**“กรรมใดใครก่อ กรรมนั้นย่อมตามสนอง” ยังคงขลังในฤทธานุภาพของมันอยู่เสมอ
ตามจังหวะเมื่อวันก่อนที่ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.2962/2554 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” อดีตบรรณาธิการนิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นและแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
โทษจำคุก 10 ปี และบวกนับโทษ 1 ปี ในคดีอาญาที่หมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และอดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งศาลอาญาได้มีคำพิพากษามาแล้ว
**รวมจำคุกทั้งสิ้น 11 ปี นั่นคือผลกรรมที่ “สมยศ” ต้องชดใช้ในเรือนจำหลังจากนี้
ส่วนการยื่นอุทธรณ์ และการขอประกันตัวของบรรดาทีมทนายความ แม้ตามกฎหมายจะบัญญัติเปิดช่องให้สามารถกระทำได้ แต่อาญาสิทธิ์และท่าทีของศาลที่ไม่อนุมัติการประกันตัวจากการยื่นขอประกันตัวที่ผ่านมาทั้งหมด 12 ครั้ง น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว
อีกทั้งเมื่อรวมกับพยานหลักฐานที่มี งานนี้ “สมยศ” ถอดใจนอนซังเตยาวเต็มทศวรรษได้เลย ไม่ต้องรอลุ้นให้เมื่อยตุ้ม
อย่างไรก็ตาม จับท่าทีของศาล โดยเฉพาะระยะหลังๆ กับคำพิพากษาเกี่ยวกับคดี “คนเสื้อแดง” ต้องบอกว่าดุดัน หนักแน่น และเคร่งครัดต่อกฎหมายชนิดต้องปรบมือให้ดังๆ เรียกว่ากู้ศรัทธากลับมาได้เป็นกอบเป็นกำ หลังเคยถูกปรามาสอยู่ช่วงหนึ่ง
ตามสัญญาณเชือดคนผิด ไม่ว่าจะเป็น การถอนประกันตัว “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนในที่สุดต้องกระเด็นออกจากเก้าอี้ ส.ส.ในคดีก่อการร้าย
การถอนประกันตัว “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. หลังโหวกเหวกโวยวาย ข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ จากกรณีมีผู้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของขบวนการเครือข่าย “นายห้าง” เป็นเหตุให้ต้องไปนอนอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมนานหลายวัน ก่อนจะได้ออกมาสูดอากาศภายนอกอีกครั้ง หลังได้รับอานิสงส์ เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครองในช่วงการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป
ต่อด้วยในราย “พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ที่ถูกศาลสั่งจำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรและให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมาย ตามมาตรา 116 เมื่อปี 2553
ต่อเนื่องกับอีกขาฮาร์ดคอร์อย่าง “ยศวริศ ชูกล่อม” หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ที่เมื่อปีกลาย เคยถูกศาลถอนประกันตัวมาแล้วรอบหนึ่ง หลังคุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยการแจกเบอร์โทรและที่อยู่ของตุลาการแต่ละท่าน ก่อนภายหลังศาลได้ปราณีปล่อยตัวให้ออกมาลอยหน้าลอยตาต่อแบบสงบปากสงบคำลงไปเยอะ
กระทั่งเมื่อต้นปีมะเส็งที่ผ่านมา ก็โดนเพิ่มอีกหนึ่งกระทง โดยเป็นข้อหาเดียวกับ “สมยศ” คือ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังจากเมื่อปี 2553 เคยขึ้นเวทีปราศรัยที่เชิงมัฆวานรังสรรค์ โดยพูดทำนองสื่อให้คนเข้าใจผิดในสถาบันเบื้องสูง จึงให้จำคุก 3 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วว่า จำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวมาแล้ว และไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกันจำนวน 5 แสนบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีของ “เดอะเจ๋ง” นั้น ตามทฤษฎีที่ผ่านมาและประจักษ์พยานแล้ว เชื่อขนมกินได้ว่าท้ายที่สุดแล้วมีโอกาสกลับเข้าไปนอนในคุกแทบจะเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะส่วนใหญ่ที่ผ่านมาในคดีนี้ ศาลมักจะยึดคำพิพากษาตามศาลชั้นต้นเสมอ
**ขมวดภาพปรากฏการณ์ศาลไล่ฟันเรียงตัว ส่วนใหญ่เป็นพวกสายเปรี้ยว สายฮาร์ดคอร์ ที่ชอบปราศรัย ชอบปลุกระดมแทบทั้งนั้น
นอกจากนี้ ยังดูเหมือนการถอนประกันตัวของศาลจะกลายมาเป็น “ไม้เด็ด” ที่ใช้กำราบแกนนำเหล่านี้ได้แบบเป็นมรรคเป็นผล เพราะไม่ว่ารายไหนเมื่อถูกศาลถอนประกันไปขังคุก กลับออกมาสงบปากสงบคำ ไม่เอะเอะมะเทิ่งเหมือนแต่ก่อน โดยเฉพาะในรายของ “เจ๋ง” และ “ก่อแก้ว” ที่ก่อนหน้านี้เวลาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนมักจะดุเดือดระดับห้าดาวเยี่ยงเสือ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเท้า กลายเป็นแมวเหมียว ร้องเบาๆ เพียงเท่านั้น
**ยิ่งเมื่อมาเห็นกรณีล่าสุดของ “สมยศ” ที่ถูกพิพากษาแบบเด็ดขาด งานนี้บรรดาแกนนำแดงทั้งหลาย ที่ถูกฟ้องในมาตรา 112 คงได้เสียวสันหลังกันถ้วนหน้าเป็นแน่
การที่จะไปเหลิงลม เบ่งกล้ามทำตามใจชอบประสาเดิมๆ เพราะคิดว่ามีอำนาจบริหารอยู่ในมือจะช่วยได้ทุกอย่าง คงต้องกลับลำคิดใหม่กันเสียแล้ว เพราะท่าทีที่ขึงขังของศาลในช่วงนี้ไม่ต่างจากสัญญาณเตือนภัยว่า พลังอำนาจของตุลาการยังคงขลังและพร้อมถ่วงดุลเสมอ ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด
โดยเฉพาะเมื่อใครทำความผิดแบบโจ๋งครึ่ม ชนิดที่มีแผลเก่าติดหลังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โอกาสถูกเชือดไปนอนในซังเตเปิดอ้ารออยู่ตลอดเวลา
งานนี้ก็เลยต้องจับตามองไปที่ท่าที “หัวโจกเสื้อแดง” หลังจากนี้ที่มีสิทธิ์ได้เห็นปฏิกิริยาฝ่อๆ หรือ ลดดีกรีความบ้าดีเดือดกันไปหลายคน
**ตามคิวจับอาการของ “ศาล” หนนี้ เป็นสัญญาณที่ถูกส่งออกมาอย่างมีนัยก็แล้วกัน
ตามจังหวะเมื่อวันก่อนที่ศาลอาญาอ่านคำพิพากษาคดีหมิ่นเบื้องสูง หมายเลขดำ อ.2962/2554 ที่อัยการฝ่ายคดีพิเศษ 4 เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง “สมยศ พฤกษาเกษมสุข” อดีตบรรณาธิการนิตยสาร วอยซ์ ออฟ ทักษิณ และแกนนำกลุ่ม 24 มิถุนาเพื่อประชาธิปไตย เป็นจำเลยในความผิดฐานหมิ่นประมาท ดูหมิ่นและแสดงความอาฆาตมาดร้ายพระมหากษัตริย์และองค์รัชทายาท ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112
โทษจำคุก 10 ปี และบวกนับโทษ 1 ปี ในคดีอาญาที่หมิ่นประมาท พล.อ.สพรั่ง กัลยาณมิตร อดีตผู้ช่วยผู้บัญชาการทหารบก และอดีตเลขาธิการคณะมนตรีความมั่นคงแห่งชาติ (คมช.) ซึ่งศาลอาญาได้มีคำพิพากษามาแล้ว
**รวมจำคุกทั้งสิ้น 11 ปี นั่นคือผลกรรมที่ “สมยศ” ต้องชดใช้ในเรือนจำหลังจากนี้
ส่วนการยื่นอุทธรณ์ และการขอประกันตัวของบรรดาทีมทนายความ แม้ตามกฎหมายจะบัญญัติเปิดช่องให้สามารถกระทำได้ แต่อาญาสิทธิ์และท่าทีของศาลที่ไม่อนุมัติการประกันตัวจากการยื่นขอประกันตัวที่ผ่านมาทั้งหมด 12 ครั้ง น่าจะเป็นคำตอบที่ชัดเจนในตัวอยู่แล้ว
อีกทั้งเมื่อรวมกับพยานหลักฐานที่มี งานนี้ “สมยศ” ถอดใจนอนซังเตยาวเต็มทศวรรษได้เลย ไม่ต้องรอลุ้นให้เมื่อยตุ้ม
อย่างไรก็ตาม จับท่าทีของศาล โดยเฉพาะระยะหลังๆ กับคำพิพากษาเกี่ยวกับคดี “คนเสื้อแดง” ต้องบอกว่าดุดัน หนักแน่น และเคร่งครัดต่อกฎหมายชนิดต้องปรบมือให้ดังๆ เรียกว่ากู้ศรัทธากลับมาได้เป็นกอบเป็นกำ หลังเคยถูกปรามาสอยู่ช่วงหนึ่ง
ตามสัญญาณเชือดคนผิด ไม่ว่าจะเป็น การถอนประกันตัว “จตุพร พรหมพันธุ์” แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) จนในที่สุดต้องกระเด็นออกจากเก้าอี้ ส.ส.ในคดีก่อการร้าย
การถอนประกันตัว “ก่อแก้ว พิกุลทอง” ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช. หลังโหวกเหวกโวยวาย ข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญ จากกรณีมีผู้ยื่นให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญของขบวนการเครือข่าย “นายห้าง” เป็นเหตุให้ต้องไปนอนอยู่ในกรงสี่เหลี่ยมนานหลายวัน ก่อนจะได้ออกมาสูดอากาศภายนอกอีกครั้ง หลังได้รับอานิสงส์ เอกสิทธิ์ ส.ส.คุ้มครองในช่วงการเปิดประชุมสภาสมัยสามัญทั่วไป
ต่อด้วยในราย “พิพัฒน์ชัย ไพบูลย์” อดีตผู้สมัคร ส.ส.กทม. พรรคเพื่อไทย และแกนนำ นปช.ที่ถูกศาลสั่งจำคุก 1 ปี ฐานร่วมกันก่อให้เกิดความไม่สงบขึ้นในราชอาณาจักรและให้ประชาชนล่วงละเมิดต่อกฎหมาย ตามมาตรา 116 เมื่อปี 2553
ต่อเนื่องกับอีกขาฮาร์ดคอร์อย่าง “ยศวริศ ชูกล่อม” หรือ “เจ๋ง ดอกจิก” ที่ปรึกษารัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์ (นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ) ที่เมื่อปีกลาย เคยถูกศาลถอนประกันตัวมาแล้วรอบหนึ่ง หลังคุกคามตุลาการศาลรัฐธรรมนูญด้วยการแจกเบอร์โทรและที่อยู่ของตุลาการแต่ละท่าน ก่อนภายหลังศาลได้ปราณีปล่อยตัวให้ออกมาลอยหน้าลอยตาต่อแบบสงบปากสงบคำลงไปเยอะ
กระทั่งเมื่อต้นปีมะเส็งที่ผ่านมา ก็โดนเพิ่มอีกหนึ่งกระทง โดยเป็นข้อหาเดียวกับ “สมยศ” คือ มีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 112 หลังจากเมื่อปี 2553 เคยขึ้นเวทีปราศรัยที่เชิงมัฆวานรังสรรค์ โดยพูดทำนองสื่อให้คนเข้าใจผิดในสถาบันเบื้องสูง จึงให้จำคุก 3 ปี แต่ทางนำสืบของจำเลยเป็นประโยชน์ต่อการพิจารณา มีเหตุลดโทษให้ 1 ใน 3 คงจำคุกจำเลยเป็นเวลา 2 ปี โดยไม่รอลงอาญา แต่ทั้งนี้ ศาลชั้นต้นพิเคราะห์แล้วว่า จำเลยได้รับการปล่อยชั่วคราวมาแล้ว และไม่มีพฤติการณ์จะหลบหนี จึงมีคำสั่งอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวจำเลยระหว่างอุทธรณ์ โดยตีราคาประกันจำนวน 5 แสนบาท
อย่างไรก็ตาม สำหรับคดีของ “เดอะเจ๋ง” นั้น ตามทฤษฎีที่ผ่านมาและประจักษ์พยานแล้ว เชื่อขนมกินได้ว่าท้ายที่สุดแล้วมีโอกาสกลับเข้าไปนอนในคุกแทบจะเต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะส่วนใหญ่ที่ผ่านมาในคดีนี้ ศาลมักจะยึดคำพิพากษาตามศาลชั้นต้นเสมอ
**ขมวดภาพปรากฏการณ์ศาลไล่ฟันเรียงตัว ส่วนใหญ่เป็นพวกสายเปรี้ยว สายฮาร์ดคอร์ ที่ชอบปราศรัย ชอบปลุกระดมแทบทั้งนั้น
นอกจากนี้ ยังดูเหมือนการถอนประกันตัวของศาลจะกลายมาเป็น “ไม้เด็ด” ที่ใช้กำราบแกนนำเหล่านี้ได้แบบเป็นมรรคเป็นผล เพราะไม่ว่ารายไหนเมื่อถูกศาลถอนประกันไปขังคุก กลับออกมาสงบปากสงบคำ ไม่เอะเอะมะเทิ่งเหมือนแต่ก่อน โดยเฉพาะในรายของ “เจ๋ง” และ “ก่อแก้ว” ที่ก่อนหน้านี้เวลาให้สัมภาษณ์สื่อมวลชนมักจะดุเดือดระดับห้าดาวเยี่ยงเสือ แต่เดี๋ยวนี้เปลี่ยนหน้ามือเป็นหลังเท้า กลายเป็นแมวเหมียว ร้องเบาๆ เพียงเท่านั้น
**ยิ่งเมื่อมาเห็นกรณีล่าสุดของ “สมยศ” ที่ถูกพิพากษาแบบเด็ดขาด งานนี้บรรดาแกนนำแดงทั้งหลาย ที่ถูกฟ้องในมาตรา 112 คงได้เสียวสันหลังกันถ้วนหน้าเป็นแน่
การที่จะไปเหลิงลม เบ่งกล้ามทำตามใจชอบประสาเดิมๆ เพราะคิดว่ามีอำนาจบริหารอยู่ในมือจะช่วยได้ทุกอย่าง คงต้องกลับลำคิดใหม่กันเสียแล้ว เพราะท่าทีที่ขึงขังของศาลในช่วงนี้ไม่ต่างจากสัญญาณเตือนภัยว่า พลังอำนาจของตุลาการยังคงขลังและพร้อมถ่วงดุลเสมอ ไม่ได้อ่อนแอแต่อย่างใด
โดยเฉพาะเมื่อใครทำความผิดแบบโจ๋งครึ่ม ชนิดที่มีแผลเก่าติดหลังเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว โอกาสถูกเชือดไปนอนในซังเตเปิดอ้ารออยู่ตลอดเวลา
งานนี้ก็เลยต้องจับตามองไปที่ท่าที “หัวโจกเสื้อแดง” หลังจากนี้ที่มีสิทธิ์ได้เห็นปฏิกิริยาฝ่อๆ หรือ ลดดีกรีความบ้าดีเดือดกันไปหลายคน
**ตามคิวจับอาการของ “ศาล” หนนี้ เป็นสัญญาณที่ถูกส่งออกมาอย่างมีนัยก็แล้วกัน