รถคันแรกวิ่งฉิวปิดโครงการด้วยยอดกว่า 1.25 ล้านคัน ยอดคืนภาษีกว่า 9.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าเป้าถึง 3 เท่าตัว “สมชาย พูลสวัสดิ์” ระบุเตรียมเงินจ่ายคืนปีนี้แล้ว 2 หมื่นล้าน รถยนต์นั่งยอดสูงสุดกว่า 7.4 แสนคัน
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า การยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรกวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของโครงการพบว่า มีผู้ยื่นขอคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกตลอดทั้งวันทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 2,000 คัน เทียบกับเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2555 มีการยื่นขอคืนภาษีรถยนต์คันแรกสูงถึง 5,000 คัน ส่งผลให้ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงวันสุดท้ายที่รับยื่นขอคืนภาษีมียอดรวมทั้งสิ้น 1.255 ล้านคัน คิดเป็นเงินที่ต้องคืนภาษีรวม 9.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก 3 หมื่นล้านบาทถึง 3 เท่าตัว
สำหรับการยื่นใช้สิทธิขอคืนภาษีรถคันแรกทั่วประเทศจำนวน 1.255 ล้านคัน นั้นแบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 7.40 แสนคัน รถกระบะ 2.58 แสนคัน รถยนต์นั่งที่มีกระบะหรือดับเบิลแคป 2.57 แสนคัน ส่วนผู้ที่ได้รับสิทธิและได้รับเงินคืนไปแล้วมีทั้งสิ้น 47,018 ราย คิดเป็นเงิน 3,481 ล้านบาท และคาดว่าปีงบประมาณ 2556 จะต้องคืนภาษีรถยนต์คันแรกรวม 20,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ครั้งแรก 7,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 18,000 ล้านบาทแต่ก็ยังไม่เพียงพอจึงอาจต้องขอใช้งบกลางเพิ่มเติม ส่วนปีงบ 2557 คาดว่าจะใช้เงินคืนภาษีรถยนต์คันแรกประมาณ 30,000 - 35,000 ล้านบาท และใช้งบอีกบางส่วนในปี 2558 โดยผู้ที่ได้รับคืนเงินทางบัญชีเงินฝากนั้นจะต้องครอบครองรถยนต์ครบ 1 ปี
นายสมชายกล่าวว่า การให้บริการยื่นเอกสารขอคืนภาษีกรมสรรพสามิตวันสุดท้ายที่ผ่านมากรมสรรพสามิตและพื้นที่ต่างๆ เปิดรับยื่นเอกสารจนถึงเวลา 16.30 น. เฉพาะที่กรมสรรพสามิต ราชวัตร มีผู้มายื่นใช้สิทธิประมาณ 300 รายเท่านั้น ขณะที่กรมฯ ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้รองรับอย่างเต็มที่ และพบว่าส่วนใหญ่ที่มาก็ไม่ได้มีปัญเรื่องเอกสารแต่อย่างใดจึงไม่น่าจะมีปัญหาในการขอคืนภาษี นอกจากจะมีการตรวจสอบกับกรมขนส่งทางบกอีกครั้งและพบว่าไม่เข้าเงื่อนไขการเป็นเจ้าของรถคันแรกจริง
"วันสุดท้ายมีผู้มายื่นใช้สิทธิน้อยกว่าที่คาดไว้ จึงน่าจะเป็นการเก็บตกผู้ใช้สิทธิ โดยเท่าที่สอบถามผู้มายื่น 2-3 ราย ส่วนใหญ่ระบุว่าเพิ่งได้รับการอนุมัติจากทางบ้านให้ซื้อรถยนต์จึงรีบนำใบจองซื้อรถยนต์มาใช้สิทธิให้ทันในวันสุดท้าย โดยมองว่าไม่น่าจะมีผู้ตกหล่นหรือใช้สิทธิไม่ทัน เพราะก่อนหน้านี้กรมสรรพสามิตได้ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องแล้ว และถึงแม้เจ้าหน้าที่จะปิดรับเรื่องแล้วแต่ยังสามารถยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ https://firstcar.excise.go.th/ ได้จนถึงเวลา 24.00 น.ของวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และเอกสารต้องพร้อมภายใน 15 วันนับจากวันที่ยื่นขอใช้สิทธิ แต่ส่วนนี้ก็ไม่น่าจะมีเพิ่มขึ้นมากนักไม่เกินร้อยราย ปิดยอดจริงๆ ก็น่าจะประมาณ 1.256 ล้านคัน "นายสมชายกล่าวและว่า กรมฯไม่ได้มีการแยกว่าเป็นการยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์ยี่ห้อใดมากที่สุดเอาไว้
สำหรับกรณีของรถโตโยต้า วีออสรุ่นใหม่ที่มีกรณีเรียกร้องให้ทบทวนการได้สิทธิเข้าโคงการรถยนต์คันแรกทั้งๆที่ยังไม่ได้นำออกมาจำหน่ายในตลาดแต่มีการเปิดรับจองแล้วนั้ ทางกรมสรรพสามิตได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่โรงงานแล้วเห็นว่าทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ขึ้นไลน์การผลิตแล้วจริง และมีการผลิตรถยนต์และเสียภาษีสรรพสามิตไว้แล้วบางส่วน จึงถือว่าเข้าข่ายเข้าได้รับสิทธิโครงการรถยนต์คันแรก ผู้ที่จองซื้อรถยนต์รุ่นดังกล่าวจึงมีสิทธิได้รับเงินคืนเช่นเดียวกัน แต่คาดว่าจะมีไม่มากนักเพราะเพิ่งเปิดจองช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2555 เท่านั้น
ทั้งนี้ โครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลเดิมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิเข้าโครงการประมาณ 5 แสนคัน คิดเป็นเม็ดเงินต้องคืนราว 3.2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่จากการผ่อนปรนเงื่อนไขให้จองได้ถึงเดือนธันวาคมจากเดิมเดือนกันยายนและให้ใช้เพียงใบจองซื้อรถยนต์มายื่นเข้าโคงการโดยเปิดกว้างให้ส่งมอบรถเมื่อไหร่ก็ได้ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้มีผู้สนใจใช้สิทธิมากกว่าเดิมถึงเท่าตัว
นายสมชาย พูลสวัสดิ์ อธิบดีกรมสรรพสามิต เปิดเผยว่า การยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์คันแรกวันที่ 31 ธันวาคม 2555 ซึ่งเป็นวันสุดท้ายของโครงการพบว่า มีผู้ยื่นขอคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกตลอดทั้งวันทั่วประเทศรวมทั้งสิ้น 2,000 คัน เทียบกับเมื่อวันที่ 30 ธันวาคม 2555 มีการยื่นขอคืนภาษีรถยนต์คันแรกสูงถึง 5,000 คัน ส่งผลให้ตั้งแต่เริ่มดำเนินโครงการจนถึงวันสุดท้ายที่รับยื่นขอคืนภาษีมียอดรวมทั้งสิ้น 1.255 ล้านคัน คิดเป็นเงินที่ต้องคืนภาษีรวม 9.1 หมื่นล้านบาท สูงกว่าที่ตั้งเป้าไว้ในช่วงแรก 3 หมื่นล้านบาทถึง 3 เท่าตัว
สำหรับการยื่นใช้สิทธิขอคืนภาษีรถคันแรกทั่วประเทศจำนวน 1.255 ล้านคัน นั้นแบ่งเป็นรถยนต์นั่ง 7.40 แสนคัน รถกระบะ 2.58 แสนคัน รถยนต์นั่งที่มีกระบะหรือดับเบิลแคป 2.57 แสนคัน ส่วนผู้ที่ได้รับสิทธิและได้รับเงินคืนไปแล้วมีทั้งสิ้น 47,018 ราย คิดเป็นเงิน 3,481 ล้านบาท และคาดว่าปีงบประมาณ 2556 จะต้องคืนภาษีรถยนต์คันแรกรวม 20,000 ล้านบาท จากเดิมตั้งไว้ครั้งแรก 7,000 ล้านบาท และเพิ่มเป็น 18,000 ล้านบาทแต่ก็ยังไม่เพียงพอจึงอาจต้องขอใช้งบกลางเพิ่มเติม ส่วนปีงบ 2557 คาดว่าจะใช้เงินคืนภาษีรถยนต์คันแรกประมาณ 30,000 - 35,000 ล้านบาท และใช้งบอีกบางส่วนในปี 2558 โดยผู้ที่ได้รับคืนเงินทางบัญชีเงินฝากนั้นจะต้องครอบครองรถยนต์ครบ 1 ปี
นายสมชายกล่าวว่า การให้บริการยื่นเอกสารขอคืนภาษีกรมสรรพสามิตวันสุดท้ายที่ผ่านมากรมสรรพสามิตและพื้นที่ต่างๆ เปิดรับยื่นเอกสารจนถึงเวลา 16.30 น. เฉพาะที่กรมสรรพสามิต ราชวัตร มีผู้มายื่นใช้สิทธิประมาณ 300 รายเท่านั้น ขณะที่กรมฯ ได้จัดเตรียมเจ้าหน้าที่ไว้รองรับอย่างเต็มที่ และพบว่าส่วนใหญ่ที่มาก็ไม่ได้มีปัญเรื่องเอกสารแต่อย่างใดจึงไม่น่าจะมีปัญหาในการขอคืนภาษี นอกจากจะมีการตรวจสอบกับกรมขนส่งทางบกอีกครั้งและพบว่าไม่เข้าเงื่อนไขการเป็นเจ้าของรถคันแรกจริง
"วันสุดท้ายมีผู้มายื่นใช้สิทธิน้อยกว่าที่คาดไว้ จึงน่าจะเป็นการเก็บตกผู้ใช้สิทธิ โดยเท่าที่สอบถามผู้มายื่น 2-3 ราย ส่วนใหญ่ระบุว่าเพิ่งได้รับการอนุมัติจากทางบ้านให้ซื้อรถยนต์จึงรีบนำใบจองซื้อรถยนต์มาใช้สิทธิให้ทันในวันสุดท้าย โดยมองว่าไม่น่าจะมีผู้ตกหล่นหรือใช้สิทธิไม่ทัน เพราะก่อนหน้านี้กรมสรรพสามิตได้ประชาสัมพันธ์ให้ข้อมูลอย่างต่อเนื่องแล้ว และถึงแม้เจ้าหน้าที่จะปิดรับเรื่องแล้วแต่ยังสามารถยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตทางเว็บไซต์ https://firstcar.excise.go.th/ ได้จนถึงเวลา 24.00 น.ของวันที่ 31 ธันวาคม 2555 และเอกสารต้องพร้อมภายใน 15 วันนับจากวันที่ยื่นขอใช้สิทธิ แต่ส่วนนี้ก็ไม่น่าจะมีเพิ่มขึ้นมากนักไม่เกินร้อยราย ปิดยอดจริงๆ ก็น่าจะประมาณ 1.256 ล้านคัน "นายสมชายกล่าวและว่า กรมฯไม่ได้มีการแยกว่าเป็นการยื่นขอใช้สิทธิคืนภาษีรถยนต์ยี่ห้อใดมากที่สุดเอาไว้
สำหรับกรณีของรถโตโยต้า วีออสรุ่นใหม่ที่มีกรณีเรียกร้องให้ทบทวนการได้สิทธิเข้าโคงการรถยนต์คันแรกทั้งๆที่ยังไม่ได้นำออกมาจำหน่ายในตลาดแต่มีการเปิดรับจองแล้วนั้ ทางกรมสรรพสามิตได้ส่งเจ้าหน้าที่ไปตรวจสอบที่โรงงานแล้วเห็นว่าทางบริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ขึ้นไลน์การผลิตแล้วจริง และมีการผลิตรถยนต์และเสียภาษีสรรพสามิตไว้แล้วบางส่วน จึงถือว่าเข้าข่ายเข้าได้รับสิทธิโครงการรถยนต์คันแรก ผู้ที่จองซื้อรถยนต์รุ่นดังกล่าวจึงมีสิทธิได้รับเงินคืนเช่นเดียวกัน แต่คาดว่าจะมีไม่มากนักเพราะเพิ่งเปิดจองช่วง 2 สัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคม 2555 เท่านั้น
ทั้งนี้ โครงการรถยนต์คันแรกของรัฐบาลเดิมตั้งเป้าหมายไว้ว่าจะมีผู้มาใช้สิทธิเข้าโครงการประมาณ 5 แสนคัน คิดเป็นเม็ดเงินต้องคืนราว 3.2 หมื่นล้านบาทเท่านั้น แต่จากการผ่อนปรนเงื่อนไขให้จองได้ถึงเดือนธันวาคมจากเดิมเดือนกันยายนและให้ใช้เพียงใบจองซื้อรถยนต์มายื่นเข้าโคงการโดยเปิดกว้างให้ส่งมอบรถเมื่อไหร่ก็ได้ยิ่งเป็นการกระตุ้นให้มีผู้สนใจใช้สิทธิมากกว่าเดิมถึงเท่าตัว