ฟังก่อนเถิดพี่น้องผู้รักชาติทั้งหลาย การปกครองแบบรัฐสมัยใหม่ที่เรียกว่ารัฐชาติ (Nation state) ประเทศไทยโดยองค์พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวล้นเกล้ารัชกาลที่ 5 ทรงสถาปนาความเป็นรัฐชาติไทยขึ้นในสมัยของพระองค์ (พ.ศ. 2434) เพื่อความเป็นปึกแผ่นของชาติให้เกิดเอกภาพขึ้นแก่ประเทศและมีอำนาจอธิปไตยเป็นอำนาจสูงสุดในการปกครองของประเทศหรือรัฐ อำนาจอธิปไตยแบ่งออกเป็น 2 ด้านได้แก่
1) อำนาจอธิปไตยด้านชาติ คือ อำนาจในการปกครองประเทศของตนอย่างอิสระไม่ถูกครอบงำจากต่างประเทศเป็นอำนาจที่สัมพันธ์อย่างอิสระระหว่างรัฐหรือประเทศต่างๆ
2) อำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยด้านชาติจะเข้มแข็งหรืออ่อนแอขึ้นอยู่กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน “อำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้มแข็งอำนาจอธิปไตยด้านชาติก็จะเข้มแข็งด้วย” โดยประเทศมหาอำนาจไม่อาจจะแทรกแซงได้ และนานาประเทศต้องเกรงขามในความเป็นเอกภาพสามัคคีธรรมของประชาชนภายในชาติ
ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยมีอำนาจอธิปไตยไม่เป็นของปวงชน ความเป็นจริงคือเป็นของนายทุนพรรคการเมืองเพียงหยิบมือเดียว จะทำให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอ ก็ถูกแทรกแซงได้ง่ายจากนานาประเทศ
เหตุที่มาแห่งอำนาจอธิปไตยของปวงชน เกิดจากการตั้งหรือสถาปนารัฐชาติ (Nation state) และการสถาปนาหลักการ(ระบอบ)ปกครองแบบประชาธิปไตย ในรูปแบบการปกครอง เช่น ระบบรัฐสภา (อังกฤษ, ญี่ปุ่น ฯลฯ) ซึ่งประเทศไทย ผู้ปกครองยังคงรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาไว้เช่นเดิม 80 ปี
การตั้งรัฐชาติ (Nation state) คือพระราชภารกิจในการเปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่มีอยู่เดิมอันเป็นของพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวมาเป็นอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (ของคนทั้งประเทศ) จุดประสงค์ก็เพื่อให้ปวงชนในชาติมีเอกภาพและความเข้มแข็ง โดยให้ประชาชนทุกคนมีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของประเทศ โดยมีเหตุผลรองรับโดยธรรม คือ “อำนาจบ้าน เป็นของเจ้าของบ้าน อำนาจประเทศต้องเป็นของเจ้าของประเทศ” อำนาจประเทศ ซึ่งก็คือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน นั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากเดิมเป็น 12 กระทรวง ก็เป็นพระราชภารกิจในการขยายอำนาจอธิปไตยจากพระองค์ไปสู่ปวงชนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศล่าอาณานิคมในยุคนั้นมาได้
การก่อตั้งชาติสยาม (Siamese Nation) ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีข้อสังเกตว่า ลาวและเขมร (กัมพูชา) เป็นประเทศราชของไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีถึงกรุงรัตนโกสินทร์เช่นเดียวกับมอญเป็นประเทศราชของพม่าซึ่งตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและจารีตประเพณีของการก่อตั้งชาติลาวและเขมร (กัมพูชา) อยู่ในชาติสยามเช่นเดียวกับชนชาติมอญอยู่ในประเทศพม่า
หากเราไล่ลำดับการตั้งรัฐชาติไทยกับการเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส ปรากฏว่า ไทยเราได้ตั้งรัฐชาติ เมื่อ พ.ศ. 2434 ดังนั้น การเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสก่อน พ.ศ. 2434 ถือว่าเป็นเรื่องปกติและเราเอาคืนไม่ได้
แต่หลังจากที่ไทยเราได้ประกาศตั้งรัฐชาติ เมื่อ พ.ศ. 2434 ไทยมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่ครอบครองอยู่ทั้งหมด ใครจะแย่งชิงไปไม่ได้ หากถูกยึดไปด้วยอำนาจบาตรใหญ่ เมื่อเขาสิ้นอำนาจลงดินแดนนั้นต้องกลับมาเป็นของไทยดังเดิม (แต่ไทยเราอ่อนแอ อ่อนแอเพราะระบอบเผด็จการโดยอำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุนพรรคการเมืองเพียงหยิบมือเดียวนั่นเอง เลยทำให้คนไทยรักชาติมีน้อยและแตกแยก
แต่การที่ไทยต้องจำยอมเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสในครั้งที่ 3 พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตลอดทั้งเกาะต่างๆ ในลำน้ำโขงเป็นของฝรั่งเศส และครั้งที่ 5 พ.ศ. 2449 ไทยเสียดินแดนเมืองเสียมราฐและเมืองพระตะบองให้แก่ฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2449
เมื่อฝรั่งเศสถอยไป แผ่นดินไทยเดิมที่ฝรั่งเศสยึดไป ดังที่กล่าวแล้ว จะต้องกลับมาเป็นของไทยดังเดิม เพราะทั้งลาวและเขมร ในขณะยังไม่ได้ตั้งรัฐชาติ (Nation State) และทั้งลาวและเขมรยังไม่มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน เพราะอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าวที่แท้จริงเป็นของไทย แต่ฝรั่งเศสได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ยึดไป และทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หากเราเข้มแข็งเราก็ใช้กำลังทหารไปยึดคืนมาได้เลย เช่น จีนยึดทิเบต เพราะจีนถือว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีนมาก่อนจีนตั้งรัฐชาติ ยึดแล้วก็ไม่มีประเทศไหนกล้าแหยมจีน
ขอย้ำให้พวกเราเข้าใจอย่างถูกต้องว่า นับแต่ พ. ศ. 2434 เป็นต้นมา ที่ดินแดนสยามหรือดินแดนประเทศไทยทุกตารางนิ้วอันใครๆ ประเทศใดจะแย่งชิง หรือแบ่งแยกเอาไปไม่ได้ (ฝ่ายผู้ปกครองและกองทัพไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย)
แผ่นดินไทยจำนวนมากที่ฝรั่งเศสยึดเอาไปจากสยาม ในขณะที่อำนาจอธิปไตยของกัมพูชายังไม่มี พูดง่ายๆ กัมพูชายังไม่มีรัฐหรือประเทศ เมื่อฝรั่งเศสถอยออกไป แผ่นดินซึ่งเดิมเป็นของไทยแท้ๆ ก็จะต้องกลับมาเป็นของไทยดังเดิม จริงไหม ไม่ใช่กลายเป็นของกัมพูชา ด้วยเหตุนี้เขาพระวิหารจึงยังเป็นของไทย 1,000 เปอร์เซ็นต์ สรุปแล้ว เขมรมันโกงไทย รัฐบาลจัญไรก็ยอมมัน จะเห็นว่า ผู้ปกครองไทยมันโง่เขลาจริงๆ
แต่ผู้ปกครองในยุคนั้น ถึงยุคนี้โง่เขลาเบาปัญญาและอ่อนแอที่สุด ประชาชนแตกแยก ทั้งนี้เหตุที่แท้จริงคือประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการ อำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุนพรรคการเมืองต่างๆ เพียงหยิบมือเดียว เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ ฯลฯ ไม่ได้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง จึงส่งผลให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอตามไปด้วย
แท้จริงเขาพระวิหารยังเป็นของไทย พร้อมทั้งมณฑลบูรพา (พระตะบอง เสียมราช และศรีโสภณ) ขอให้ผู้รักชาติทั้งหลายมาย้อนดูอนุสัญญาโตเกียวดังนี้
“อนุสัญญาโตเกียว (Tokyo Convention) อนุสัญญาสันติภาพโตเกียว หรือ สนธิสัญญาโตกิโอ เนื่องจากแต่ก่อนคนไทยเรียกกรุงโตเกียวว่ากรุงโตกิโอ เป็นอนุสัญญาสืบเนื่องมาจากกรณีพิพาทอินโดจีนในปี พ.ศ. 2484 ขณะที่การรบยังไม่สิ้นสุดนั้น ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชียขณะนั้น ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งประเทศไทยและฝรั่งเศสได้ตกลง และหยุดยิงในวันที่ 28 มกราคมพ.ศ. 2484 ก่อนจะมีการเจรจากันในวันที่ 11 มีนาคมพ.ศ. 2484 ณ กรุงโตเกียว โดยมีนายโซสุเกะ มัดซูโอกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายไทยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศไทยเป็นหัวหน้าคณะ และฝ่ายฝรั่งเศสมี อาร์เซน อังรี เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงโตเกียวเป็นหัวหน้า ก่อนจะมีการลงนามในอนุสัญญาโตเกียวในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 โดยมีกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นหัวหน้าคณะลงนาม
จากอนุสัญญานี้ทำให้ไทยได้ดินแดนฝั่งขวาของ หลวงพระบาง,จำปาศักดิ์, ศรีโสภณ,พระตะบอง และดินแดนในกัมพูชา คืนมาจากฝรั่งเศส และได้นำมาแบ่งเป็น 4 จังหวัดคือ ในเขมร 2 จังหวัดคือ จังหวัดพระตะบอง, จังหวัดพิบูลสงคราม, และในลาว 2 จังหวัดคือ จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และ จังหวัดลานช้าง

ย้อนรอยมาดูความถูกต้องรัฐบาลไทยจัญไรหลายรุ่นแล้วไม่ใส่ใจ เดิมเป็นความขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม เมื่อวัน 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ไทยจำต้องป้องกันอธิปไตยด้วยการสนับสนุนของปวงชนไทย ไทยได้ดินแดนคืนมารัฐบาลญี่ปุ่นยื่นมือเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทไทยและฝรั่งเศส และตกลงได้ทำสัญญาสันติภาพและปรับปรุงเขตแดน ณ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2484
ฝรั่งเศสยอมคืนดินแดนที่ไทยเสียไปให้แก่ไทยแล้ว และได้ลงนามในอนุสัญญาโตเกียว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2484 ซึ่งรัฐบาลไทยนำมาขอสัตยาบันจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2484 และรัฐสภาลงมติให้สัตยาบันอนุสัญญาโตเกียวเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2484 เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ
วันที่ 30 มิถุนายน 2484 รัฐสภาไทยอนุมัติพระราชบัญญัติจัดการปกครองในดินแดนที่ได้คืนจากฝรั่งเศสคือมณฑลบูรพาตั้งเป็น 2 จังหวัด คือ จังหวัดพิบูลสงคราม และจังหวัดพระตะบอง และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งอำเภอในจังหวัดทั้ง 2 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2484
ต่อมารัฐบาลไทยได้สร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันตระหง่านสง่างามยิ่งใหญ่เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกนึกถึงเหล่าทหารกล้าผู้พลีชีพเพื่อชาติในสงครามเพื่อเอาดินแดนกลับคืนมา (หรือจะให้ทหารหาญตายฟรี)
5 ปีต่อมาสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 นักล่าอาณานิคมฝรั่งเศส ได้บีบบังคับให้รัฐสภาไทยเซ็นข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศสโดยรัฐบาลในขณะนั้นได้แถลงต่อสภาผู้แทนฯ ว่ารัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศสได้ประกาศตกลงว่า อนุสัญญาโตเกียวปี 2484 (ค.ศ.1941) เป็นอันยกเลิก แต่ข้อตกลงนี้รัฐบาลไทยยังมิได้ลงสัตยาบันจากรัฐสภาไทยข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศสจึงเป็นโมฆะตามกฎหมายระหว่างประเทศ (ไปสืบค้นดูได้)
ดังนั้น อนุสัญญาโตเกียวปี พ.ศ. 2484 (ค.ศ.1941) ยังคงเป็นกติกาสัญญาไทย-ฝรั่งเศสที่สมบูรณ์เพียงฉบับเดียว และมีผลบังคับมาจนถึงปัจจุบัน จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม รวมทั้งจังหวัดลานช้างและจังหวัดนครจำปาศักดิ์ ในเขตประเทศลาวปัจจุบัน ยังเป็นของไทย 1,000 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆทั่วราชอาณาจักรไทย
ดังนี้รัฐบาลและปวงชนชาวไทยจะเอาอย่างไร รัฐบาลไม่ควรเดินตามสนธิสัญญาอื่น แล้วก็ไม่ต้องถกเถียงกับเขมรว่าที่ดิน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทยหรือของเขมร หรือเป็นที่ทับซ้อน หากรัฐบาลสู้ตามที่ปฏิบัติอยู่ ก็จะตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองและแพ้เขมรในที่สุด (เราได้แย้งมา 3 แล้ว)
เราต้องสู้ตามความจริงที่เป็นมาตามลำดับๆ และยึดมั่นกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งกรณีการตั้งรัฐชาติและอนุสัญญาโตเกียวไทยเราก็จะชนะและได้จังหวัดพระตะบองและศรีโสภณคืน หรือไทยเราจะไม่เอาคืนก็ได้ แต่เขาพระวิหารแท้จริงยังเป็นของไทยเราอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ เราอย่าไปกลัวประเทศใดๆ หรือประเทศมหาอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น ชัยชนะเป็นของปวงชนไทยอยู่แล้ว เพียงแต่สู้ให้ถูกหลักถูกเกณฑ์เท่านั้น
แต่พวกเราคนไทยรักชาติทั้งหลายด้วยปัญญา จะทำอย่างไรกันดีเล่า ในเมื่อจะกี่รัฐบาลทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย มันก็เป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการที่อำนาจอธิปไตยเป็นของพวกเขาเพียงหยิบมือเดียว
นี่แหละคือเหตุที่จะต้องทำบ้านเมืองให้มีหลักการ(ระบอบ)ประชาธิปไตยอย่างแท้โดยยกหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เพื่อให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ปวงชนมีจิตสำนึกรักชาติ ปวงชนเกิดความสามัคคีธรรมภายใต้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 หลุดจากเป็นทาสนักการเมืองเลว อันเป็นเหตุให้ประชาชนรักชาติทั้งแผ่นดินไม่ยอม กองทัพแห่งชาติก็จะเข้มแข็งและไม่ยอมด้วย
ไทยเรา ผู้รักชาติไม่จำเป็นเลยที่จะไปฟังศาลโลก เพียงเราบอกความจริง ความเป็นมาอย่างนี้ต่อชาวโลกก็พอแล้ว
จงอย่ายอมรับแนวคิดนักการเมืองอุบาทว์จัญไรที่พวกมันขายชาติ พวกมันเห็นแก่ประโยชน์ของนายมัน ณ ดูไบ เท่านั้น
1) อำนาจอธิปไตยด้านชาติ คือ อำนาจในการปกครองประเทศของตนอย่างอิสระไม่ถูกครอบงำจากต่างประเทศเป็นอำนาจที่สัมพันธ์อย่างอิสระระหว่างรัฐหรือประเทศต่างๆ
2) อำนาจอธิปไตยของปวงชน อำนาจอธิปไตยด้านชาติจะเข้มแข็งหรืออ่อนแอขึ้นอยู่กับอำนาจอธิปไตยของปวงชน “อำนาจอธิปไตยของปวงชนเข้มแข็งอำนาจอธิปไตยด้านชาติก็จะเข้มแข็งด้วย” โดยประเทศมหาอำนาจไม่อาจจะแทรกแซงได้ และนานาประเทศต้องเกรงขามในความเป็นเอกภาพสามัคคีธรรมของประชาชนภายในชาติ
ในทางตรงกันข้าม ประเทศไทยมีอำนาจอธิปไตยไม่เป็นของปวงชน ความเป็นจริงคือเป็นของนายทุนพรรคการเมืองเพียงหยิบมือเดียว จะทำให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอ ก็ถูกแทรกแซงได้ง่ายจากนานาประเทศ
เหตุที่มาแห่งอำนาจอธิปไตยของปวงชน เกิดจากการตั้งหรือสถาปนารัฐชาติ (Nation state) และการสถาปนาหลักการ(ระบอบ)ปกครองแบบประชาธิปไตย ในรูปแบบการปกครอง เช่น ระบบรัฐสภา (อังกฤษ, ญี่ปุ่น ฯลฯ) ซึ่งประเทศไทย ผู้ปกครองยังคงรักษาระบอบเผด็จการรัฐธรรมนูญระบบรัฐสภาไว้เช่นเดิม 80 ปี
การตั้งรัฐชาติ (Nation state) คือพระราชภารกิจในการเปลี่ยนอำนาจอธิปไตยที่มีอยู่เดิมอันเป็นของพระมหากษัตริย์แต่เพียงผู้เดียวมาเป็นอำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน (ของคนทั้งประเทศ) จุดประสงค์ก็เพื่อให้ปวงชนในชาติมีเอกภาพและความเข้มแข็ง โดยให้ประชาชนทุกคนมีจิตสำนึกในความเป็นเจ้าของประเทศ โดยมีเหตุผลรองรับโดยธรรม คือ “อำนาจบ้าน เป็นของเจ้าของบ้าน อำนาจประเทศต้องเป็นของเจ้าของประเทศ” อำนาจประเทศ ซึ่งก็คือ อำนาจอธิปไตยของปวงชน นั่นเอง
พระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 ทรงเปลี่ยนแปลงการปกครองจากเดิมเป็น 12 กระทรวง ก็เป็นพระราชภารกิจในการขยายอำนาจอธิปไตยจากพระองค์ไปสู่ปวงชนอย่างเป็นขั้นเป็นตอน อันเป็นปัจจัยหนึ่งที่ทำให้ประเทศรอดพ้นจากการตกเป็นเมืองขึ้นของประเทศล่าอาณานิคมในยุคนั้นมาได้
การก่อตั้งชาติสยาม (Siamese Nation) ในสมัยรัชกาลที่ 5 มีข้อสังเกตว่า ลาวและเขมร (กัมพูชา) เป็นประเทศราชของไทยมาตั้งแต่สมัยกรุงธนบุรีถึงกรุงรัตนโกสินทร์เช่นเดียวกับมอญเป็นประเทศราชของพม่าซึ่งตามหลักกฎหมายระหว่างประเทศและจารีตประเพณีของการก่อตั้งชาติลาวและเขมร (กัมพูชา) อยู่ในชาติสยามเช่นเดียวกับชนชาติมอญอยู่ในประเทศพม่า
หากเราไล่ลำดับการตั้งรัฐชาติไทยกับการเสียดินแดนให้ฝรั่งเศส ปรากฏว่า ไทยเราได้ตั้งรัฐชาติ เมื่อ พ.ศ. 2434 ดังนั้น การเสียดินแดนให้แก่ฝรั่งเศสก่อน พ.ศ. 2434 ถือว่าเป็นเรื่องปกติและเราเอาคืนไม่ได้
แต่หลังจากที่ไทยเราได้ประกาศตั้งรัฐชาติ เมื่อ พ.ศ. 2434 ไทยมีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนที่ครอบครองอยู่ทั้งหมด ใครจะแย่งชิงไปไม่ได้ หากถูกยึดไปด้วยอำนาจบาตรใหญ่ เมื่อเขาสิ้นอำนาจลงดินแดนนั้นต้องกลับมาเป็นของไทยดังเดิม (แต่ไทยเราอ่อนแอ อ่อนแอเพราะระบอบเผด็จการโดยอำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุนพรรคการเมืองเพียงหยิบมือเดียวนั่นเอง เลยทำให้คนไทยรักชาติมีน้อยและแตกแยก
แต่การที่ไทยต้องจำยอมเสียดินแดนให้ฝรั่งเศสในครั้งที่ 3 พ.ศ. 2436 (ร.ศ. 112) ไทยเสียดินแดนฝั่งซ้ายแม่น้ำโขง ตลอดทั้งเกาะต่างๆ ในลำน้ำโขงเป็นของฝรั่งเศส และครั้งที่ 5 พ.ศ. 2449 ไทยเสียดินแดนเมืองเสียมราฐและเมืองพระตะบองให้แก่ฝรั่งเศส ใน พ.ศ. 2449
เมื่อฝรั่งเศสถอยไป แผ่นดินไทยเดิมที่ฝรั่งเศสยึดไป ดังที่กล่าวแล้ว จะต้องกลับมาเป็นของไทยดังเดิม เพราะทั้งลาวและเขมร ในขณะยังไม่ได้ตั้งรัฐชาติ (Nation State) และทั้งลาวและเขมรยังไม่มีอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดน เพราะอำนาจอธิปไตยเหนือดินแดนดังกล่าวที่แท้จริงเป็นของไทย แต่ฝรั่งเศสได้ใช้อำนาจบาตรใหญ่ยึดไป และทำผิดกฎหมายระหว่างประเทศ เราจะแก้ปัญหานี้อย่างไร หากเราเข้มแข็งเราก็ใช้กำลังทหารไปยึดคืนมาได้เลย เช่น จีนยึดทิเบต เพราะจีนถือว่าทิเบตเป็นส่วนหนึ่งของจีนมาก่อนจีนตั้งรัฐชาติ ยึดแล้วก็ไม่มีประเทศไหนกล้าแหยมจีน
ขอย้ำให้พวกเราเข้าใจอย่างถูกต้องว่า นับแต่ พ. ศ. 2434 เป็นต้นมา ที่ดินแดนสยามหรือดินแดนประเทศไทยทุกตารางนิ้วอันใครๆ ประเทศใดจะแย่งชิง หรือแบ่งแยกเอาไปไม่ได้ (ฝ่ายผู้ปกครองและกองทัพไม่เคยรู้เรื่องนี้เลย)
แผ่นดินไทยจำนวนมากที่ฝรั่งเศสยึดเอาไปจากสยาม ในขณะที่อำนาจอธิปไตยของกัมพูชายังไม่มี พูดง่ายๆ กัมพูชายังไม่มีรัฐหรือประเทศ เมื่อฝรั่งเศสถอยออกไป แผ่นดินซึ่งเดิมเป็นของไทยแท้ๆ ก็จะต้องกลับมาเป็นของไทยดังเดิม จริงไหม ไม่ใช่กลายเป็นของกัมพูชา ด้วยเหตุนี้เขาพระวิหารจึงยังเป็นของไทย 1,000 เปอร์เซ็นต์ สรุปแล้ว เขมรมันโกงไทย รัฐบาลจัญไรก็ยอมมัน จะเห็นว่า ผู้ปกครองไทยมันโง่เขลาจริงๆ
แต่ผู้ปกครองในยุคนั้น ถึงยุคนี้โง่เขลาเบาปัญญาและอ่อนแอที่สุด ประชาชนแตกแยก ทั้งนี้เหตุที่แท้จริงคือประเทศไทยเป็นประเทศเผด็จการ อำนาจอธิปไตยเป็นของนายทุนพรรคการเมืองต่างๆ เพียงหยิบมือเดียว เช่น พรรคเพื่อไทย พรรคประชาธิปัตย์ ฯลฯ ไม่ได้เป็นของปวงชนอย่างแท้จริง จึงส่งผลให้อำนาจอธิปไตยด้านชาติอ่อนแอตามไปด้วย
แท้จริงเขาพระวิหารยังเป็นของไทย พร้อมทั้งมณฑลบูรพา (พระตะบอง เสียมราช และศรีโสภณ) ขอให้ผู้รักชาติทั้งหลายมาย้อนดูอนุสัญญาโตเกียวดังนี้
“อนุสัญญาโตเกียว (Tokyo Convention) อนุสัญญาสันติภาพโตเกียว หรือ สนธิสัญญาโตกิโอ เนื่องจากแต่ก่อนคนไทยเรียกกรุงโตเกียวว่ากรุงโตกิโอ เป็นอนุสัญญาสืบเนื่องมาจากกรณีพิพาทอินโดจีนในปี พ.ศ. 2484 ขณะที่การรบยังไม่สิ้นสุดนั้น ประเทศญี่ปุ่นซึ่งเป็นประเทศมหาอำนาจในเอเชียขณะนั้น ได้เข้ามาไกล่เกลี่ย ซึ่งประเทศไทยและฝรั่งเศสได้ตกลง และหยุดยิงในวันที่ 28 มกราคมพ.ศ. 2484 ก่อนจะมีการเจรจากันในวันที่ 11 มีนาคมพ.ศ. 2484 ณ กรุงโตเกียว โดยมีนายโซสุเกะ มัดซูโอกะ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการต่างประเทศญี่ปุ่น เป็นหัวหน้าคณะฝ่ายญี่ปุ่น ฝ่ายไทยมีพระเจ้าวรวงศ์เธอ พระองค์เจ้าวรรณไวทยากร กรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์ ที่ปรึกษาสำนักนายกรัฐมนตรีและกระทรวงการต่างประเทศไทยเป็นหัวหน้าคณะ และฝ่ายฝรั่งเศสมี อาร์เซน อังรี เอกอัครราชทูตฝรั่งเศสประจำกรุงโตเกียวเป็นหัวหน้า ก่อนจะมีการลงนามในอนุสัญญาโตเกียวในวันที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2484 โดยมีกรมหมื่นนราธิปพงศ์ประพันธ์เป็นหัวหน้าคณะลงนาม
จากอนุสัญญานี้ทำให้ไทยได้ดินแดนฝั่งขวาของ หลวงพระบาง,จำปาศักดิ์, ศรีโสภณ,พระตะบอง และดินแดนในกัมพูชา คืนมาจากฝรั่งเศส และได้นำมาแบ่งเป็น 4 จังหวัดคือ ในเขมร 2 จังหวัดคือ จังหวัดพระตะบอง, จังหวัดพิบูลสงคราม, และในลาว 2 จังหวัดคือ จังหวัดนครจัมปาศักดิ์ และ จังหวัดลานช้าง
ย้อนรอยมาดูความถูกต้องรัฐบาลไทยจัญไรหลายรุ่นแล้วไม่ใส่ใจ เดิมเป็นความขัดแย้งระหว่างไทยกับฝรั่งเศส เมื่อฝรั่งเศสทิ้งระเบิดที่จังหวัดนครพนม เมื่อวัน 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2483 (ค.ศ. 1940) ไทยจำต้องป้องกันอธิปไตยด้วยการสนับสนุนของปวงชนไทย ไทยได้ดินแดนคืนมารัฐบาลญี่ปุ่นยื่นมือเข้ามาเป็นคนกลางไกล่เกลี่ยกรณีพิพาทไทยและฝรั่งเศส และตกลงได้ทำสัญญาสันติภาพและปรับปรุงเขตแดน ณ กรุงโตเกียว เมื่อวันที่ 7 กุมภาพันธ์ 2484
ฝรั่งเศสยอมคืนดินแดนที่ไทยเสียไปให้แก่ไทยแล้ว และได้ลงนามในอนุสัญญาโตเกียว เมื่อวันที่ 9 พฤษภาคม 2484 ซึ่งรัฐบาลไทยนำมาขอสัตยาบันจากรัฐสภาเมื่อวันที่ 9 มิถุนายน 2484 และรัฐสภาลงมติให้สัตยาบันอนุสัญญาโตเกียวเมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2484 เพื่อให้ถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ
วันที่ 30 มิถุนายน 2484 รัฐสภาไทยอนุมัติพระราชบัญญัติจัดการปกครองในดินแดนที่ได้คืนจากฝรั่งเศสคือมณฑลบูรพาตั้งเป็น 2 จังหวัด คือ จังหวัดพิบูลสงคราม และจังหวัดพระตะบอง และมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้ตั้งอำเภอในจังหวัดทั้ง 2 เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม 2484
ต่อมารัฐบาลไทยได้สร้างอนุสาวรีย์ชัยสมรภูมิอันตระหง่านสง่างามยิ่งใหญ่เพื่อเป็นอนุสรณ์ให้ระลึกนึกถึงเหล่าทหารกล้าผู้พลีชีพเพื่อชาติในสงครามเพื่อเอาดินแดนกลับคืนมา (หรือจะให้ทหารหาญตายฟรี)
5 ปีต่อมาสงครามโลกครั้งที่ 2 ยุติลง เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2489 นักล่าอาณานิคมฝรั่งเศส ได้บีบบังคับให้รัฐสภาไทยเซ็นข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศสโดยรัฐบาลในขณะนั้นได้แถลงต่อสภาผู้แทนฯ ว่ารัฐบาลไทยกับรัฐบาลฝรั่งเศสได้ประกาศตกลงว่า อนุสัญญาโตเกียวปี 2484 (ค.ศ.1941) เป็นอันยกเลิก แต่ข้อตกลงนี้รัฐบาลไทยยังมิได้ลงสัตยาบันจากรัฐสภาไทยข้อตกลงไทย-ฝรั่งเศสจึงเป็นโมฆะตามกฎหมายระหว่างประเทศ (ไปสืบค้นดูได้)
ดังนั้น อนุสัญญาโตเกียวปี พ.ศ. 2484 (ค.ศ.1941) ยังคงเป็นกติกาสัญญาไทย-ฝรั่งเศสที่สมบูรณ์เพียงฉบับเดียว และมีผลบังคับมาจนถึงปัจจุบัน จังหวัดพระตะบอง จังหวัดพิบูลสงคราม รวมทั้งจังหวัดลานช้างและจังหวัดนครจำปาศักดิ์ ในเขตประเทศลาวปัจจุบัน ยังเป็นของไทย 1,000 เปอร์เซ็นต์ เช่นเดียวกับจังหวัดอื่นๆทั่วราชอาณาจักรไทย
ดังนี้รัฐบาลและปวงชนชาวไทยจะเอาอย่างไร รัฐบาลไม่ควรเดินตามสนธิสัญญาอื่น แล้วก็ไม่ต้องถกเถียงกับเขมรว่าที่ดิน 4.6 ตารางกิโลเมตรเป็นของไทยหรือของเขมร หรือเป็นที่ทับซ้อน หากรัฐบาลสู้ตามที่ปฏิบัติอยู่ ก็จะตกเป็นฝ่ายรับทางการเมืองและแพ้เขมรในที่สุด (เราได้แย้งมา 3 แล้ว)
เราต้องสู้ตามความจริงที่เป็นมาตามลำดับๆ และยึดมั่นกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งกรณีการตั้งรัฐชาติและอนุสัญญาโตเกียวไทยเราก็จะชนะและได้จังหวัดพระตะบองและศรีโสภณคืน หรือไทยเราจะไม่เอาคืนก็ได้ แต่เขาพระวิหารแท้จริงยังเป็นของไทยเราอยู่อย่างถูกต้องตามกฎหมายระหว่างประเทศ เราอย่าไปกลัวประเทศใดๆ หรือประเทศมหาอำนาจใดๆ ทั้งสิ้น ชัยชนะเป็นของปวงชนไทยอยู่แล้ว เพียงแต่สู้ให้ถูกหลักถูกเกณฑ์เท่านั้น
แต่พวกเราคนไทยรักชาติทั้งหลายด้วยปัญญา จะทำอย่างไรกันดีเล่า ในเมื่อจะกี่รัฐบาลทั้งพรรคประชาธิปัตย์และพรรคเพื่อไทย มันก็เป็นรัฐบาลภายใต้ระบอบเผด็จการที่อำนาจอธิปไตยเป็นของพวกเขาเพียงหยิบมือเดียว
นี่แหละคือเหตุที่จะต้องทำบ้านเมืองให้มีหลักการ(ระบอบ)ประชาธิปไตยอย่างแท้โดยยกหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 เพื่อให้อำนาจอธิปไตยเป็นของปวงชน ปวงชนมีจิตสำนึกรักชาติ ปวงชนเกิดความสามัคคีธรรมภายใต้หลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 หลุดจากเป็นทาสนักการเมืองเลว อันเป็นเหตุให้ประชาชนรักชาติทั้งแผ่นดินไม่ยอม กองทัพแห่งชาติก็จะเข้มแข็งและไม่ยอมด้วย
ไทยเรา ผู้รักชาติไม่จำเป็นเลยที่จะไปฟังศาลโลก เพียงเราบอกความจริง ความเป็นมาอย่างนี้ต่อชาวโลกก็พอแล้ว
จงอย่ายอมรับแนวคิดนักการเมืองอุบาทว์จัญไรที่พวกมันขายชาติ พวกมันเห็นแก่ประโยชน์ของนายมัน ณ ดูไบ เท่านั้น