ASTVผู้จัดการรายวัน-“ประเสริฐ”ยันเดินหน้าท่าเรือแหลมฉบังเฟส 3 เพื่อให้เป็นท่าเรือหลักของประเทศเต็มรูปแบบเชื่อมทวายพร้อมรับฟังความเห็นประชาชนคัดค้าน เผยยังมีเวลาเพราะต้องสร้างเฟส2 เต็มศักยภาพก่อน สั่งเร่งพิจารณาข้อเสนอ ฮัทชิสัน ปรับผลตอบแทนท่า D1-3 ของเฟส 2 หนุนทบทวนแผนแม่บทพัฒนาท่าเรือคลองเตย สร้างรายได้เชิงพาณิชย์จ่อลดขนาดและปริมาณตู้สินค้าลง
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกรระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ว่า เรื่องสำคัญคือการศึกษาทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ท่าเรือกรุงเทพ (ท่าเรือคลองเคย) พื้นที่ 2,300 ไร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ร่วมทั้งจะได้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และการท่องเที่ยวและเป็นศูนย์ราชการ มีระยะเวลาศึกษา 300 วัน หรือสรุปภายในปลายปี 2556 จากนั้นจะพิจารณาได้ว่าจะลดขนาดการให้บริการท่าเรือกรุงเทพลงจากปัจจุบันที่ 1.4 ล้านทีอียูต่อปีเพื่อเพิ่มศักยภาพของท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณตู้สินค้า 5.8 ล้านทีอียูต่อปี ขณะที่หากพัฒนาครบทั้ง 3 เฟส จะรองรับได้ถึง 10.8 ล้านทีอียู โดยทลฉ.มีพื้นที่ถึง 6,000 ไร่
ทั้งนี้ ยืนยันว่า จะต้องพัฒนาทลฉ. เฟส 3 เพราะทลฉ.เป็นท่าเรือหลักของประเทศ รองรับการเติบโตทางการขนส่งทางน้ำในอนาคต และเชื่อมโยงกับท่าเรือทวาย ส่วนกรณีที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านเพราะกังวลผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงกระแสน้ำกระทบต่อชายหาดพัทยาได้นั้น จะต้องรับฟังความเห็นของประชาชนก่อนแน่นอน โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 6 ปี
ขณะนี้ต้องพัฒนาทลฉ.เฟส 2 ให้เต็มศักยภาพก่อน ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอของบริษัท ฮัทชิสัน แหลมฉบัง เทอร์มินัล จํากัด ผู้รับสัมปทานลงทุนก่อสร้าง บริหารและประกอบกิจการท่าเรือ เอ3 ซี1 ซี2 ในการก่อสร้างท่าเรือ ดี1 ดี2 และดี 3โดยขอปรับปรุงผลตอบแทนในทีโออาร์เป็นปีที่ 1-19 ต่ำกว่าเดิมและเพิ่มขึ้นในปีที่ 19-30 โดยผลตอบแทนในภาพรวมเท่ากับข้อเสนอเดิม
โดยระบุว่า การลงทุนช่วงแรกสูงการจ่ายผลตอบแทนมากจะกระทบต่อรายได้ ซึ่งจะเร่งหาข้อสรุปเร็วที่สุด โดยรัฐจะต้องไม่เสียหาย กทท.ต้องไม่เสียเปรียบ และเอกชนอยู่ได้ เพราะเกือบ 3 ปีแล้ว
เรือตรีวิโรจน์ จงชาณสิทโธ ผู้อำนวยการ กทท.กล่าวว่า การก่อสร้างและเปิดให้บริการท่าเรือ ดี 1-3 ล่าช้าออกไป ไม่กระทบต่ออายุสัญญา โดยจะสิ้นสุดเท่าเดิม แต่จะเป็นการขยายเวลาส่งมอบออกไปเท่านั้น และข้อเสนอปรับปรุงผลตอบแทนดังกล่าว บริษัทเสนอมาก่อนที่สัญญาครบ โดยจะปฏิบัติตามขั้นตอนสัญญาสัมปทานของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานและดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ 35) ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการตามมาตรา 22 แห่งพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ35
นายประเสริฐ จันทรรวงทอง รัฐมนตรีช่วยว่าการกรระทรวงคมนาคม เปิดเผยภายหลังมอบนโยบายให้การท่าเรือแห่งประเทศไทย (กทท.) ว่า เรื่องสำคัญคือการศึกษาทบทวนแผนแม่บทการพัฒนาพื้นที่เชิงพาณิชย์ ท่าเรือกรุงเทพ (ท่าเรือคลองเคย) พื้นที่ 2,300 ไร่ เพื่อเพิ่มประสิทธิภาพการให้บริการ ร่วมทั้งจะได้ประโยชน์เชิงพาณิชย์และการท่องเที่ยวและเป็นศูนย์ราชการ มีระยะเวลาศึกษา 300 วัน หรือสรุปภายในปลายปี 2556 จากนั้นจะพิจารณาได้ว่าจะลดขนาดการให้บริการท่าเรือกรุงเทพลงจากปัจจุบันที่ 1.4 ล้านทีอียูต่อปีเพื่อเพิ่มศักยภาพของท่าเรือแหลมฉบัง (ทลฉ.) ซึ่งปัจจุบันมีปริมาณตู้สินค้า 5.8 ล้านทีอียูต่อปี ขณะที่หากพัฒนาครบทั้ง 3 เฟส จะรองรับได้ถึง 10.8 ล้านทีอียู โดยทลฉ.มีพื้นที่ถึง 6,000 ไร่
ทั้งนี้ ยืนยันว่า จะต้องพัฒนาทลฉ. เฟส 3 เพราะทลฉ.เป็นท่าเรือหลักของประเทศ รองรับการเติบโตทางการขนส่งทางน้ำในอนาคต และเชื่อมโยงกับท่าเรือทวาย ส่วนกรณีที่ประชาชนในพื้นที่ต่อต้านเพราะกังวลผลกระทบสิ่งแวดล้อมที่จะทำให้มีการเปลี่ยนแปลงกระแสน้ำกระทบต่อชายหาดพัทยาได้นั้น จะต้องรับฟังความเห็นของประชาชนก่อนแน่นอน โดยจะใช้เวลาก่อสร้าง 6 ปี
ขณะนี้ต้องพัฒนาทลฉ.เฟส 2 ให้เต็มศักยภาพก่อน ซึ่งยังอยู่ระหว่างการพิจารณาข้อเสนอของบริษัท ฮัทชิสัน แหลมฉบัง เทอร์มินัล จํากัด ผู้รับสัมปทานลงทุนก่อสร้าง บริหารและประกอบกิจการท่าเรือ เอ3 ซี1 ซี2 ในการก่อสร้างท่าเรือ ดี1 ดี2 และดี 3โดยขอปรับปรุงผลตอบแทนในทีโออาร์เป็นปีที่ 1-19 ต่ำกว่าเดิมและเพิ่มขึ้นในปีที่ 19-30 โดยผลตอบแทนในภาพรวมเท่ากับข้อเสนอเดิม
โดยระบุว่า การลงทุนช่วงแรกสูงการจ่ายผลตอบแทนมากจะกระทบต่อรายได้ ซึ่งจะเร่งหาข้อสรุปเร็วที่สุด โดยรัฐจะต้องไม่เสียหาย กทท.ต้องไม่เสียเปรียบ และเอกชนอยู่ได้ เพราะเกือบ 3 ปีแล้ว
เรือตรีวิโรจน์ จงชาณสิทโธ ผู้อำนวยการ กทท.กล่าวว่า การก่อสร้างและเปิดให้บริการท่าเรือ ดี 1-3 ล่าช้าออกไป ไม่กระทบต่ออายุสัญญา โดยจะสิ้นสุดเท่าเดิม แต่จะเป็นการขยายเวลาส่งมอบออกไปเท่านั้น และข้อเสนอปรับปรุงผลตอบแทนดังกล่าว บริษัทเสนอมาก่อนที่สัญญาครบ โดยจะปฏิบัติตามขั้นตอนสัญญาสัมปทานของพระราชบัญญัติว่าด้วยการให้เอกชนเข้าร่วมงานและดำเนินการในกิจการของรัฐ พ.ศ. 2535 (พ.ร.บ. ร่วมทุนฯ 35) ซึ่งผ่านการพิจารณาของคณะกรรมการตามมาตรา 22 แห่งพ.ร.บ.ร่วมทุนฯ35
