ASTVผู้จัดการรายวัน - คลังเชื่อค่าเงินบาทจะเข้าสู่จุดสมดุลในเร็วๆ นี้ แนะธปท.ออกมาตรการหนุนเอกชนขนเงินลงทุนต่างประเทศ ขณะที่รัฐวิสาหกิจควรเร่งนำเข้าวัตถุดิบเพื่อให้ประหยัดต้นทุน ด้านสบน.เร่งคืนหนี้สกุลเงินเยนหวังประหยัดดอกเบี้ย
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าไปสร้างสมดุลระหว่างเงินไหลเข้าและออก โดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องเข้าไปบริหารจัดการ ด้วยการออกพันธบัตรเพื่อดูซับสภาพคล่องออกมาและสนับสนุนให้เอกชนออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยในส่วนของกระทรวงการคลังเองจะเร่งให้รัฐวิสาหกิจที่มีแผนลงทุนและใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศ อาศัยจังหวะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ เพื่อจะได้มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง รวมถึงสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เองก็ต้องเร่งชำระหนี้บางส่วนออกไปด้วย
“เงินที่เข้ามามากขณะนี้ ไหลเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น และส่วนใหญ่ก็เป็นการเก็งกำไร ซึ่งเราก็ไม่สามารถที่จะไปห้ามได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในภูมิภาคเอเชียยังสูงกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป จากพื้นฐานเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ด้วย ซึ่งไม่สามารถประเมินได้ว่าเงินลงทุนเหล่านี้จะอยู่ได้นานเพียงใด เพราะเงินทุนจะไหลออกได้ จนกว่าจะสามารถหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เงินบาทจะไม่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องไปอีก เพราะขณะนี้ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มดีขึ้น ทั้งจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำ ทำให้ยังมีช่องว่างที่จะสามารถดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคมก็ออกมาดีและยังมีสัญญาณบวกขึ้นเรื่อยๆ และหากผ่านพ้นช่วงหน้าผาทางการคลังในระยะที่ 2 จากการตัดงบประมาณรายจ่ายลง ก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ และจะให้เงินทุนเหล่านี้ไหลกลับ และค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ และค่าเงินบาทก็จะอ่อนลง
นายสุวิชญ โรจนวานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) กล่าวว่า เงินทุนที่ไหลเข้ามามากในขณะนี้ยังไม่ทำให้การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ผันผวนมากนัก เพราะหลักๆ ยังเป็นการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่า เนื่องจากมีความคล่องตัวในการลงทุนและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งหากเทียบผู้จัดการกองทุนเก่งๆ แล้ว สามารถหาผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นได้ 15-20% แต่ในตราสารหนี้ สูงสุดก็เพียง 5% เท่านั้น เพียงแต่บางกองทุนจะกำหนสัดส่วนการลงทุนในตลาดราสารหนี้ไว้ชัดเจน ว่าไม่น้อยกว่า 60% เพื่อผลตอบแทนที่ชัดเจน แม้ว่าจะต่ำก็ตาม จึงทำให้มีเงินบางส่วนไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ด้วย
สำหรับการชำระหนี้ในช่วงที่ค่าบาทแข็งค่าขึ้นน่าจะเป็นจังหวะที่ดีที่สบน.จะคืนหนี้เงินเยนก่อนกำหนด เพราะหลังจากการเข้ารับตำแหน่งนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ได้ดำเนินโยบายเงินเยนอ่อนค่าลง เพื่อกระตุ้นการส่งออกของญี่ปุ่น เนื่องจากหนี้สาธารณะของไทยที่มีทั้งสิ้น 4.1 ล้านล้านบาท เป็นหนี้ต่างประเทศ 4.3 หมื่นล้านบาท และเป็นหนี้เงินเยนถึง 60% แต่หลังจากเจรจาแล้วทางญี่ปุ่นไม่ยอม จึงทำได้เพียงการชำระหนี้ที่ครบกำหนดเท่านั้น ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์จะมีหนี้เงินเยนที่ครบกำหนดอีก 410 ล้านบาทและชำระคืนธนาคารโลกที่เป็นเงินดอลลาร์อีก 115 ล้านบาท
นายสมชัย สัจจพงษ์ ผู้อำนวยการ สำนักงานเศรษฐกิจการคลัง(สศค.) เปิดเผยว่า ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่องในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาหน่วยงานที่เกี่ยวข้องจะต้องเข้าไปสร้างสมดุลระหว่างเงินไหลเข้าและออก โดยธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.)ต้องเข้าไปบริหารจัดการ ด้วยการออกพันธบัตรเพื่อดูซับสภาพคล่องออกมาและสนับสนุนให้เอกชนออกไปลงทุนในต่างประเทศ โดยในส่วนของกระทรวงการคลังเองจะเร่งให้รัฐวิสาหกิจที่มีแผนลงทุนและใช้วัตถุดิบจากต่างประเทศ อาศัยจังหวะที่ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้นนำเข้าเครื่องจักรและวัตถุดิบ เพื่อจะได้มีต้นทุนทางการเงินที่ต่ำลง รวมถึงสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) เองก็ต้องเร่งชำระหนี้บางส่วนออกไปด้วย
“เงินที่เข้ามามากขณะนี้ ไหลเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้น และส่วนใหญ่ก็เป็นการเก็งกำไร ซึ่งเราก็ไม่สามารถที่จะไปห้ามได้อยู่แล้ว ตราบใดที่ผลตอบแทนจากการลงทุนในภูมิภาคเอเชียยังสูงกว่าสหรัฐอเมริกาและยุโรป จากพื้นฐานเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างแข็งแกร่ง ซึ่งก็ไม่ใช่แค่ไทยเท่านั้น แต่ยังรวมถึงประเทศอื่นๆในภูมิภาคนี้ด้วย ซึ่งไม่สามารถประเมินได้ว่าเงินลงทุนเหล่านี้จะอยู่ได้นานเพียงใด เพราะเงินทุนจะไหลออกได้ จนกว่าจะสามารถหาแหล่งลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า”
อย่างไรก็ตาม เชื่อว่า เงินบาทจะไม่แข็งค่าอย่างต่อเนื่องไปอีก เพราะขณะนี้ตัวเลขเศรษฐกิจของสหรัฐเริ่มดีขึ้น ทั้งจากตัวเลขเงินเฟ้อที่ต่ำ ทำให้ยังมีช่องว่างที่จะสามารถดำเนินนโยบายเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจได้อีก ขณะที่ดัชนีผลผลิตภาคอุตสาหกรรมในเดือนธันวาคมก็ออกมาดีและยังมีสัญญาณบวกขึ้นเรื่อยๆ และหากผ่านพ้นช่วงหน้าผาทางการคลังในระยะที่ 2 จากการตัดงบประมาณรายจ่ายลง ก็จะทำให้เศรษฐกิจสหรัฐสามารถพลิกฟื้นกลับมาได้ และจะให้เงินทุนเหล่านี้ไหลกลับ และค่าเงินดอลลาร์จะกลับมาแข็งค่าขึ้นได้ และค่าเงินบาทก็จะอ่อนลง
นายสุวิชญ โรจนวานิช รองผู้อำนวยการสำนักงานบริหารหนี้สาธารณะ(สบน.) กล่าวว่า เงินทุนที่ไหลเข้ามามากในขณะนี้ยังไม่ทำให้การลงทุนในตลาดตราสารหนี้ผันผวนมากนัก เพราะหลักๆ ยังเป็นการเข้าไปลงทุนในตลาดหุ้นมากกว่า เนื่องจากมีความคล่องตัวในการลงทุนและให้ผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่งหากเทียบผู้จัดการกองทุนเก่งๆ แล้ว สามารถหาผลตอบแทนจากการลงทุนในตลาดหุ้นได้ 15-20% แต่ในตราสารหนี้ สูงสุดก็เพียง 5% เท่านั้น เพียงแต่บางกองทุนจะกำหนสัดส่วนการลงทุนในตลาดราสารหนี้ไว้ชัดเจน ว่าไม่น้อยกว่า 60% เพื่อผลตอบแทนที่ชัดเจน แม้ว่าจะต่ำก็ตาม จึงทำให้มีเงินบางส่วนไหลเข้ามาในตลาดตราสารหนี้ด้วย
สำหรับการชำระหนี้ในช่วงที่ค่าบาทแข็งค่าขึ้นน่าจะเป็นจังหวะที่ดีที่สบน.จะคืนหนี้เงินเยนก่อนกำหนด เพราะหลังจากการเข้ารับตำแหน่งนายชินโซ อาเบะ นายกรัฐมนตรีของญี่ปุ่น ได้ดำเนินโยบายเงินเยนอ่อนค่าลง เพื่อกระตุ้นการส่งออกของญี่ปุ่น เนื่องจากหนี้สาธารณะของไทยที่มีทั้งสิ้น 4.1 ล้านล้านบาท เป็นหนี้ต่างประเทศ 4.3 หมื่นล้านบาท และเป็นหนี้เงินเยนถึง 60% แต่หลังจากเจรจาแล้วทางญี่ปุ่นไม่ยอม จึงทำได้เพียงการชำระหนี้ที่ครบกำหนดเท่านั้น ซึ่งในเดือนกุมภาพันธ์จะมีหนี้เงินเยนที่ครบกำหนดอีก 410 ล้านบาทและชำระคืนธนาคารโลกที่เป็นเงินดอลลาร์อีก 115 ล้านบาท