ASTVผู้จัดการรายวัน-บริษัทประกันภัยจ่อขอขึ้นเบี้ยประกันภัยรถคันแรกอีก 10% หลังพบยอดเคลมมือใหม่หัดขับสูงถึง 70% ด้านคปภ.ระบุต้องหารือรายละเอียดอีกเพียบ แนะบริษัทประกันเพิ่มศักยภาพรับการแข่งขัน และการขยายตัวของธุรกิจในอนาคตเพิ่มขึ้น
นายจีระพันธุ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมวินาศภัย เปิดเผยว่า ทางสมาคมได้มีการหารือกันเพื่อขอเพิ่มอัตราเบี้ยประกันภัยเฉพาะรถยนต์คันแรกอีก 10%กับทางคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่า อัตราส่วนค่าเสียหาย หรือ lose ratio ที่บริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าสินไหมเพื่อซ่อมแซมรถยนต์นั้น รถคันแรกอยู่ในอัตรา 70% สูงกว่ารถทั่วไปที่มีอัตรา 60% ทำให้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทประกันภัย
ทั้งนี้ ในส่วนของรถคันแรกถูกกำหนดให้ผูกพันตามทุนประกันและราคารถ จึงทำให้เบี้ยประกันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อคัน ขณะที่รถรุ่นที่มีเครื่องยนต์สูงกว่า 1,500 ซีซี จะเฉลี่ยเบี้ยประกัน 20,000 บาทขึ้นไปต่อคัน โดยแนวทางดังกล่าวสมาคมได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาในต่างประเทศให้ดำเนินการศึกษา และพบว่าน่าจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยหากมีการปรับปรุงอัตราเบี้ยประกันตามแนวทางที่สมาคมเสนอ ก็คาดว่าเบี้ยประกันของรถประเภทซิตี้คาร์ หรือรถคันแรก จะปรับเพิ่มประมาณ 10% ซึ่งจะทำให้เบี้ยประกันที่เคยจ่ายอยู่ 13,000 บาท ขึ้นมาเป็น 15,000 บาท ก็ถือว่าไม่มากนัก
"ยอมรับว่าขั้นตอนในการเสนอและกระบวนการในการตัดสินใจคงต้องใช้เวลา คงไม่ทันกับการส่งมอบรถคันแรกในช่วงแรกของปีนี้ แต่เชื่อว่าหากได้รับการพิจารณาให้ปรับขึ้นก็คงมีผลในการต่อประกันภัยในปีถัดไป" นายจีระพันธุ์ กล่าวและว่า แนวโน้มของธุรกิจประกันภัยในปี 2556 ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปี 2555 เนื่องจากยังคงมีการทยอยส่งมอบรถยนต์คันแรกตามนโยบายของรัฐบาล
ด้านนายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการ คปภ. เปิดเผยว่า การขอขึ้นอัตราเบี้ยประกันภัยเฉพาะรถคันแรกอีก 10% นั้นขณะนี้ทางคปภ.ยังไม่ได้รับเรื่องจากทางสมาคมประกันวินาศภัยแต่อย่างใดจึงยังไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ยืนยันว่าสิ่งที่ทางคปภ.อยากเห็นคือการพัฒนาของธุรกิจประกันภัย ซึ่งหลังจากนี้แต่ละบริษัทฯจะต้องมีการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อรองรับการแข่งขัน และการขยายตัวของธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ได้
"ตอนนี้เป็นเพียงแค่ข่าวลอยมา ผมยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะขยายให้หรือไม่ แต่ซึ่งที่คปภ.อยากเห็นคือผู้ประกอบการมีการพัฒนาเพื่อรองรับธุรกิจที่จะขยายตัวและการแข่งขันได้ และบริษัทประกันภัยจะต้องมีการลงทุนโครงสร้างภายใน การให้บริการที่ดี และเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพสามารถดูแล และทำการจ่ายสินไหมให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือภาพรวมที่เราอยากเห็น"
ส่วนการปรับหลักเกณฑ์ต่างๆ นั้นในประเทศที่การประกันภัยมีการพัฒนาแล้วมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องอยู่เหมือนกัน ซึ่งจะต้องดูหลายด้านประกอบกันทั้งเรื่องของอัตราการจ่ายสินไหม ต้นทุน และการบริหารจัดการต่างๆ ซึ่งหากจะต้องมีการปรับจะต้องหารือกันในรายละเอียดอีกเยอะ
โดยอัตราส่วนค่าเสียหาย หรือ lose ratio ที่บริษัทประกันภัยอ้างเพื่อขอปรับเพิ่มอัตราเบี้ยประกันภัยนั้น ทางคปภ.มองว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันทุกบริษัท ซึ่งบางบริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้ดี เบี้ยที่เรียกเก็บอาจอยู่ในระดับต่ำตามพิกัดที่ทางคปภ.กำหนดไว้ได้เช่นกัน ทำให้การเรียกเก็บเบี้ยของบริษัทส่วนหนึ่งจะมาจากการบริหารงานที่ดีด้วยและจะทำให้เกิดการแข่งขันที่ดี โดยผลจากการแข่งขันในการบริหารและการให้บริการสุดท้ายแล้วจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคมากที่สุด
นายจีระพันธุ์ อัศวะธนกุล นายกสมาคมวินาศภัย เปิดเผยว่า ทางสมาคมได้มีการหารือกันเพื่อขอเพิ่มอัตราเบี้ยประกันภัยเฉพาะรถยนต์คันแรกอีก 10%กับทางคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย(คปภ.) เนื่องจากในช่วงที่ผ่านมาพบว่า อัตราส่วนค่าเสียหาย หรือ lose ratio ที่บริษัทประกันจะต้องจ่ายค่าสินไหมเพื่อซ่อมแซมรถยนต์นั้น รถคันแรกอยู่ในอัตรา 70% สูงกว่ารถทั่วไปที่มีอัตรา 60% ทำให้ส่งผลกระทบต่อผลประกอบการของบริษัทประกันภัย
ทั้งนี้ ในส่วนของรถคันแรกถูกกำหนดให้ผูกพันตามทุนประกันและราคารถ จึงทำให้เบี้ยประกันเฉลี่ยอยู่ที่ประมาณ 10,000-15,000 บาทต่อคัน ขณะที่รถรุ่นที่มีเครื่องยนต์สูงกว่า 1,500 ซีซี จะเฉลี่ยเบี้ยประกัน 20,000 บาทขึ้นไปต่อคัน โดยแนวทางดังกล่าวสมาคมได้จ้างบริษัทที่ปรึกษาในต่างประเทศให้ดำเนินการศึกษา และพบว่าน่าจะช่วยแก้ปัญหาดังกล่าวได้ โดยหากมีการปรับปรุงอัตราเบี้ยประกันตามแนวทางที่สมาคมเสนอ ก็คาดว่าเบี้ยประกันของรถประเภทซิตี้คาร์ หรือรถคันแรก จะปรับเพิ่มประมาณ 10% ซึ่งจะทำให้เบี้ยประกันที่เคยจ่ายอยู่ 13,000 บาท ขึ้นมาเป็น 15,000 บาท ก็ถือว่าไม่มากนัก
"ยอมรับว่าขั้นตอนในการเสนอและกระบวนการในการตัดสินใจคงต้องใช้เวลา คงไม่ทันกับการส่งมอบรถคันแรกในช่วงแรกของปีนี้ แต่เชื่อว่าหากได้รับการพิจารณาให้ปรับขึ้นก็คงมีผลในการต่อประกันภัยในปีถัดไป" นายจีระพันธุ์ กล่าวและว่า แนวโน้มของธุรกิจประกันภัยในปี 2556 ยังคงเติบโตต่อเนื่องจากปี 2555 เนื่องจากยังคงมีการทยอยส่งมอบรถยนต์คันแรกตามนโยบายของรัฐบาล
ด้านนายประเวช องอาจสิทธิกุล เลขาธิการ คปภ. เปิดเผยว่า การขอขึ้นอัตราเบี้ยประกันภัยเฉพาะรถคันแรกอีก 10% นั้นขณะนี้ทางคปภ.ยังไม่ได้รับเรื่องจากทางสมาคมประกันวินาศภัยแต่อย่างใดจึงยังไม่สามารถให้คำตอบได้ แต่ยืนยันว่าสิ่งที่ทางคปภ.อยากเห็นคือการพัฒนาของธุรกิจประกันภัย ซึ่งหลังจากนี้แต่ละบริษัทฯจะต้องมีการพัฒนาศักยภาพของตนเองเพื่อรองรับการแข่งขัน และการขยายตัวของธุรกิจที่จะเกิดขึ้นในอนาคตให้ได้
"ตอนนี้เป็นเพียงแค่ข่าวลอยมา ผมยังไม่สามารถบอกได้ว่าจะขยายให้หรือไม่ แต่ซึ่งที่คปภ.อยากเห็นคือผู้ประกอบการมีการพัฒนาเพื่อรองรับธุรกิจที่จะขยายตัวและการแข่งขันได้ และบริษัทประกันภัยจะต้องมีการลงทุนโครงสร้างภายใน การให้บริการที่ดี และเจ้าหน้าที่มีประสิทธิภาพสามารถดูแล และทำการจ่ายสินไหมให้แก่ลูกค้าได้อย่างรวดเร็ว นั่นคือภาพรวมที่เราอยากเห็น"
ส่วนการปรับหลักเกณฑ์ต่างๆ นั้นในประเทศที่การประกันภัยมีการพัฒนาแล้วมีการปรับเปลี่ยนให้สอดคล้องอยู่เหมือนกัน ซึ่งจะต้องดูหลายด้านประกอบกันทั้งเรื่องของอัตราการจ่ายสินไหม ต้นทุน และการบริหารจัดการต่างๆ ซึ่งหากจะต้องมีการปรับจะต้องหารือกันในรายละเอียดอีกเยอะ
โดยอัตราส่วนค่าเสียหาย หรือ lose ratio ที่บริษัทประกันภัยอ้างเพื่อขอปรับเพิ่มอัตราเบี้ยประกันภัยนั้น ทางคปภ.มองว่า ความเสียหายที่เกิดขึ้นไม่จำเป็นจะต้องเหมือนกันทุกบริษัท ซึ่งบางบริษัทสามารถบริหารต้นทุนได้ดี เบี้ยที่เรียกเก็บอาจอยู่ในระดับต่ำตามพิกัดที่ทางคปภ.กำหนดไว้ได้เช่นกัน ทำให้การเรียกเก็บเบี้ยของบริษัทส่วนหนึ่งจะมาจากการบริหารงานที่ดีด้วยและจะทำให้เกิดการแข่งขันที่ดี โดยผลจากการแข่งขันในการบริหารและการให้บริการสุดท้ายแล้วจะเป็นประโยชน์แก่ผู้บริโภคมากที่สุด
