“ปานเทพ” มั่นใจคน กทม.ไม่มีเสียงแตก เพราะท้ายที่สุดจะเทมาให้คนที่สามารถชนะเพื่อไทยได้ ชี้โพลสำคัญมาก อาจทำให้ผู้สมัครอิสระชนะ ปชป.ถ้าผลสำรวจออกมาสูสีกัน
คลิกที่นี่ สัมภาษณ์ โดย "นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ "
วันที่ 22 ม.ค. นายปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ โฆษกพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย และ ผศ.ดร.พิชาย รัตนดิลก ณ ภูเก็ต รองคณบดีคณะพัฒนาสังคมและสิ่งแวดล้อม สถาบันบัณฑิตพัฒนบริหารศาสตร์ (นิด้า) ร่วมวิเคราะห์ประเด็นการเลือกตั้งผู้ว่าฯ กทม. ในรายการ “คนเคาะข่าว” ออกอากาศทางสถานีโทรทัศน์ผ่านดาวเทียม ASTV
นายปานเทพกล่าวว่า ตอนนี้เหมือนสภาพคนกรุงเทพฯ ถูกบังคับว่ามีแค่สองทางเลือก คนที่เลือกเพื่อไทยก็จะเลือกเพื่อไทย คนเลือกประชาธิปัตย์ก็จะเลือกประชาธิปัตย์ แต่ความขัดแย้งทางการเมืองเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้ตัวเลขค่อนข้างเปลี่ยนยาก ในรอบ 10 ปีที่ผ่านมาพบว่า ผู้ได้รับเลือกตั้งอันดับหนึ่ง คะแนนจะอยู่ที่ประมาณ 9 แสน ถึง 1 ล้านเสียง อันดับสอง 5-6 แสน อันดับสาม 3 แสน พ้นจากนั้นก็กระจัดกระจายกันไป
การเลือกของคนกรุงเทพฯ มักมีเหตุผลที่ซ่อนลึกๆ และจะมีความต้องการตรงกันโดยมิได้นัดหมาย ยกตัวอย่าง เช่น พล.ต.จำลอง ศรีเมือง ชนะได้เป็นผู้ว่าฯ เนื่องจากภาพลักษณ์การซื่อสัตย์สุจริต ดร.พิจิตต รัตตกุล เกิดกระบวนการสร้างความรู้สึกว่าอดทนรอมาตั้ง 4 ปี แล้วยังมาสู้ต่อ และตลอดเวลาสร้างภาพให้เห็นว่าเป็นนักสู้เพื่อสิ่งแวดล้อม สะท้อนว่าคน กทม.ติดมายาภาพในการประชาสัมพันธ์ง่ายมาก มายุคนายสมัคร สุนทรเวช คน กทม.ก็มีอารมณ์ร่วมคล้ายๆ กันคือท่านกำลังจะเกษียณ เลยอยากให้โอกาสในบั้นปลายชีวิตการเมือง พอมาตอนนายอภิรักษ์ โกษะโยธิน ก็เพราะเกิดความต้องการถ่วงดุลกับรัฐบาลเพื่อไทยในตอนนั้น
นายปานเทพกล่าวต่อว่า ระหว่างยุทธศาสตร์ไร้รอยต่อของเพื่อไทย กับไม่เลือกเราเขามาแน่ของประชาธิปัตย์ การแบ่งขั้วคราวนี้ประชาธิปัตย์ค่อนข้างฉีกตัวออกจากพันธมิตรฯ ทำให้การชุมนุมของพันธมิตรฯไม่กระทบประชาธิปัตย์ ในขณะที่เสื้อแดงมีภาพผูกพันกับเพื่อไทย ภาพเผาบ้านเผาเมือง คนกรุงเทพฯ รู้สึกมาก ฉะนั้นใครก็ตามที่อยู่ฝ่ายทักษิณยากที่จะไรับชัยชนะในกทม. ประชาธิปัตย์จึงใช้โอกาสนี้ในการเสี้ยม
ส่วนการชูประเด็นไร้รอยต่อความเป็นรัฐบาลกับ กทม.สามารถทำงานร่วมกันได้ เป็นเหตุผลที่เบาหวิวมาก เพราะคนกลัวเสื้อแดงมีมากกว่า แล้วคน กทม.ต้องการคนที่มีภาพของผู้บริหารมากกว่าคนที่เป็นตำรวจ
นายปานเทพกล่าวอีกว่า เชิงยุทธศาสตร์ทางการเมือง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ได้เปรียบมากกว่า พล.ต.อ.พงศพัศ เพราะคนกลัวเสื้อแดง แต่คนที่จะเลือกไม่ใช่ชอบสุขุมพันธุ์ทุกคน แต่เขาเลือกคนที่มีโอกาสชนะเพื่อไทยมากที่สุด เพื่อไม่ให้เสียงแตก ถ้าโพลออกมา พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส เป็นที่ 2 สถานการณ์อาจเปลี่ยนมาเทให้ พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เพราะไม่มีโอกาสชนะมากกว่า อีกทั้ง ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ เสียคะแนนที่ฝั่งธนฯ มากเรื่องน้ำท่วมปี 54 จึงไม่แน่ว่าคะแนนฝั่งธนฯ จะสวิงไปที่ตัวเลือกที่ 3 หรือสวิงไปที่พงศพัศ อันนี้คือจุดเสียเปรียบของประชาธิปัตย์
นายปานเทพยังกล่าวว่า กทม.ไม่มีทางเสียงแตก จะตัดสินใจโค้งสุดท้ายจะให้ใครชนะ ถ้าที่ 1-2 คะแนนใกล้เคียงกัน สุดท้ายคะแนนจะขาดเลย ประชาธิปัตย์จะได้ชัยชนะในที่สุด สุดท้ายแล้วคนจะกลัวแดงชนะ แต่ถ้าสถานการณ์ที่ 1-3 สูสีกันมาก คนจะเริ่มคิดใหม่ เพราะท่ามกลางที่ไม่ชอบเพื่อไทย แต่ก็ไม่ได้พอใจ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ แต่ว่าถ้าเขามีความรู้สึกว่าสูสีกันจะเทมาให้เพื่อจะได้ชนะเพื่อไทย แม้หลายคนกลัวว่าเสียงแตก แต่คน กทม.ไม่เคยเกิดแบบนั้น เพราะคน กทม.ถ้าไม่มั่นใจเขาจะไปกาให้พรรคที่เขาเชื่อว่าเอาชนะเพื่อไทยได้ ฉะนั้นโพลจึงมีส่วนสำคัญมากที่จะตัดสินใจกาให้ใคร
นายพิชายกล่าวว่า ในอดีตผู้ว่าฯ กทม.ไม่สังกัดพรรคก็มีมากแล้วก็ไม่ได้มีปัญหาการทำงานกับรัฐบาล ส่วนตอนที่นายอภิรักษ์เป็นผู้ว่าฯ แล้วรัฐบาลเป็นเพื่อไทยก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากมาย ความจริงแล้วถ้าการทำงานมีจุดประสงค์เดียวกันคือเพื่อประชาชนก็จะไม่เป็นปัญหา ยกเว้นแต่ว่าฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งมองว่าเป็นเกมการเมือง แย่งชิงอำนาจกัน ซึ่งแม้แต่ในพรรคเดียวกันก็สามารถแย่งอำนาจ ขัดแย้งกันได้
มาที่ยุทธศาสตร์ไร้รอยต่อของพรรคเพื่อไทย ตนมองว่าไม่มีพลังเพียงพอที่จะจูงใจให้คนมาเลือก ส่วนเรื่องบุคลิกของ พล.ต.อ.พงศพัศ คนจำนวนมากมองว่าเป็นการเสแสร้ง ขนาดกลุ่มคนที่ชอบ พ.ต.ท.ทักษิณ ชอบเพื่อไทย ยังไม่ชอบพงศพัศเลย เพราะมองว่าเป็นดาราภาพยนตร์มากเกินไป ดังนั้นคนที่เลือกเพื่อไทย คราวนี้อาจไม่เลือกพงศพัศก็ได้
ส่วน ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ ใช้ยุทธศาสตร์ไม่เลือกเราเขามาแน่ ซึ่งประชาธิปัตย์มักใช้ยุทธศาสตร์นี้ประจำ ซึ่งก็ได้ผลระดับในระดับหนึ่ง เพราะพลังความเกลียดชังมันมีอยู่ แต่คงใช้ได้กับแค่บางกลุ่มเท่านั้น คงไม่สามารถขยายให้คนที่กลางๆมาเลือกได้ ด้านบุคลิกภาพของ มรว.สุขุมพันธุ์ ก็ตรงกันข้ามกับ พล.ต.อ.พงศพัศเลย คือดูเป็นคุณชายจริงๆ ดูห่างเหินจากประชาชน พูดน้อย ทำให้คนจำนวนมากไม่รู้สึกสนิทสนมกับคุณชายมากเท่าไหร่
ซึ่งสองคนนี้ต่างก็อาศัยจุดอ่อนของอีกฝ่ายมาสร้างยุทธศาสตร์ เพื่อไทยก็เอาเรื่องน้ำท่วมเมื่อปี 2554 มาโจมตีประชาธิปัตย์ ประชาธิปัตย์ก็เอาการเผาเมืองมาโจมตีกลับ
นายพิชายกล่าวต่อว่า สำหรับผู้สมัครอิสระ นายสุหฤท สยามวาลา อาจได้ฐานเสียงของนายชูวิทย์ กมลวิศิษฎ์ไป ส่วนนายโฆสิต สุวินิจจิต ถ้าบริหารภาพดีๆจะได้เปรียบในแง่ของการเป็นนักบริหาร ตามโพลสำรวจเหลือ 40 กว่าเปอร์เซ็นต์ที่ยังไม่ตัดสินใจลงคะแนน เวลาที่เหลือจึงขึ้นอยู่กับยุทธศาสตร์ว่าใครจะโดนใจคน กทม.มากกว่า ด้าน พล.ต.อ.เสรีพิศุทธ์ เตมียาเวส ตนคิดว่าน่าจะปรับให้มีภาพความทันสมัยมากขึ้น เสนอนโยบายที่แปลกใหม่ให้มากขึ้น ซึ่ง 3 คนนี้ ถ้าแข่งกันเข้าไปอยู่ในอันดับ 3 ได้ และคะแนนสูสีกับอันดับ 2 มีแนวโน้มที่คนอาจเทมาเลือกผู้สมัครอิสระ แต่ถ้าโพลบอกว่าคะแนนต่างจากที่ 2 มาก คนก็จะเทไปที่ ม.ร.ว.สุขุมพันธุ์ แต่ให้เลือก พล.ต.อ.พงศพัศ คงยาก คน กทม.ไม่เอา