพลล์ ให้พงศพัศขี่คอคุณชายสุขุมพันธุ์ ทุกประแด็น
สมกับเป็น “โพลล์รับใช้เจ้านาย” เสียจริงๆ
ผลการสำรวจของเอแบคโพลล์ ระบุว่า เมื่อสอบถามถึงผู้สมัครรับเลือกตั้งที่ตั้งใจจะเลือก ถ้าวันนี้เป็นวันเลือกตั้ง พบว่า ความนิยมของสาธารณชนคนกรุงเทพมหานครที่มีต่อ พล.ต.อ.พงศพัศ พงษ์เจริญ สูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญทางสถิติ คือ จากร้อยละ 32.1 ในช่วงก่อนวันสมัครรับเลือกตั้ง มาอยู่ที่ร้อยละ 41.8 ในช่วงหลังวันสมัคร คือเพิ่มขึ้นกว่า 9.7 จุด ในขณะที่ ม.ร.ว. สุขุมพันธุ์ บริพัตร พรรคประชาธิปัตย์ เพิ่มขึ้นจากร้อยละ 31.7 มาอยู่ที่ร้อยละ 37.6 หรือเพิ่มขึ้น 5.9 จุด และ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ผู้สมัครอิสระ มีความนิยมไม่เปลี่ยนแปลง คือร้อยละ 14.5 และร้อยละ 14.3
นั่นหมายความว่า “ความนิยม” ของกลุ่มตัวอย่าง 1,766 ตัวอย่าง ถูกแอบอ้างว่า เป็นความเห็นของ “สาธารณชน”
“สาธารณชน” ในที่นี้ก็คือ ผู้มีสิทธิเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. จำนวน 4,200,000 คน จากประชากร 5.7 ล้านคน
หรือหากจะคิดเป็นครัวเรือนก็คือ 2.2 ล้านหลังคาเรือน
มิหนำซ้ำยังประกาศว่า มีความคลาดเคลื่อนบวกลบเพียง 7%
แสดงว่า กลุ่มตัวอย่าง 1,766 ตัวอย่าง สามารถตอบแทนความคิดความรู้ของประชากร 4,200,000 คน
มันจะเป็นขี้ข้ากันไปถึงไหน ???
นั่นหมายความว่า “ความไม่ซื่อสัตย์” ของเอแบคโพลล์ ในเส้นทางอาชีพนักวิจัย กำลังจะถูกเปิดเผยมากขึ้น
ไม่ต้องอธิบายถึง “คำถาม” ข้ออื่นๆ ทั้งด้านบุคลิกภาพ ลักษณะนิสัย ความรู้ความสามารถ รูปแบบการลงพื้นที่หาเสียง ความจริงใจ ป้ายหาเสียง การดูแลปากท้องค่าครองชีพ การแก้ปัญหาจราจร แม้กระทั่งเบอร์ของผู้สมัคร
เอแบคโพลล์ยังให้ “เสาไฟฟ้า” เป็นอันดับหนึ่ง เหนือคุณชายสุขุมพันธุ์ ทั้งหมด
อันที่จริง เอแบคโพลล์ น่าจะตั้ง “พงศพัศ” เป็นผู้ว่าฯกทม.ไปเลย เพราะดูท่าทางแล้วจะเป็น “เทวดา” มากกว่า “เสาไฟฟ้า”
เพราะคนกรุงเทพฯ 4.2 ล้านคน ตัดสินใจเลือกพงศพัศ มากกว่าสุขุมพันธุ์
ไม่มีใครลังเลสักคนเดียว !!!
ผลการสำรวจแบบประจบสอพลอนี้ แตกต่างกับ “วิธีคิด” ของกุนซือของพงศพัศ และสุขุมพันธุ์
“ภูมิธรรม เวชยชัย” เลขาธิการพรรคเพื่อไทยในฐานะ ผอ.เลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. ของพรรคเพื่อไทย อธิบายวิธีคิดกับสำนักข่าวอิศราว่า
“ถ้านับจากวันรับสมัคร (21 ม.ค.) จะเหลือเวลาหาเสียงอีกแค่ 48 วัน ช่วงแรกจะเป็นการเปิดตัว ทำความเข้าใจ แนะนำตัวผู้สมัคร ว่าเหตุใดพรรคเพื่อไทย จึงตัดสินใจนำเสนอคนๆ นี้มาให้ประชาชนได้พิจารณา แต่เราอาจะสบายนิดหนึ่ง เพราะตัวผู้สมัครที่เราเลือกตอนนี้ ไม่ใช่คนที่ไม่มีใครรู้จัก จึงไม่ต้องเสียเวลาในการทำความเข้าใจให้ประชาชนรู้ตัวตนที่แท้จริงของเขา ดังนั้นขั้นตอนการแนะนำตัวก็จะทำให้กระชับ และสั้นลงได้ เฟสแรกจะเป็นอย่างนี้”
“หลังจากนั้นก็จะเป็นการนำเสนอว่า พรรคเพื่อไทยจะเริ่มพัฒนา กทม.อย่างไร เพื่อตอบสนองความต้องการของคน กทม.ให้สูงที่สุด แต่ pattern ในการหาเสียงไม่ได้ตายตัว การเมืองไม่มีอะไรตายตัว ไม่ใช่ 1+1=2 , 2+2=4 เพราะในสถานการณ์หนึ่ง เมื่อเกิดเหตุขึ้นมา นักการเมืองต้องปรับตัวให้สอดรับกับสถานการณ์เป็นจริงที่เกิดขึ้น แต่ที่สำคัญกว่านี้ เราก็ต้องโชว์ให้ประชาชนเห็นว่า พรรคเพื่อไทยคิดอย่างไรกับการดูแล กทม. และทำให้คน กทม.เชื่อว่าบุคคลที่พรรคนำเสนอ จะนำนโยบายไปปฏิบัติได้จริง คน กทม.จะเชื่อไหมว่า สิ่งที่พรรคเพื่อไทยคิด นโยบายที่นำเสนอ จะทำได้จริง แล้วจะส่งผลดีต่อคน กทม. นี่คือแผนที่เราจะใช้ในการรณรงค์ให้คน กทม.ตัดสินใจ”
เขายังบอกว่า “ในการเลือกตั้งทุกครั้ง คะแนนที่เกิดขึ้นจะมาจากหลายส่วน มาจากคะแนนพื้นฐานของพรรคโดยตรง อันนี้ปฏิเสธไม่ได้ เพราะพรรคที่ทำงานให้กับประชาชนย่อนมีฐานของตัวเอง อีกส่วนคือ คะแนนของตัวผู้สมัคร ซึ่งแต่ละคนจะมีฐานมวลชนที่สนิทสนมคุ้นเคยหรือรักใคร่เอื้ออาทรต่อกัน อีกส่วนคือเรื่องของนโยบาย ถ้าเชื่อว่าพรรคนี้ ผู้สมัครคนนี้ พูดจริงทำจริง มันก็จะมากบวกๆ กัน”
“ถ้าไปดูตามสถิติ คะแนนฐานของพรรคจะอยู่ที่ราว 20 % ของคะแนนที่ผู้สมัครรายนั้นๆ ได้รับ แล้วตัวบุคคลจะมาเติม แต่ในสถานการณ์ที่นโยบายโดนใจ voters มากๆ คะแนนก็จะขึ้นลงตามสภาพ มันไม่มีอะไรหยุดนิ่งถาวร พรรคที่คนเคยนิยม ถึงจุดหนึ่งก็จะลดถอยได้ พรรคที่ไม่เคยได้รับความนิยม หากเสนออะไรที่ถูกใจคน ก็มีโอกาสชนะได้” ผอ.การเลือกตั้งผู้ว่าฯกทม. อธิบายถึงความไม่แน่นอนที่แตกต่างจากผลการสำรวจของเอแบคโพลล์
เช่นเดียวกับ “องอาจ คล้ามไพบูลย์" ผอ.การเลือกตั้ง ของพรรคประชาธิปัตย์ ยอมรับกับสำนักข่าวเนชั่นว่า การเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ครั้งนี้ ยากกว่าทุกครั้งที่ผ่านมา เพราะการเมืองจะเปลี่ยนไปเยอะ รัฐบาลทุ่มเทเต็มที่จะเอาชนะให้ได้ เพราะพ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี ออกมาย้ำว่าชนะแน่นนอน
"ผมว่าทักษิณต้องมั่นใจ เขาถึงพูด เราก็มาดูว่าที่มั่นใจอย่างนี้น่าจะมีสาเหตุอะไร เพราะปกติการเลือกตั้ง ยากที่จะพูดอย่างนั้นได้ อะไรคือสาเหตุที่ทำให้มั่นใจ จะมีเรื่องการใช้อำนาจรัฐไหม จะใช้เงินทุ่มเทไหม นี่เป็นเรื่องที่หนักใจ"
เขาอธิบายอีกว่า "ยุทธศาสตร์ของเราคือ ให้ผู้ว่าฯ มาทำงานต่อเนื่อง ส่วนจะขับเคลื่อนยังไง ก็ต้องให้ ส.ส. -ส.ก. -ส.ข. สาขาพรรค ต้องมาช่วยกัน งานพื้นฐานก็คือ มีรถแห่ ป้ายประชาสัมพันธ์ แต่คราวนี้จะมีเรื่องโซเชียลมีเดีย ครั้งนี้ก็จะมีคนมารับผิดชอบ โดยมี ดร.รัชดา ธนาดิเรก จะเป็นคนดูแล และต้องมารายงานทุกเช้า"
อย่างไรก็ตาม หากเปรียบเทียบกับ ยุทธศาสตร์ "ไร้รอยต่อ" เขาวิเคราะห์ว่า “พรรคเพื่อไทย พูดอย่างอื่นไม่ได้ นี่เป็นสูตรสำเร็จของเขา เพียงแต่ไปหาถ้อยคำมาใหม่ เช่น เมื่อก่อน เขาบอกเลือกคนรัฐบาลเพื่อประสานงานให้สำเร็จ ซึ่งก็ถูกวิพากษ์วิจารณ์กัน เขาก็ต้องไปหาทางแก้ไข ถ้าไร้รอยต่อที่ผานมาช่วงน้ำท่วม จะท่วมทั้งกรุงเทพฯเลยนะ ”
นั่นหมายความว่า หากเชื่อแบบเอาอยู่ของยิ่งลักษณ์ จะทำให้กทม. จมบาดาลทุกพื้นที่
เขาวิเคราะห์จุดอ่อนจุดแข็งของแคนดิเดตทั้งสองว่า “จุดแข็งของ ของพล.ต.อ.พงศพัศ ก็คือ เขาเป็นที่รู้จักมาก และภาพที่สร้างมา เหมือนเป็นนักสังคมสงเคราะห์ ซึ่งก็เป็นเหรียญสองด้าน เพราะเขามีภาพอย่างที่ถูกตั้งฉายาว่าเป็น "จูดี้อีเวนท์" ต้องแล้วแต่ว่าเขาจะทำตัวอย่างไร ซึ่งเป็นได้ทั้งจุดแข็งจุดอ่อน นอกจากนี้เขา อาจจะเป็นนักประชาสัมพันธ์ที่ดี แต่เขาก็ทำเกินไป
จุดอ่อนของพงศพัศ ก็คือ เรื่องประวัติที่ผ่านมาของเขา ไม่ว่าจะเป็นเรื่องขโมยของ ซึ่งแม้จะไม่มีปัญหาเรื่องคุณสมบัติ แต่ทำให้คนคิด นอกจากนี้ยังมีประวัติ เรื่องบิ๊กขี้หลี นี่คือจุดใหญ่ แต่เราคงไม่เล่นเรื่องนี้ หรือหยิบมาขยาย ทั้งนี้ส่วนอื่นมองว่า พล.ต.อ.พงศพัศ ไม่ค่อยมีจุดอ่อน เพราะเขาไม่ทำอะไรเท่าไหร่
จุดแข็งของ สุขุมพันธุ์ ก็คือ มีความรู้ความสามารถ รอบรู้ มีความตั้งใจที่จะทำงาน และความทุ่มเท
จุดอ่อนของสุขุมพันธ์ ก็คือ เป็นสุภาพบุรุษเกินไปในการทำงาน ทำให้คนใช้มากล่าวหาค่อนข้างมาก เพราะไม่ตอบโต้ ก้มหน้าก้มตาไปตามปกติ
แต่ องอาจไม่ได้บอกว่า ความนิยมของคุณชายสุขุมพันธุ์ เหนือคู่แข่งแต่อย่างใด เพราะ 40 กว่าวันที่เหลือ จะมีการเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นมากมาย !!