หนี้สาธารณะประเทศไทยเราขณะนี้ประมาณ ๔๕% ของรายได้มวลรวมประชาชาติ (หรือจีดีพี) เข้าไปแล้ว ...ซึ่งผมได้เตือนมาแต่สองปีก่อนแล้วว่า มันเป็นหนี้ที่สูงเกินขีดอันตรายไปมากแล้ว แต่ผู้ทรงคุณวุฒิด้านเศรษฐศาสตร์ส่วนใหญ่ก็ยังไม่สำเหนียก ยังอ้างทฤษฎีฝรั่งว่ายังไม่เกิน ๕๐% ยังไม่อันตราย
ท่านผู้ทรงฯ เหล่านี้ลืมคิดไปว่าทฤษฎีของฝรั่งนั้น มีสมมติฐานโดยปริยายว่ารายได้รัฐบาลคือประมาณ ๓๐% ของจีดีพี (มาจากการเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ) แต่ผู้ทรงฯ ก็คงไม่ทราบอีกว่าของเราเพียง ๑๕% เท่านั้น (ผมไปขุดหามาเอง) ดังนั้นภาระหนี้สินของเราที่แท้จริงนั้นมันต้องคูณสอง เพื่อปรับให้สอดคล้องกับทฤษฎีฝรั่ง ดังนั้นหนี้ของเราก็เทียบเท่า ๙๐% เข้าไปแล้ว
ส่วนรัฐบาลไทยก็มีแผนกู้เงินอีกกว่าสองล้านล้านบาท เพื่อเอามาหาเสียงประชานิยม เพื่อหวังได้รับคะแนนเสียงเป็นรัฐบาลกันต่อไปอีกหลายสมัย โดยอ้างว่าผู้ทรงฯ บอกว่ายังไม่อันตราย
พร้อมนี้รัฐบาลก็ลดรายได้ลงด้วยการลดภาษีนิติบุคคลให้นักธุรกิจที่ร่ำรวย (ที่หลายต่อหลายรายเป็นญาติสนิทมิตรสหายกับคนในรัฐบาล) ทำให้รายได้ของไทยเราลดจากประมาณ ๑๗% จีดีพี เหลือเพียงประมาณ ๑๕% จีดีพี...ซึ่งต่ำที่สุดในโลก (ท่านผู้ทรงฯ ก็คงไม่รับทราบอีกตามเคย)
สรุปคือรัฐบาลไทยเรากำลังจะเพิ่มรายจ่ายด้วยโครงการประชานิยมต่างๆ จนต้องกู้เงินมาใช้ในการนี้อย่างมโหฬาร ในขณะที่รายได้ของตัวเองกลับลดลง ทั้งหมดนี้ท่ามกลางสภาวะหนี้เงินกู้มากถึง ๙๐% จีดีพี (เทียบเท่า)
แล้วถ้ากู้อีกสองล้านล้านตามแผน จะมีหนี้ ๖๕% พอคูณสองก็กลายเป็น ๑๓๐% ก็ประมาณเท่าๆ กับประเทศกรีซที่กำลังล้มละลายนั่นแหละ แต่เราไม่มีกลุ่มอียูที่ร่ำรวยคอยอุ้มแบบกรีซนะ ถ้าล้มแล้วคงมีแต่อีแร้งไอเอ็มเอฟหน้าเก่ามาจิกกินเนื้อเน่าราคาถูกอีกเหมือนเคย แล้วคราวนี้จะหนักกว่าต้มยำกุ้ง ๒๕๔๐ สิบเท่า ถึงระดับสิ้นชาติได้เลย
ขณะนี้อเมริกาเขามีหนี้ประมาณ ๑๐๐% จีดีพี ส่วนรายได้ก็ประมาณ ๓๐% จีดีพี เขาก็ตกใจมาก เล็งเห็นหายนะรออยู่ รัฐบาลเขาเลยมีมาตรการมโหฬารที่จะลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ด้วยการเพิ่มภาษีคนรวย (แต่คนจนเสียเท่าเดิม) เรียกขานกันก้องโลกว่าเป็นมาตรการ “หน้าผางบประมาณ” (fiscal cliff)
ตรงข้ามกับไทยเราเลยที่จะเพิ่มหนี้จาก ๙๐ ให้เป็น ๑๓๐% ในขณะที่ลดภาษีให้คนรวย แบบนี้น่าเรียกว่า “หุบเหวนรกตกหน้าผางบประมาณ” (fiscal hell)
อเมริกาเป็นครูใหญ่ทุนนิยม มีนักเศรษฐศาสตร์เก่งระดับโนเบลเต็มประเทศ แต่เขายังกลัวหนี้กันตัวสั่นงันงกปานนี้ แล้วเราเป็นเพียงกวางน้อย..ที่ไม่รู้รอยตีนเสืออีกต่างหาก จึงได้แต่กระดิกหางเดินตามเสือหิวไปเซื่องๆ อย่างนั้นหรือ
ซ้ำร้ายรายได้ประเทศส่วนใหญ่ก็พึงการส่งออก (๗๐%...สูงที่สุดในโลก) ซึ่งในจำนวนนี้ ๙๐% เป็นรายได้ของบริษัทต่างชาติอีกต่างหาก ซึ่งตลาดโลกที่ส่งออกอยู่ในสภาพซบเซาถึงง่อนแง่น การส่งออกน่าจะมีแนวโน้มลดลงถึงพังทลาย ซึ่งหากเป็นในกรณีหลังนี้จะส่งผลให้ไทยเราล่มสลายไปด้วย เพราะจะถูกขายทอดตลาดกันหมด
นอกจากข่าวร้ายด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังได้ยินข่าวจากนักวิจารณ์สังคม (เช่น ดร.สุขุม นวลสกุล) ว่า การเมืองเราพัฒนาไม่ทันเศรษฐกิจ ซึ่งน่ารับฟังมาก แต่ผมขอมองต่างมุมว่า เพราะ “การเมืองเรามันผิด...เศรษฐกิจเลยเพี้ยน” เสียมากกว่า
ทั้งนี้เพราะมันเป็นการเมืองปชต. ที่ไปลอกรูปแบบฝรั่งมาทั้งดุ้นแบบผิดฝาผิดตัว ที่เข้ากันไม่ได้เลยกับลักษณะสังคมไทย ทำให้ขาดดุลอำนาจ ขาดภูมิคุ้มกัน จนนำพาเชื้อเศรษฐกิจแดกด่วนเข้ามาแทะกินชาติเราด้วยระบบผูกขาด และการไหลเทของทุนต่างชาติอย่างบ้าคลั่ง เป็นระยะเวลาประมาณ ๔๕ ปีสืบมาจนวันนี้
การเมืองผิดฝายังทำลายระบบภูมิคุ้มกันทางปัญญาของชาติเราให้บกพร่อง จนปล่อยให้อัศวินควายดำกำมะลอเพียงคนเดียวสามารถมาเขย่าชาติที่เก่าแก่มีพลเมือง ๖๕ ล้านคนให้โยกซ้ายย้ายขวาได้ง่ายๆ ถึงเพียงนี้ (ผมเตือนเรื่องนี้แต่กลางปี ๒๕๔๓ ก่อนแต่อัศวินฯ จะเกิด ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเพื่อนนักวิชาการ)
ชาติไทยเราวันนี้เป็นขี้ข้าฝรั่งอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้วในทุกระดับโดยระดับล่างก็เป็นขี้ข้าแรงงาน (แม้สามร้อยก็ยังถูกเหมือนได้เปล่า) ระดับกลางก็ขี้ข้าซื้อสินค้า ระดับสูงก็ขี้ข้าทางความรู้และปัญญา (คิดไม่ออก ลอกฝรั่ง)
ลองคิดดู แม้คนหมู่บ้านเสื้อแดงที่อ้างว่าเป็นไพร่ยากจนวันนี้ ส่วนใหญ่มีเศรษฐกิจดีพอควร มีทีวีดู (น้ำเน่า) ตู้เย็น บ้านปูน ส้วมชักโครก แต่กลับยอมรับเงินเพียง ๕๐๐ บาท เพื่อขายเสียงเลือกตั้ง และหรือมาร่วมเดินขบวน..เพื่อส่ง ส.ส.ที่ซื้อเสียงเหล่านั้น เข้าไปกำหนดชะตากรรมประเทศชาติอีกระลอก
ต้องขอบคุณระบบการเมืองห่วยๆ ที่เราลอกฝรั่งมาแบบชุ่ยๆ ที่ได้นำพาเศรษฐกิจและจิตวิญญาณสังคมชาติไทยให้มายืนอยู่ริมขอบเหวนรก ทำให้เราได้มีโอกาสมองวิวในมุมสูงที่น่าตื่นเต้นปานนี้
ผมเพียงแค่ชี้ให้ดูวิว อย่ามามองนิ้วผมนะ .....สวัสดีปีใหม่นะตายแลนด์ที่แสนคิดถึง
ท่านผู้ทรงฯ เหล่านี้ลืมคิดไปว่าทฤษฎีของฝรั่งนั้น มีสมมติฐานโดยปริยายว่ารายได้รัฐบาลคือประมาณ ๓๐% ของจีดีพี (มาจากการเก็บภาษีในรูปแบบต่างๆ) แต่ผู้ทรงฯ ก็คงไม่ทราบอีกว่าของเราเพียง ๑๕% เท่านั้น (ผมไปขุดหามาเอง) ดังนั้นภาระหนี้สินของเราที่แท้จริงนั้นมันต้องคูณสอง เพื่อปรับให้สอดคล้องกับทฤษฎีฝรั่ง ดังนั้นหนี้ของเราก็เทียบเท่า ๙๐% เข้าไปแล้ว
ส่วนรัฐบาลไทยก็มีแผนกู้เงินอีกกว่าสองล้านล้านบาท เพื่อเอามาหาเสียงประชานิยม เพื่อหวังได้รับคะแนนเสียงเป็นรัฐบาลกันต่อไปอีกหลายสมัย โดยอ้างว่าผู้ทรงฯ บอกว่ายังไม่อันตราย
พร้อมนี้รัฐบาลก็ลดรายได้ลงด้วยการลดภาษีนิติบุคคลให้นักธุรกิจที่ร่ำรวย (ที่หลายต่อหลายรายเป็นญาติสนิทมิตรสหายกับคนในรัฐบาล) ทำให้รายได้ของไทยเราลดจากประมาณ ๑๗% จีดีพี เหลือเพียงประมาณ ๑๕% จีดีพี...ซึ่งต่ำที่สุดในโลก (ท่านผู้ทรงฯ ก็คงไม่รับทราบอีกตามเคย)
สรุปคือรัฐบาลไทยเรากำลังจะเพิ่มรายจ่ายด้วยโครงการประชานิยมต่างๆ จนต้องกู้เงินมาใช้ในการนี้อย่างมโหฬาร ในขณะที่รายได้ของตัวเองกลับลดลง ทั้งหมดนี้ท่ามกลางสภาวะหนี้เงินกู้มากถึง ๙๐% จีดีพี (เทียบเท่า)
แล้วถ้ากู้อีกสองล้านล้านตามแผน จะมีหนี้ ๖๕% พอคูณสองก็กลายเป็น ๑๓๐% ก็ประมาณเท่าๆ กับประเทศกรีซที่กำลังล้มละลายนั่นแหละ แต่เราไม่มีกลุ่มอียูที่ร่ำรวยคอยอุ้มแบบกรีซนะ ถ้าล้มแล้วคงมีแต่อีแร้งไอเอ็มเอฟหน้าเก่ามาจิกกินเนื้อเน่าราคาถูกอีกเหมือนเคย แล้วคราวนี้จะหนักกว่าต้มยำกุ้ง ๒๕๔๐ สิบเท่า ถึงระดับสิ้นชาติได้เลย
ขณะนี้อเมริกาเขามีหนี้ประมาณ ๑๐๐% จีดีพี ส่วนรายได้ก็ประมาณ ๓๐% จีดีพี เขาก็ตกใจมาก เล็งเห็นหายนะรออยู่ รัฐบาลเขาเลยมีมาตรการมโหฬารที่จะลดรายจ่าย และเพิ่มรายได้ด้วยการเพิ่มภาษีคนรวย (แต่คนจนเสียเท่าเดิม) เรียกขานกันก้องโลกว่าเป็นมาตรการ “หน้าผางบประมาณ” (fiscal cliff)
ตรงข้ามกับไทยเราเลยที่จะเพิ่มหนี้จาก ๙๐ ให้เป็น ๑๓๐% ในขณะที่ลดภาษีให้คนรวย แบบนี้น่าเรียกว่า “หุบเหวนรกตกหน้าผางบประมาณ” (fiscal hell)
อเมริกาเป็นครูใหญ่ทุนนิยม มีนักเศรษฐศาสตร์เก่งระดับโนเบลเต็มประเทศ แต่เขายังกลัวหนี้กันตัวสั่นงันงกปานนี้ แล้วเราเป็นเพียงกวางน้อย..ที่ไม่รู้รอยตีนเสืออีกต่างหาก จึงได้แต่กระดิกหางเดินตามเสือหิวไปเซื่องๆ อย่างนั้นหรือ
ซ้ำร้ายรายได้ประเทศส่วนใหญ่ก็พึงการส่งออก (๗๐%...สูงที่สุดในโลก) ซึ่งในจำนวนนี้ ๙๐% เป็นรายได้ของบริษัทต่างชาติอีกต่างหาก ซึ่งตลาดโลกที่ส่งออกอยู่ในสภาพซบเซาถึงง่อนแง่น การส่งออกน่าจะมีแนวโน้มลดลงถึงพังทลาย ซึ่งหากเป็นในกรณีหลังนี้จะส่งผลให้ไทยเราล่มสลายไปด้วย เพราะจะถูกขายทอดตลาดกันหมด
นอกจากข่าวร้ายด้านเศรษฐกิจแล้ว ยังได้ยินข่าวจากนักวิจารณ์สังคม (เช่น ดร.สุขุม นวลสกุล) ว่า การเมืองเราพัฒนาไม่ทันเศรษฐกิจ ซึ่งน่ารับฟังมาก แต่ผมขอมองต่างมุมว่า เพราะ “การเมืองเรามันผิด...เศรษฐกิจเลยเพี้ยน” เสียมากกว่า
ทั้งนี้เพราะมันเป็นการเมืองปชต. ที่ไปลอกรูปแบบฝรั่งมาทั้งดุ้นแบบผิดฝาผิดตัว ที่เข้ากันไม่ได้เลยกับลักษณะสังคมไทย ทำให้ขาดดุลอำนาจ ขาดภูมิคุ้มกัน จนนำพาเชื้อเศรษฐกิจแดกด่วนเข้ามาแทะกินชาติเราด้วยระบบผูกขาด และการไหลเทของทุนต่างชาติอย่างบ้าคลั่ง เป็นระยะเวลาประมาณ ๔๕ ปีสืบมาจนวันนี้
การเมืองผิดฝายังทำลายระบบภูมิคุ้มกันทางปัญญาของชาติเราให้บกพร่อง จนปล่อยให้อัศวินควายดำกำมะลอเพียงคนเดียวสามารถมาเขย่าชาติที่เก่าแก่มีพลเมือง ๖๕ ล้านคนให้โยกซ้ายย้ายขวาได้ง่ายๆ ถึงเพียงนี้ (ผมเตือนเรื่องนี้แต่กลางปี ๒๕๔๓ ก่อนแต่อัศวินฯ จะเกิด ท่ามกลางเสียงหัวเราะเย้ยหยันของเพื่อนนักวิชาการ)
ชาติไทยเราวันนี้เป็นขี้ข้าฝรั่งอย่างสมบูรณ์แบบไปแล้วในทุกระดับโดยระดับล่างก็เป็นขี้ข้าแรงงาน (แม้สามร้อยก็ยังถูกเหมือนได้เปล่า) ระดับกลางก็ขี้ข้าซื้อสินค้า ระดับสูงก็ขี้ข้าทางความรู้และปัญญา (คิดไม่ออก ลอกฝรั่ง)
ลองคิดดู แม้คนหมู่บ้านเสื้อแดงที่อ้างว่าเป็นไพร่ยากจนวันนี้ ส่วนใหญ่มีเศรษฐกิจดีพอควร มีทีวีดู (น้ำเน่า) ตู้เย็น บ้านปูน ส้วมชักโครก แต่กลับยอมรับเงินเพียง ๕๐๐ บาท เพื่อขายเสียงเลือกตั้ง และหรือมาร่วมเดินขบวน..เพื่อส่ง ส.ส.ที่ซื้อเสียงเหล่านั้น เข้าไปกำหนดชะตากรรมประเทศชาติอีกระลอก
ต้องขอบคุณระบบการเมืองห่วยๆ ที่เราลอกฝรั่งมาแบบชุ่ยๆ ที่ได้นำพาเศรษฐกิจและจิตวิญญาณสังคมชาติไทยให้มายืนอยู่ริมขอบเหวนรก ทำให้เราได้มีโอกาสมองวิวในมุมสูงที่น่าตื่นเต้นปานนี้
ผมเพียงแค่ชี้ให้ดูวิว อย่ามามองนิ้วผมนะ .....สวัสดีปีใหม่นะตายแลนด์ที่แสนคิดถึง