ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์-ยิ่งนับวัน ความเหิมเกริมของคนเสื้อแดงก็ยิ่งสำแดงให้เห็นมากขึ้นเป็นลำดับ และเป็นความเหิมเกริมชนิดที่ไม่เกรงกลัวกฎหมายของบ้านเมืองอีกต่างหาก เพราะใครหรือองค์กรใดก็ตามที่คนเสื้อแดงเห็นว่า เป็น “ศัตรู” พวกเขาจะไล่ล่าอย่างไม่ลดละทั้ง “ซึ่งหน้า” และ “ลอบกัด”
2 เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไล่เลี่ยกันในช่วงสัปดาห์ที่ผ่านมาคือบทพิสูจน์ได้เป็นอย่างดี
ทั้งเหตุการณ์ที่ “นายราเมศ รัตนะเชวง” ทีมกฎหมายและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถูก “สารเลวชน” ดักทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัส ขณะลงจากรถเดินเข้าที่พักในปาล์มคอนโดทาวน์ ซอยบางนาตราด 19 แยกซอยเฉลียง แขวงและเขตบางนา กทม. เมื่อค่ำวันที่ 17 ธ.ค. 2555
ทั้งเหตุการณ์ที่ “นางพะเยาว์ อัคฮาด” มารดาของ น.ส.กมนเกด อัคฮาด พยาบาลอาสา นปช. ที่เสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุมบริเวณวัดปทุมวนาราม และพวกจำนวนกว่า 30 คนบุกงานวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธันวาคม ประจำปี 2555
กล่าวสำหรับกรณี “นายราเมศ รัตนะเชวง” ทีมกฎหมายและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถูก “สารเลวชน” ดักทำร้ายได้รับบาดเจ็บสาหัสนั้น ถือเป็นคดีอุกฉกรรจ์ที่สะท้อนสภาพบ้านเมืองในยุคไร้ขื่อแปได้เป็นอย่างดี เพราะถ้าหากสารเลวชนมีความเกรงกลัวกฎหมายและกลัวเจ้าหน้าที่ตำรวจสักนิด เหตุการณ์ในลักษณะนี้จะไม่มีวันเกิดขึ้น
แต่ในยุคที่ตำรวจอ่อนแอถึงขีดสุด เพราะทำงานภายใต้ปรัชญา “มีวันนี้เพราะพี่ให้” มุ่งเน้นแต่สนองงานของนายที่บันดาลยศถาบรรดาศักดิ์ให้ การดูแลรักษาความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชนจึงหย่อนยาน
แน่นอน ผู้ที่ต้องตอบคำถามว่า ทำไมถึงปล่อยให้บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพบ้านป่าเมืองเถื่อนย่อมหนีไม่พ้น พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนปัจจุบัน
คดีของนายราเมศเป็นเรื่องที่ไม่อาจมองข้าม
หนึ่ง เพราะนายราเมศคือทีมกฎหมายและดำรงตำแหน่งเป็นรองโฆษกของพรรคประชาธิปัตย์
สอง เพราะคดีที่ราเมศทำเป็นคดีที่มีความสำคัญในทางการเมืองในหลากหลายคดด้วยกัน แต่คดีที่มีนัยที่สุดคงจะเป็นกรณีที่นายราเมศเรียกร้องให้ดำเนินการทางวินัยกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ที่ให้นักโทษชายหนีคดีชื่อ ทักษิณ ชินวัตร ติดยศให้
“นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ” หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ถึงกับยอมรับว่า การทำร้ายนายราเมศครั้งนี้จะส่งผลกระทบต่อการสู้คดีของพรรคที่ถูกดีเอสไอดำเนินการในหลายคดี เนื่องจากเป็นตัวหลักซึ่งพรรคก็ต้องหาทีมเสริมเพื่อต่อสู้คดีต่อไป
ยิ่งเมื่อฟังคำให้การของ “นายแทนคุณ จิตต์อิสระ” อดีตผู้สมัคร ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ที่เข้าให้การกับ พ.ต.อ.กัญชล อินทราราม ผกก.สน.บางนาด้วยแล้ว ทำให้เชื่อได้ว่าเรื่องนี้มีแนวโน้มที่จะเป็นคดีทางการเมืองค่อนข้างมาก
“ก่อนหน้านึ้คุณราเมศเคยให้ข้อมูลกับผมว่ามีคนสะกดรอยตามมากว่า 2 เดือน หลังจากทำคดีให้กับพรรคประชาธิปัตย์”
คำให้การของนายแทนคุณเป็นคำให้การที่ต้องรับฟังและสะท้อนข้อเท็จจริงว่า เรื่องนี้น่าจะไม่ใช่เรื่องส่วนตัว เพราะถ้าเป็นเรื่องส่วนตัวนายราเมศจะไม่นำข้อมูลดังกล่าวบอกเล่าให้นายแทนคุณรับทราบ
สอดคล้องกับสิ่งที่ “นายสมชาย โล่สถาพรพิพิธ” ส.ส.ตรัง พรรคประชาธิปัตย์ให้ความเห็นก่อนหน้านี้เอาไว้ว่า นายราเมศถูกข่มขู่คุกคามหลังจากที่ไปยื่นหนังสือต่อ พล.ต.อ.เพรียวพันธ์ ดามาพงศ์ อดีตผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติให้ดำเนินการทางวินัยต่อ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ กรณีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีและนักโทษหนีคดีติดยศให้
และสอดคล้องกับสิ่งที่ พล.ต.ต.ปริญญา จันทร์สุริยา รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลให้ข้อมูลในขณะเกิดเหตุว่า “ก่อนหน้าที่นายราเมศจะถูกทำร้ายเคยไปแจ้งความไว้ที่โรงพักแห่งหนึ่งว่าถูกติดตามดักทำร้ายร่างกาย”
มิใช่เป็นไปตามที่ พล.ต.ท.อิทธิพล พิริยะภิญโญ รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลชี้นำประเด็นเอาไว้ในเวลาถัดมาว่า “ประเด็นที่นายราเมศไปเรียกร้องให้ดำเนินการทางวิชัยกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์กรณีให้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรีติดยศให้นั้น เป็นเรื่องที่นานมาแล้ว มองว่าลักษณะคนร้าย 2 คนที่ก่อเหตุลงไปใช้เหล็กตี แต่ผิดสังเกตว่าคนขับรถต้องจอดรถจักรยานยนต์แล้วไปเตะซ้ำเหมือนกับว่ามีลักษณะโกรธแค้นกันมาก่อนหรือเปล่า”
มิใช่เป็นไปตามที่ ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี ชี้นำว่า “ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง”
กรณีข้อมูลที่ไม่ตรงกั้นระหว่างรองผู้บัญชาการตำรวจนครบาล 2 คน สะท้อนให้เห็นถึงเงื่อนงำแห่งคดีที่ซุกซ่อนอยู่ เพราะขณะที่รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลคนหนึ่งระบุว่า นายราเมศเคยไปแจ้งความเรื่องถูกดักติดตามทำร้าย รองผู้บัญชาการตำรวจนครบาลอีกคนหนึ่งกลับบอกว่า นายราเมศไม่เคยแจ้งความมาก่อน
อย่างไรก็ตาม ในวันที่ตำรวจอยู่ในยุค “มีวันนี้เพราะพี่ให้” สังคมมั่นใจเกือบจะร้อยเปอร์เซ็นต์ว่า คดีนี้จะเงียบหายไปทีละน้อย และถึงแม้ตำรวจจะจับวัยรุ่นที่ก่อเหตุได้ ก็มั่นใจอีกเช่นกันว่า จะไม่มีวันโยงใยถึง “ผู้สั่งการ” ที่อยู่เบื้องหลังคำสั่งอันโหดเหี้ยมเช่นนี้อย่างแน่นอน
ส่วนกรณี “นางพะเยาว์ อัคฮาด” ที่ใช้พฤติกรรมอันป่าเถื่อนบุกเข้าไปในงานวันสิทธิมนุษยชนสากล 10 ธันวาคม ประจำปี 2555 ก็ต้องว่า เหิมเกริมถึงขีดสุด เพราะมีจิตเจตนาที่จะทำให้งานดังกล่าวล่ม เนื่องจากไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหมบุกเข้ามาภายมาในตัวอาคารที่เป็นสถานที่จัดงาน ซึ่งขณะนั้นมีการแสดงหมอลำ ส่งผลให้การแสดงต้องหยุดลงชั่วขณะ และผู้ที่มาร่วมงานต่างพากันตกตะลึง เนื่องจากเหตุการณ์นี้ไม่ได้อยู่ในกำหนดการของงานที่วางไว้
ร้ายยิ่งกว่านั้นคือ กลุ่มคนเสื้อแดงยังได้นำหม้อดินปิดผ้ายันต์มามอบให้แพทย์หญิงคุณหญิงพรทิพย์ ในฐานะเป็นผู้พิสูจน์การเสียชีวิตในเหตุการณ์การชุมนุม และชูป้ายข้อความคัดค้านการมอบรางวัลให้พระมหาวุฒิชัย โดยอ้างว่าเป็นเจ้าของวลี “ฆ่าคนบาปน้อยกว่าฆ่าเวลา” พร้อมทั้งได้มอบฟัก ที่สะกดอักษรเป็นภาษาอังกฤษว่า Fuck ให้นายแพทย์นิรันดร์ พิทักษ์วัชระ รวมถึงได้มอบรูปปั้นเณร ให้ผู้ที่ได้รับรางวัลในงาน
เรียกว่า ไม้เว้นแม้กระทั่งพระสงฆ์ที่คนเคารพนับถือในศรัทปสาทะทั่วบ้านทั่วเมืองอย่าง ว.วชริเมธีก็ยังโดนเล่นงานอย่างไม่เกรงกลัวบาปกรรม
พฤติกรรมดังกล่าวทั้ง 2 เหตุการณ์ ถ้าจะว่าไปแล้วไม่ต่างอะไรกับ “กองกำลังเรดการ์ด” ที่จัดตั้งขึ้นในยุค “เหมา เจ๋อ ตุง” และการปฏิวัติวัฒนธรรม ซึ่งพร้อมประหัตประหารศัตรูทางการเมืองของเหมาให้พินาศย่อยยับ
แถมเป็นกองกำลังเรดการ์ดที่มีทั้งในรูปแบบของกองกำลังนอกกฎหมายและกองกำลังที่ถูกกฎหมายอีกต่างหาก
ทั้งนี้ ถ้าจะว่าไปแล้ว ก็ไม่ใช่เรื่องที่น่าแปลกใจอะไรนัก เพราะก่อนหน้านี้คนเสื้อแดงได้สำแดงพฤติกรรมทำนองมาโดยตลอด ทั้งการบุกล้มเวทีประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนที่พัทยา การที่นายขวัญชัย ไพรพนา แกนนำแดงอุดรที่ยกพลไปตีพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยขณะจัดเวทีที่สวนสาธารณะหนองประจักษ์ฯ จังหวัดอุดรธานี กรณี “โกตี๋ เสื้อแดงปทุม” ที่ยกขบวนไปตั้งใจหาเรื่องเครือข่ายประชาชนที่เดินทางไปให้กำลังใจครูที่ถูกนางดารณี กฤตบุญญาลัยแจ้งความดำเนินคดี หรือแม้กระทั่งเผาบ้านเผาเมืองในการชุมนุมที่ราชประสงค์ก็ทำมาแล้ว
เพียงแต่ว่า ขณะนั้น คนเสื้อแดงยังไม่มีรัฐบาลที่เถลิงอำนาจปกครองประเทศเท่านั้น
และเมื่อพวกเขาสามารถส่งรัฐบาลของตนเองบริหารราชการแผ่นดินได้เป็นผลสำเร็จ พวกเขาก็ไม่เกรงกลัวที่จะเปิดศึกกับศัตรูทางการเมือง
ยิ่งกองกำลังเรดการ์ดที่ถูกกฎหมายด้วยแล้ว ยิ่งน่ากลัว เพราะขนาดเป็นฝ่ายค้านก็ยังให้การช่วยเหลือเล่นงานศัตรูของระบอบทักษิณอย่างออกนอกหน้า เมื่อมีอำนาจของรัฐบาลคุ้มกะลาหัว พวกเขาก็ยิ่งไม่เกรงกลัวอีกต่อไป
เวลานี้ ประเทศไทยจึงเต็มไปด้วยตำรวจมะเขือเทศ ทหารแตงโม ผู้ว่าราชการจังหวัดชาเย็น อัยการหมวกแดง และอีกสารพัดสารพันที่พร้อมจะสู้ตายถวายชีวิตให้ เพราะพวกเขาประจักษ์แก่ใจแล้วว่า ประมุขรัฐไทยใหม่จะตบรางวัลอย่างสาแก่ใจให้ข้าทาสผู้จงรักภักดี ทั้งในรูปของทรัพย์สิน เงินทอง สัมปทานและตำแหน่งที่ปรารถนา