ASTVผู้จัดการรายวัน - ออมสินออกโรงแจงกรณีชาวบ้านลำปาง 11 ราย แจ้งความฉ้อโกง ระบุได้ไล่ผู้จัดการสาขาตรอนผู้ปล่อยสินเชื่อออกจากงานตั้งแต่ปี 49 แล้ว ส่วนผู้เสียหาย 11 รายที่แจ้งความล้วนแต่เป็นผู้ผิดนัดชำระหนี้และศาลพิพากษาให้ใช้หนี้คืนแบงก์ออมสินทั้งหมดแล้ว ตามที่ชาวบ้านในจังหวัดลำปาง เข้าแจ้งความร้องทุกข์ต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองลำปาง เพื่อดำเนินคดีต่อผู้บริหารธนาคารออมสิน 5 ราย
วานนี้ (24 ม.ค.) นายวุฒิพงษ์ ภิรมยาภรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้ส่งหนังสือชี้แจงมายังกองบรรณาธิการ ASTVผู้จัดการรายวัน ว่า ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวกรณี นายนิพิท หรือ นายนพรัตน์ รื่นเริง ได้แจ้งความดำเนินคดีธนาคารออมสิน และร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2556 เกี่ยวกับการกู้เงินสินเชื่อเคหะ หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง นั้น ธนาคารออมสินขอชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าว มีประเด็นที่ต้องพิจารณา 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 การปล่อยสินเชื่อของธนาคารออมสิน และกรณีที่ 2 การชำระหนี้เงินกู้ของลูกค้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
กรณีที่ 1 การปล่อยสินเชื่อของธนาคารออมสิน โดย นางเอื้ออารีย์ ชุตินทราศี ผู้จัดการสาขาตรอน จ.อุตรดิตถ์ ได้อนุมัติสินเชื่อให้ลูกค้าในโครงการดังกล่าว รวม 42 ราย ในช่วงเดือนธันวาคม 2545 ถึง พฤษภาคม 2546 ต่อมาฝ่ายสอบทานสินเชื่อของธนาคารได้ตรวจสอบพบว่า การปล่อยสินเชื่อดังกล่าวไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ธฯคารกำหนดไว้ในหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อของธนาคาร ธนาคารออมสินจึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและได้ลงโทษให้ นางเอื้ออารีย์ ออกจากงานแล้วเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2549 ส่วนเจ้าหน้าที่อีก 4 คน ตามรายชื่อที่ระบุในข่าวนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และธนาคารออมสินไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการจ่ายเงินกู้ระหว่างเจ้าของโครงการกับผู้กู้ทั้ง 11 ราย
กรณีที่ 2 การชำระหนี้เงินกู้ของลูกค้าที่กู้เงินตามโครงการดังกล่าว ได้มีลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้จำนวนหนึ่ง ซึ่งนายนิพิท รื่นเริง และผู้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองลำปาง อีก 10 คน รวม 11 คนตามข่าวเป็นลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้กับธนาคาร ซึ่งธนาคารออมสินได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร แต่อย่างไรก็ตาม นายนิพิทได้มีการส่งชำระเงินกู้ตามเงื่อนไขจนถึงปี 2552 จึงเริ่มผิดนัดชำระหนี้และขอผ่อนผันชำระหนี้ ซึ่งธนาคารได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แล้ว แต่นายนิพิทไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้จึงขอประนอมหนี้อีกครั้งในปี 2553 และยังคงผิดนัดชำระอีก
ซึ่งธนาคารฯ ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนในการติดตามหนี้ โดยฟ้องดำเนินคดีนายนิพิท เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2554 และศาลจังหวัดลำปางได้มีคำพิพากษาแล้วเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 โดยให้นายนิพิทชำระเงินจำนวน 2,498,195.24 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง หากไม่ชำระหนี้ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ซึ่งลูกหนี้ทั้ง 10 ราย ก็ถูกพิพากษาให้ชำระหนี้แล้วทั้งหมดเช่นกัน.
วานนี้ (24 ม.ค.) นายวุฒิพงษ์ ภิรมยาภรณ์ ผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารออมสิน ได้ส่งหนังสือชี้แจงมายังกองบรรณาธิการ ASTVผู้จัดการรายวัน ว่า ตามที่สื่อมวลชนได้นำเสนอข่าวกรณี นายนิพิท หรือ นายนพรัตน์ รื่นเริง ได้แจ้งความดำเนินคดีธนาคารออมสิน และร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 22 มกราคม 2556 เกี่ยวกับการกู้เงินสินเชื่อเคหะ หมู่บ้านแห่งหนึ่งใน ต.พิชัย อ.เมือง จ.ลำปาง นั้น ธนาคารออมสินขอชี้แจงว่า เรื่องดังกล่าว มีประเด็นที่ต้องพิจารณา 2 กรณี คือ กรณีที่ 1 การปล่อยสินเชื่อของธนาคารออมสิน และกรณีที่ 2 การชำระหนี้เงินกู้ของลูกค้า โดยมีรายละเอียดดังนี้
กรณีที่ 1 การปล่อยสินเชื่อของธนาคารออมสิน โดย นางเอื้ออารีย์ ชุตินทราศี ผู้จัดการสาขาตรอน จ.อุตรดิตถ์ ได้อนุมัติสินเชื่อให้ลูกค้าในโครงการดังกล่าว รวม 42 ราย ในช่วงเดือนธันวาคม 2545 ถึง พฤษภาคม 2546 ต่อมาฝ่ายสอบทานสินเชื่อของธนาคารได้ตรวจสอบพบว่า การปล่อยสินเชื่อดังกล่าวไม่เป็นไปตามเกณฑ์ที่ธฯคารกำหนดไว้ในหลักเกณฑ์การให้สินเชื่อของธนาคาร ธนาคารออมสินจึงได้ตั้งคณะกรรมการสอบสวนและได้ลงโทษให้ นางเอื้ออารีย์ ออกจากงานแล้วเมื่อวันที่ 18 ธันวาคม 2549 ส่วนเจ้าหน้าที่อีก 4 คน ตามรายชื่อที่ระบุในข่าวนั้นไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแต่อย่างใด และธนาคารออมสินไม่มีส่วนเกี่ยวข้องใดๆ กับการจ่ายเงินกู้ระหว่างเจ้าของโครงการกับผู้กู้ทั้ง 11 ราย
กรณีที่ 2 การชำระหนี้เงินกู้ของลูกค้าที่กู้เงินตามโครงการดังกล่าว ได้มีลูกหนี้ผิดนัดชำระหนี้จำนวนหนึ่ง ซึ่งนายนิพิท รื่นเริง และผู้เข้าแจ้งความต่อเจ้าหน้าที่ตำรวจ สภ.เมืองลำปาง อีก 10 คน รวม 11 คนตามข่าวเป็นลูกหนี้ที่ผิดนัดชำระหนี้กับธนาคาร ซึ่งธนาคารออมสินได้ดำเนินการปรับโครงสร้างหนี้ให้ตามหลักเกณฑ์ของธนาคาร แต่อย่างไรก็ตาม นายนิพิทได้มีการส่งชำระเงินกู้ตามเงื่อนไขจนถึงปี 2552 จึงเริ่มผิดนัดชำระหนี้และขอผ่อนผันชำระหนี้ ซึ่งธนาคารได้ดำเนินการปรับปรุงโครงสร้างหนี้ให้แล้ว แต่นายนิพิทไม่สามารถปฏิบัติตามเงื่อนไขได้จึงขอประนอมหนี้อีกครั้งในปี 2553 และยังคงผิดนัดชำระอีก
ซึ่งธนาคารฯ ต้องปฏิบัติตามขั้นตอนในการติดตามหนี้ โดยฟ้องดำเนินคดีนายนิพิท เมื่อวันที่ 25 สิงหาคม 2554 และศาลจังหวัดลำปางได้มีคำพิพากษาแล้วเมื่อวันที่ 29 พฤศจิกายน 2555 โดยให้นายนิพิทชำระเงินจำนวน 2,498,195.24 บาท พร้อมอัตราดอกเบี้ยร้อยละ 14 ต่อปี นับถัดจากวันฟ้อง หากไม่ชำระหนี้ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนของกฎหมายต่อไป ซึ่งลูกหนี้ทั้ง 10 ราย ก็ถูกพิพากษาให้ชำระหนี้แล้วทั้งหมดเช่นกัน.