การก่อตั้งรัฐชาติสมัยใหม่ (Nation State) โดย พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 นับแต่ พ.ศ. 2434 สำเร็จเสร็จสิ้นเมื่อ พ.ศ. 2435 โดยมีกฎหมายระหว่างประเทศรับรองชาติสยามตามกฎหมายความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคสมัยใหม่ (Modern History) คือไม่รุกราน ไม่แทรกแซงกิจการภายใน เคารพในบูรณภาพแห่งอาณาเขต และมีความเสมอภาคในผลประโยชน์ระหว่างชาติ
เหตุความเป็นมา
เหตุที่ 1 : ฝรั่งเศสแย่งชิงยึดเอาผืนแผนดินไทยไปก่อนหน้าที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 จะทรงสถาปนารัฐชาติสมัยใหม่ (2434-2435) เราจะไม่พูดถึงเพราะอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของกฎหมายระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคสมัยใหม่
เหตุที่ 2 : ฝรั่งเศสใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่บีบบังคับไทย ไทยต้องเซ็นสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904-1907 (2447-2450) ไทยต้องจำยอมยกดินแดนเขมรในและลาวฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสด้วยความเจ็บแค้น แต่ไทยก็ได้สงวนสิทธิ์ไว้ว่าถ้าอธิปไตยเหนืออินโดจีนเปลี่ยนไปจากฝรั่งเศสเมื่อใด ฝรั่งเศสจะต้องคืนแก่ไทย
หมายเหตุ สนธิสัญญาฉบับนี้ได้ถูกยกเลิกไปตามอนุสัญญาโตเกียวไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ไทยรบฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสได้บินมาทิ้งระเบิดจังหวัดนครพนมความเหลืออดเหลือทนของประชาชนไทยทั้งชาติก็ขาดสะบั้นลงถึงขนาดพระสงฆ์องค์เจ้าลาสิกขาเพศออกมาร่วมจับปืนต่อสู้ปกป้องชาติด้วย
สงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจึงได้ระเบิดขึ้นไทยสามารถยึดได้แคว้นหลวงพระบางฝั่งขวา แคว้นจำปาศักดิ์จังหวัดเสียมราฐ พื้นที่ตะวันตกศรีโสภณ 17 กิโลเมตรทางจันทบุรียึดได้ บ้านกุมเวียง บ้านห้วยเขมร ทิศตะวันตกยึดได้บ่อไพลิน
ฝรั่งเศสเสียหายเป็นอันมาก ส่วนใหญ่ไทยก็สูญเสียนักรบผู้กล้าหาญไปประมาณกว่า 800 คน ในที่สุดญี่ปุ่นเสนอตัวเข้ามาไกล่เกลี่ย
เหตุที่ 3 : อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 (2484) ไทยได้ชนะกรณีพิพาทไทย-อินโดจีน ฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเขมรในและลาวฝั่งขวาของไทยคืนให้แก่ไทยโดยดี มีแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนระหว่างไทย-อินโดจีน ฝรั่งเศสได้ตกลงทำเป็นกติกาสัญญาขึ้น คือ “อนุสัญญาโตเกียว พ.ศ. 2484”
รัฐบาลญี่ปุ่นโดย นายมัตสุโอกะ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ในที่สุดตกลงกันได้ ตามข้อตกลงโตเกียว วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2484 ฝรั่งเศสตกลงยอมคืนดินแดนที่ไทยเสียไปเมื่อ ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2447-2450) คือ แคว้นหลวงพระบางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แคว้นนครจำปาศักดิ์ และแคว้นเขมร คืนให้แก่ไทยเป็นไปตามข้อตกลงเปิดประชุมทำสัญญาสันติภาพและปรับปรุงเขตแดน ณ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2484
ซึ่งข้อตกลงนี้ได้รับรองโดย “อนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสและพิธีสารโตเกียว”ซึ่งมีสาระสำคัญ 12 ข้อ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ได้มีการลงนามกัน ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และแลกเปลี่ยนสัตยาบัน ณ กรุงโตเกียววันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลไทยนำมาขอสัตยาบันจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2484 พ.ต.ควง อภัยวงศ์ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยไปรับมอบดินแดนมณฑลบูรพา ซึ่งบิดาของท่านคือ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ปกครองอยู่ในระหว่างที่ฝรั่งเศสแย่งชิงเอาไป พ.ต.ควง อภัยวงศ์ ลดธงชาติฝรั่งเศสลง และนำธงไตรรงค์ขึ้นแทนผลจากสงครามอินโดจีนครั้งนี้ทำให้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติระหว่างไทยกับกัมพูชาและลาวตามที่ต้องการมายาวนาน
ไทยจัดการปกครอง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2484 รัฐสภาอนุมัติ “พระราชบัญญัติจัดการปกครอง 4 จังหวัด” ในดินแดนที่ได้คืนจากฝรั่งเศส คือ จังหวัดนครจำปาศักดิ์ จังหวัดลานช้างในแคว้นอาณาเขตลาว และในมณฑลบูรพาเดิม ตั้งเป็น 2 จังหวัด คือ จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดพระตะบอง และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งอำเภอในจังหวัดทั้ง 4 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2484
ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2489 เราได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเขตปกครองทั้ง 4 จังหวัดนั้นด้วยโดยมี นายสังคม ริมทอง ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดลานช้าง และนายสอน บุตโรบล ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดนครจำปาศักดิ์ นายชวลิต อภัยวงศ์ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดพระตะบอง นายประยูร อภัยวงศ์ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดพิบูลสงคราม
การเลือกตั้งเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 นายสวาสดิ์ อภัยวงศ์ ได้เป็น ส.ส.จังหวัดพระตะบอง เขต 1 พระพิเศษพาณิชย์ได้เป็น ส.ส.จังหวัดพระตะบอง เขต 2 และนายญาติ ไหวดี ได้เป็นส.ส.จังหวัดพิบูลสงคราม
“สงครามอินโดจีน” ไทยสามารถชิงเอามณฑลบูรพากลับคืนมาได้รัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามจึงได้สร้าง “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ทหารผู้พลีชีพเป็นรูป “ดาบปลายปืน” ตั้งตระหง่านกลางสี่แยกขึ้นเป็นอนุสรณ์
ในการเอาดินแดนของไทยฝั่งขวาแม่น้ำโขงกลับมาเป็นของไทย โดยเฉพาะที่สำคัญเป็นการแก้ปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับลาวและกัมพูชา โดยใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เหตุที่ 4 : ข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส 1946 (2489) หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 นักล่าอาณานิคมและจักรพรรดินิยมฝรั่งเศส ได้พยายามโกงเอาจังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดลานช้าง และจังหวัดนครจำปาศักดิ์กลับไปอีก ด้วยการบีบบังคับให้รัฐสภาไทยเซ็นข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส
ภายหลังสิ้นสุด “สงครามมหาเอเชียบูรพา” ทำให้ฝรั่งเศสถือเป็นโอกาสประกาศยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวเมื่อปี ค.ศ. 1941 ยึดเอาดินแดน 4 จังหวัดของเรากลับคืนไปอีก โดยบังคับให้ฝ่ายไทยทำข้อตกลงปารีส ค.ศ. 1946 (2489) ( คือ “พิธีสารว่าด้วยวิธีการถอนตัวออกไป และการโอนเอาอาณาเขต” ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489
โดยฝรั่งเศสฉวยโอกาสบังคับให้ไทยคืนดินแดน 4 จังหวัดให้แก่ฝรั่งเศสโดยไม่ชอบด้วยหลักการของฝ่ายสัมพันธมิตรที่กำหนดไว้ว่า “อาณาเขตของประเทศใดที่มีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างสงครามให้คืนกลับสู่สภาพเดิมเสมือนหนึ่งไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง”
ตามความเป็นจริง อาณาเขตทั้ง 4 จังหวัดที่ไทยได้คืนจากฝรั่งเศสก่อนที่จะเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา จึงไม่อยู่ภายใต้หลักการนี้แต่อย่างใดและเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 นายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี ได้นำข้อตกลงนี้แจ้งต่อสภาทราบ (แค่แจ้งให้ทราบเท่านั้น) แต่มิได้ขอสัตยาบรรณจากรัฐสภาไทย (ซึ่งนายปรีดี ตั้งใจจะให้เป็นโมฆะ) และเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตอย่างผิดรัฐธรรมนูญ จึงทำให้ข้อตกลงปารีสดังกล่าวเป็นโมฆะ และอนุสัญญาโตเกียวปี ค.ศ.1941 (2484) จึงยังมีผลบังคับต่อไป
สรุป ฝรั่งเศสกลัวเยอรมนีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะเริ่มขึ้นได้ขอทาบทามไทยให้เซ็นสัญญาไม่รุกรานกัน ไทยยินดีรับคำทาบทามโดยขอปรับปรุงแก้ไขสัญญาที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าวแต่ฝรั่งเศสไม่ยอมตามคำขอของไทย และได้รุกล้ำอธิปไตยไทยด้วยการทิ้งระเบิดที่นครพนมจึงทำให้ไทยจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้ และรักษาอธิปไตยของชาติทำสงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศสอยู่ถึง 22 วัน
ญี่ปุ่นจึงได้ขอเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย โดยทั้งไทยและฝรั่งเศสต่างก็ยินดีให้ญี่ปุ่นเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจึงได้มีการเจรจากันขึ้น ณ นครโตเกียว โดยฝรั่งเศสยินยอมยกแผ่นดินที่เคยโกงเอาไปเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 คืนให้แก่ไทยทั้งหมด (โดยแท้จริงแล้วไทยยึดคืนมาได้เพราะต่อสู้ชนะฝรั่งเศส)
อนุสัญญาโตเกียวจึงทำขึ้นอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ 3 ขั้นตอนคือ เจรจา ลงนาม และให้สัตยาบัน รัฐสภาไทยได้ลงสัตยาบันรับรองและได้จัดการปกครองมณฑลบูรพาเป็น 4 จังหวัด คือ ฝั่งกัมพูชาประกอบด้วย จังหวัดพระตะบอง และพิบูลสงคราม ด้านลาว ประกอบด้วยจังหวัดจังหวัดนครจำปาศักดิ์และลานช้าง มีการเลือกตั้งทั่วไป มีส.ส.ในสภา ปกครองอยู่ 5 ปี
ต่อมา ฝรั่งเศสก็ได้มาโกงกลับเอาไปอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยบีบบังคับให้ไทยต้องยอมคืนดินแดนมณฑลบูรพาทั้งหมดให้ฝรั่งเศสด้วยการเซ็นสัญญาเป็นข้อตกลง ไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1946 แต่ไม่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทยและถือว่าฝรั่งเศสได้รุกราน การข่มขู่ บีบบังคับ จึงเป็นโมฆะไม่ชอบธรรมจึงไม่สามารถจะให้สัตยาบันจะไปยกเลิกอนุสัญญโตเกียวได้เพราะเป็นสัญญากู้ชาติ และชอบธรรมที่มีรัฐสภาให้สัตยาบัน ดังนั้น มณทลบูรพา คือ จังหวัดพระตะบอง พิบูลสงคราม จังหวัดลานช้าง จังหวัดนครจำปาศักดิ์จึงยังคงเป็นของไทยตลอดมา ตั้งแต่ ค.ศ. 1941 จนถึงบัดนี้และปราสาทพระวิหารจึงยังคงเป็นของไทยจนถึงบัดนี้เช่นกัน (สู้แบบนี้มันก็ชนะเขมร 1,000%)
ข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1946 (2489) กลายเป็นสัญญาที่เป็นโมฆะและไม่เป็นธรรม ประกอบกับข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส ไม่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทย
แต่อนุสัญญาโตเกียวได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทย จึงทำให้อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 เป็นกติกาสัญญาที่มีผลบังคับใช้อยู่ตั้งแต่ ค.ศ. 1941 จนถึงบัดนี้
ฝ่ายกัมพูชานำเอาสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ถูกยกเลิกไปโดยอนุสัญญาโตเกียวที่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทยอย่างถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศสที่เป็นโมฆะเพราะไม่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทย และผิดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศและผิดต่อหลักกฎหมายแห่งชาติ จึงไม่สามารถยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวได้อย่างสิ้นเชิง แท้จริงเขมรยึดเอา 2 จังหวัดของไทยไป
“สัตยาบัน” (ratification) หมายถึง คำมั่นสัญญา คำรับรอง คำมั่น การยืนยันฉะนั้นการให้สัตยาบันในสนธิสัญญาคือการยืนยันรับรองความตกลงตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ได้กระทำขึ้นไว้สัตยาบันเป็นกระบวนการตรวจสอบสนธิสัญญาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการเจรจาและ/หรือลงนามแล้ว
ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานและผู้รักชาติทั้งหลายได้ศึกษาติดตามเรื่องนี้ด่วนพิเศษ โดยศึกษาให้ชัดเจนว่า ไทยมิได้ให้ มิได้ลงสัตยาบันตามข้อตกลงปารีส ค.ศ. 1946 (2489) ในสมัยของรัฐบาลปรีดี พนมยงค์
เหตุที่รัฐบาลไทยอ่อนแอ เพราะเป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ซึ่งอำนาจอธิปไตยเป็นของคนหยิบมือเดียวคือนายทุน นักการเมือง ซึ่งพวกเราจะเห็นได้ชัดว่า นักการเมืองภายใต้ระบอบเผด็จการมีแต่ความเห็นแก่ตัวจัดและไม่มีปัญญา รมว. ต่างประเทศคนปัจจุบันไม่สนใจไยดีต่อปัญหาอันยิ่งยวดของชาติ และมีพฤติกรรมจะยกแผ่นดินให้เขมรอีกเพื่อแลกกับน้ำมันในอ่าวไทยอันเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนช.นายของพวกเขา ณ ดูไบ
เหตุความเป็นมา
เหตุที่ 1 : ฝรั่งเศสแย่งชิงยึดเอาผืนแผนดินไทยไปก่อนหน้าที่พระพุทธเจ้าหลวง รัชกาลที่ 5 จะทรงสถาปนารัฐชาติสมัยใหม่ (2434-2435) เราจะไม่พูดถึงเพราะอยู่นอกเหนือขอบเขตอำนาจของกฎหมายระหว่างประเทศและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในยุคสมัยใหม่
เหตุที่ 2 : ฝรั่งเศสใช้อำนาจบาตรใหญ่ข่มขู่บีบบังคับไทย ไทยต้องเซ็นสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1904-1907 (2447-2450) ไทยต้องจำยอมยกดินแดนเขมรในและลาวฝั่งขวาแม่น้ำโขงให้แก่ฝรั่งเศสด้วยความเจ็บแค้น แต่ไทยก็ได้สงวนสิทธิ์ไว้ว่าถ้าอธิปไตยเหนืออินโดจีนเปลี่ยนไปจากฝรั่งเศสเมื่อใด ฝรั่งเศสจะต้องคืนแก่ไทย
หมายเหตุ สนธิสัญญาฉบับนี้ได้ถูกยกเลิกไปตามอนุสัญญาโตเกียวไปอย่างสมบูรณ์แล้ว
ไทยรบฝรั่งเศส เมื่อวันที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 ฝรั่งเศสได้บินมาทิ้งระเบิดจังหวัดนครพนมความเหลืออดเหลือทนของประชาชนไทยทั้งชาติก็ขาดสะบั้นลงถึงขนาดพระสงฆ์องค์เจ้าลาสิกขาเพศออกมาร่วมจับปืนต่อสู้ปกป้องชาติด้วย
สงครามอินโดจีนระหว่างไทยกับฝรั่งเศสจึงได้ระเบิดขึ้นไทยสามารถยึดได้แคว้นหลวงพระบางฝั่งขวา แคว้นจำปาศักดิ์จังหวัดเสียมราฐ พื้นที่ตะวันตกศรีโสภณ 17 กิโลเมตรทางจันทบุรียึดได้ บ้านกุมเวียง บ้านห้วยเขมร ทิศตะวันตกยึดได้บ่อไพลิน
ฝรั่งเศสเสียหายเป็นอันมาก ส่วนใหญ่ไทยก็สูญเสียนักรบผู้กล้าหาญไปประมาณกว่า 800 คน ในที่สุดญี่ปุ่นเสนอตัวเข้ามาไกล่เกลี่ย
เหตุที่ 3 : อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 (2484) ไทยได้ชนะกรณีพิพาทไทย-อินโดจีน ฝรั่งเศสยอมยกดินแดนเขมรในและลาวฝั่งขวาของไทยคืนให้แก่ไทยโดยดี มีแม่น้ำโขงเป็นเขตแดนระหว่างไทย-อินโดจีน ฝรั่งเศสได้ตกลงทำเป็นกติกาสัญญาขึ้น คือ “อนุสัญญาโตเกียว พ.ศ. 2484”
รัฐบาลญี่ปุ่นโดย นายมัตสุโอกะ นายกรัฐมนตรี ได้เสนอตัวเป็นผู้ไกล่เกลี่ย ในที่สุดตกลงกันได้ ตามข้อตกลงโตเกียว วันที่ 11 มีนาคม พ.ศ.2484 ฝรั่งเศสตกลงยอมคืนดินแดนที่ไทยเสียไปเมื่อ ค.ศ. 1904 และ ค.ศ. 1907 (พ.ศ. 2447-2450) คือ แคว้นหลวงพระบางฝั่งขวาแม่น้ำโขง แคว้นนครจำปาศักดิ์ และแคว้นเขมร คืนให้แก่ไทยเป็นไปตามข้อตกลงเปิดประชุมทำสัญญาสันติภาพและปรับปรุงเขตแดน ณ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2484
ซึ่งข้อตกลงนี้ได้รับรองโดย “อนุสัญญาสันติภาพระหว่างประเทศไทยกับฝรั่งเศสและพิธีสารโตเกียว”ซึ่งมีสาระสำคัญ 12 ข้อ เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 ได้มีการลงนามกัน ณ กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น และแลกเปลี่ยนสัตยาบัน ณ กรุงโตเกียววันที่ 5 กรกฎาคม พ.ศ. 2484 รัฐบาลไทยนำมาขอสัตยาบันจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน พ.ศ. 2484 พ.ต.ควง อภัยวงศ์ เป็นผู้แทนรัฐบาลไทยไปรับมอบดินแดนมณฑลบูรพา ซึ่งบิดาของท่านคือ เจ้าพระยาอภัยภูเบศร์ ปกครองอยู่ในระหว่างที่ฝรั่งเศสแย่งชิงเอาไป พ.ต.ควง อภัยวงศ์ ลดธงชาติฝรั่งเศสลง และนำธงไตรรงค์ขึ้นแทนผลจากสงครามอินโดจีนครั้งนี้ทำให้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนตามธรรมชาติระหว่างไทยกับกัมพูชาและลาวตามที่ต้องการมายาวนาน
ไทยจัดการปกครอง เมื่อวันที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2484 รัฐสภาอนุมัติ “พระราชบัญญัติจัดการปกครอง 4 จังหวัด” ในดินแดนที่ได้คืนจากฝรั่งเศส คือ จังหวัดนครจำปาศักดิ์ จังหวัดลานช้างในแคว้นอาณาเขตลาว และในมณฑลบูรพาเดิม ตั้งเป็น 2 จังหวัด คือ จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดพระตะบอง และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งอำเภอในจังหวัดทั้ง 4 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ.2484
ในการเลือกตั้งทั่วไป เมื่อวันที่ 6 มกราคม 2489 เราได้จัดให้มีการเลือกตั้งสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร ในเขตปกครองทั้ง 4 จังหวัดนั้นด้วยโดยมี นายสังคม ริมทอง ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดลานช้าง และนายสอน บุตโรบล ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดนครจำปาศักดิ์ นายชวลิต อภัยวงศ์ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดพระตะบอง นายประยูร อภัยวงศ์ ได้รับเลือกตั้งเป็น ส.ส.จังหวัดพิบูลสงคราม
การเลือกตั้งเพิ่มเติมเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม พ.ศ. 2489 นายสวาสดิ์ อภัยวงศ์ ได้เป็น ส.ส.จังหวัดพระตะบอง เขต 1 พระพิเศษพาณิชย์ได้เป็น ส.ส.จังหวัดพระตะบอง เขต 2 และนายญาติ ไหวดี ได้เป็นส.ส.จังหวัดพิบูลสงคราม
“สงครามอินโดจีน” ไทยสามารถชิงเอามณฑลบูรพากลับคืนมาได้รัฐบาลจอมพลป.พิบูลสงครามจึงได้สร้าง “อนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิ” เพื่อเป็นอนุสรณ์แก่ทหารผู้พลีชีพเป็นรูป “ดาบปลายปืน” ตั้งตระหง่านกลางสี่แยกขึ้นเป็นอนุสรณ์
ในการเอาดินแดนของไทยฝั่งขวาแม่น้ำโขงกลับมาเป็นของไทย โดยเฉพาะที่สำคัญเป็นการแก้ปัญหาเขตแดนระหว่างไทยกับลาวและกัมพูชา โดยใช้แม่น้ำโขงเป็นเส้นแบ่งเขตแดนถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ
เหตุที่ 4 : ข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส 1946 (2489) หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 นักล่าอาณานิคมและจักรพรรดินิยมฝรั่งเศส ได้พยายามโกงเอาจังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม จังหวัดลานช้าง และจังหวัดนครจำปาศักดิ์กลับไปอีก ด้วยการบีบบังคับให้รัฐสภาไทยเซ็นข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส
ภายหลังสิ้นสุด “สงครามมหาเอเชียบูรพา” ทำให้ฝรั่งเศสถือเป็นโอกาสประกาศยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวเมื่อปี ค.ศ. 1941 ยึดเอาดินแดน 4 จังหวัดของเรากลับคืนไปอีก โดยบังคับให้ฝ่ายไทยทำข้อตกลงปารีส ค.ศ. 1946 (2489) ( คือ “พิธีสารว่าด้วยวิธีการถอนตัวออกไป และการโอนเอาอาณาเขต” ลงวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489
โดยฝรั่งเศสฉวยโอกาสบังคับให้ไทยคืนดินแดน 4 จังหวัดให้แก่ฝรั่งเศสโดยไม่ชอบด้วยหลักการของฝ่ายสัมพันธมิตรที่กำหนดไว้ว่า “อาณาเขตของประเทศใดที่มีการเปลี่ยนแปลงในระหว่างสงครามให้คืนกลับสู่สภาพเดิมเสมือนหนึ่งไม่เคยมีการเปลี่ยนแปลง”
ตามความเป็นจริง อาณาเขตทั้ง 4 จังหวัดที่ไทยได้คืนจากฝรั่งเศสก่อนที่จะเกิดสงครามมหาเอเชียบูรพา จึงไม่อยู่ภายใต้หลักการนี้แต่อย่างใดและเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 นายปรีดี พนมยงค์ นายกรัฐมนตรี ได้นำข้อตกลงนี้แจ้งต่อสภาทราบ (แค่แจ้งให้ทราบเท่านั้น) แต่มิได้ขอสัตยาบรรณจากรัฐสภาไทย (ซึ่งนายปรีดี ตั้งใจจะให้เป็นโมฆะ) และเป็นการเปลี่ยนแปลงอาณาเขตอย่างผิดรัฐธรรมนูญ จึงทำให้ข้อตกลงปารีสดังกล่าวเป็นโมฆะ และอนุสัญญาโตเกียวปี ค.ศ.1941 (2484) จึงยังมีผลบังคับต่อไป
สรุป ฝรั่งเศสกลัวเยอรมนีก่อนสงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังจะเริ่มขึ้นได้ขอทาบทามไทยให้เซ็นสัญญาไม่รุกรานกัน ไทยยินดีรับคำทาบทามโดยขอปรับปรุงแก้ไขสัญญาที่ไม่เป็นธรรมดังกล่าวแต่ฝรั่งเศสไม่ยอมตามคำขอของไทย และได้รุกล้ำอธิปไตยไทยด้วยการทิ้งระเบิดที่นครพนมจึงทำให้ไทยจำเป็นต้องต่อสู้เพื่อกอบกู้ และรักษาอธิปไตยของชาติทำสงครามกับอินโดจีนฝรั่งเศสอยู่ถึง 22 วัน
ญี่ปุ่นจึงได้ขอเข้ามาเป็นผู้ไกล่เกลี่ย โดยทั้งไทยและฝรั่งเศสต่างก็ยินดีให้ญี่ปุ่นเป็นผู้ไกล่เกลี่ยจึงได้มีการเจรจากันขึ้น ณ นครโตเกียว โดยฝรั่งเศสยินยอมยกแผ่นดินที่เคยโกงเอาไปเมื่อครั้งสมัยรัชกาลที่ 5 คืนให้แก่ไทยทั้งหมด (โดยแท้จริงแล้วไทยยึดคืนมาได้เพราะต่อสู้ชนะฝรั่งเศส)
อนุสัญญาโตเกียวจึงทำขึ้นอย่างถูกต้องตามหลักเกณฑ์ของกฎหมายระหว่างประเทศ 3 ขั้นตอนคือ เจรจา ลงนาม และให้สัตยาบัน รัฐสภาไทยได้ลงสัตยาบันรับรองและได้จัดการปกครองมณฑลบูรพาเป็น 4 จังหวัด คือ ฝั่งกัมพูชาประกอบด้วย จังหวัดพระตะบอง และพิบูลสงคราม ด้านลาว ประกอบด้วยจังหวัดจังหวัดนครจำปาศักดิ์และลานช้าง มีการเลือกตั้งทั่วไป มีส.ส.ในสภา ปกครองอยู่ 5 ปี
ต่อมา ฝรั่งเศสก็ได้มาโกงกลับเอาไปอีกครั้งหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โดยบีบบังคับให้ไทยต้องยอมคืนดินแดนมณฑลบูรพาทั้งหมดให้ฝรั่งเศสด้วยการเซ็นสัญญาเป็นข้อตกลง ไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1946 แต่ไม่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทยและถือว่าฝรั่งเศสได้รุกราน การข่มขู่ บีบบังคับ จึงเป็นโมฆะไม่ชอบธรรมจึงไม่สามารถจะให้สัตยาบันจะไปยกเลิกอนุสัญญโตเกียวได้เพราะเป็นสัญญากู้ชาติ และชอบธรรมที่มีรัฐสภาให้สัตยาบัน ดังนั้น มณทลบูรพา คือ จังหวัดพระตะบอง พิบูลสงคราม จังหวัดลานช้าง จังหวัดนครจำปาศักดิ์จึงยังคงเป็นของไทยตลอดมา ตั้งแต่ ค.ศ. 1941 จนถึงบัดนี้และปราสาทพระวิหารจึงยังคงเป็นของไทยจนถึงบัดนี้เช่นกัน (สู้แบบนี้มันก็ชนะเขมร 1,000%)
ข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส ค.ศ. 1946 (2489) กลายเป็นสัญญาที่เป็นโมฆะและไม่เป็นธรรม ประกอบกับข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศส ไม่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทย
แต่อนุสัญญาโตเกียวได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทย จึงทำให้อนุสัญญาโตเกียว ค.ศ. 1941 เป็นกติกาสัญญาที่มีผลบังคับใช้อยู่ตั้งแต่ ค.ศ. 1941 จนถึงบัดนี้
ฝ่ายกัมพูชานำเอาสนธิสัญญาสยาม-ฝรั่งเศส ที่ถูกยกเลิกไปโดยอนุสัญญาโตเกียวที่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทยอย่างถูกต้องสมบูรณ์ตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศ และข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศสที่เป็นโมฆะเพราะไม่ได้รับสัตยาบันจากรัฐสภาไทย และผิดต่อหลักกฎหมายระหว่างประเทศและผิดต่อหลักกฎหมายแห่งชาติ จึงไม่สามารถยกเลิกอนุสัญญาโตเกียวได้อย่างสิ้นเชิง แท้จริงเขมรยึดเอา 2 จังหวัดของไทยไป
“สัตยาบัน” (ratification) หมายถึง คำมั่นสัญญา คำรับรอง คำมั่น การยืนยันฉะนั้นการให้สัตยาบันในสนธิสัญญาคือการยืนยันรับรองความตกลงตามกฎหมายระหว่างประเทศที่ได้กระทำขึ้นไว้สัตยาบันเป็นกระบวนการตรวจสอบสนธิสัญญาอีกครั้งหนึ่ง หลังจากการเจรจาและ/หรือลงนามแล้ว
ดังนั้น จึงขอให้รัฐบาลตั้งคณะทำงานและผู้รักชาติทั้งหลายได้ศึกษาติดตามเรื่องนี้ด่วนพิเศษ โดยศึกษาให้ชัดเจนว่า ไทยมิได้ให้ มิได้ลงสัตยาบันตามข้อตกลงปารีส ค.ศ. 1946 (2489) ในสมัยของรัฐบาลปรีดี พนมยงค์
เหตุที่รัฐบาลไทยอ่อนแอ เพราะเป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญ ซึ่งอำนาจอธิปไตยเป็นของคนหยิบมือเดียวคือนายทุน นักการเมือง ซึ่งพวกเราจะเห็นได้ชัดว่า นักการเมืองภายใต้ระบอบเผด็จการมีแต่ความเห็นแก่ตัวจัดและไม่มีปัญญา รมว. ต่างประเทศคนปัจจุบันไม่สนใจไยดีต่อปัญหาอันยิ่งยวดของชาติ และมีพฤติกรรมจะยกแผ่นดินให้เขมรอีกเพื่อแลกกับน้ำมันในอ่าวไทยอันเป็นผลประโยชน์ส่วนตัวของนช.นายของพวกเขา ณ ดูไบ