**ข่าว ราเมศ รัตนะเชวง ทีมกฎหมายและรองโฆษกพรรคประชาธิปัตย์ ถูกของมีคม ตีเข้าที่ศีรษะระหว่างกลับเข้าที่พัก ในระหว่างการสัมมนาพรรคที่หัวหินอย่างแรง โดยเฉพาะ นายหัวชวน หลีกภัย ซึ่งเป็นผู้เห็นแววความเป็นเพชรของราเมศ และนำมาเจียระไน ทำงานให้พรรคถึงกับโทรเช็กอาการทุกๆ 1 ชั่วโมง
ในขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคในฐานะที่บิดา มารดา เป็นหมอ ก็เร่งช่วยประสานเกี่ยวกับเรื่องโรงพยาบาล โดยสุดท้ายก็ย้ายจากโรงพยาบาลบางนา 1 ไปยังโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ขณะนี้จากที่โคม่าถึงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ก็สามารถถอดออกได้แล้ว แต่สภาพของราเมศ ก็ยังเรียกว่าสาหัส ที่สำคัญ คือไม่รู้ว่าสมองกระทบกระเทือนอะไรบ้าง และเมื่อเขาหายดีแล้ว จะกลับมาเป็น ราเมศ รัตนะเชวง คนเดิมหรือไม่
นี่คือสิ่งที่แกนนำพรรคมีความเป็นห่วง เพราะราเมศ ถือเป็นบุคคลที่ทุ่มเททำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของนายหัวชวน เลยก็ว่าได้ คดีสำคัญๆ ของพรรคผ่านสายตาราเมศ เกือบทุกคดี
โดยในระยะหลัง ราเมศ ยังเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น นอกเหนือจากการทำงานด้านกฎหมายเพียงอย่างเดียว ด้วยการทำหน้าที่ตรวจสอบ และเป็นทนายในคดีการเมืองให้กับทีมสายล่อฟ้า และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
**แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยทำให้เขาถูกประกบติดตามตามตัวจนรู้สึกไม่ปลอดภัยมาก่อน จนกระทั่งเขามาจับเรื่องร้อน “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ที่เกี่ยวพันกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
กรณีเดินทางไปฮ่องกง ให้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ประดับยศ พล.ต.ท.ให้ แถมท้ายด้วยป้ายติดประจานตัวเองความว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม อย่างชัดแจ้ง ที่ตำรวจไปให้โจรประดับยศ
หากสังคมไทยในยุคกระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจมนั้น ได้มีความพยายามจะสร้างค่านิยมใหม่ให้คนหนีคดีที่มีอำนาจเหนือรัฐบาล เหนือรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมไทย จากพฤติกรรมของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่สร้างราคาให้นักโทษ กลายเป็นนายเหนือหัว
ไม่มีความละอายจนถึงขั้นพูดชัดเจนว่า เลือกข้างการเมืองอย่างโจ่งแจ้ง ระบุชัด จะลาออกจากการเป็นตำรวจ หากมีการพลิกขั้วรัฐบาล ซึ่งน่าประหลาดใจอย่างยิ่งว่า หากพล.ต.ท.คำรณวิทย์ มีจิตใจแน่วแน่ต่อนายใหญ่จริง น่าจะลาออกจากการเป็นตำรวจที่กินภาษีประชาชน ตั้งแต่ช่วงที่มีการพลิกขั้ว อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีนานถึง 2 ปี 8 เดือนไปแล้ว
แต่ตอนนั้น ความกร่างไม่มี ใช้วิธีวิ่งเต้นเข้าบ้านเตี้ยห้าสั้น แถวจรัญสนิทวงศ์ รักษาตำแหน่งของตัวเองอย่างเดียว จนทำให้จังหวัดปทุมธานี กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนของคนเสื้อแดง ในช่วงปี 2553 โดยมีตำรวจคอยอำนวยความสะดวกอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่พี่น้องชาวปทุมธานี จะตาสว่างบอยคอยพรรคเผาไทย จนแพ้เลือกตั้งทั้ง ส.ส. และนายกอบจ.
นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า อำนาจรัฐเพียงอย่างเดียวหากใช้อย่างไม่ถูกต้อง ละทิ้งประชาชนในยามที่พวกเขายากลำบาก ทนทุกข์กลางน้ำนานหลายเดือนโดยรัฐบาล และ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ไม่เหลียวแล สิ่งที่จะได้รับคือ บทลงโทษจากประชาชนด้วยการทวงอำนจคืน
แต่ดูเหมือนว่า รัฐบาลชุดนี้จะมิได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทย กำลังถอยห่างออกจากประชาชนไปทีละน้อย ๆ จากความเหิมเกริม บ้าอำนาจ ทุจริต คอร์รัปชัน ไม่สนใจปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน มุ่งแต่จะช่วยล้างผิดให้พี่ชายนายกฯ พ้นมลทินในทุกคดี
ล้วนนำมาซึ่งความเสื่อมของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนถึงขนาดวันนี้ รัฐบาล 15 ล้านเสียง ไม่กล้าที่จะทำประชามติ เพราะกลัวแพ้
**แทนที่รัฐบาลจะหันมาทบทวนตัวเอง ดูแลชาติบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม แต่กลับปฏิบัติสองมาตรฐาน หรืออาจจะเรียกได้ว่า ไร้มาตรฐานโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะการทำงานของไพร่สีกากี ตั้งแต่การดูแลผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลด้วยแก๊สน้ำตาหมดอายุ แถม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ยังกล้าพูดด้านๆ ว่า “การใช้แก๊สน้ำตาก่อนฉีดน้ำนั้น เป็นกระบวนการตามหลักสากล”
แต่ในวันที่เป็นผู้บัญชาการสถานการณ์ดูแลการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนปี 2552 ไม่มีแก๊สน้ำตาสักกระบอกเดียวโยนใส่ผู้ชุมนุมที่มี "ไอ้กี้ร์" อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เป็นแกนนำบุกเข้าไปล้มการประชุมอาเซียนลงอย่างไม่เป็นท่า
สร้างความอับอายให้กับไทยไปทั่วโลก แต่มีคนเห็นผู้บัญชาสถานการณ์ที่ควรจะเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไปดื่มไวน์ฉลองชัยบนความพินาศของชาติบ้านเมือง จึงไม่น่าแปลกกับตำแหน่ง ผบ.ตร. ที่ได้ในวันนี้ เมื่อตำรวจกลายเป็นกองกำลังติดอาวุธที่ถูกกฎหมายของรัฐบาล อะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้
คดีของราเมศ ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจยิ่ง และมีนัยยะมากกว่าเพียงแค่การทำร้ายร่างกายเพื่อหมายชีวิตเท่านั้น เพราะถ้าต้องการเอาวิญญาณออกจากร่างก็ทำได้ง่าย ๆ ด้วยกระสุนนัดเดียวก็จบ แต่สิ่งที่คนร้ายทำ มีความโหดเหี้ยมมากกว่านั้น คือ การใช้ของมีคม ฟาดเข้าไปที่ศีรษะ ชนิดที่ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
**เปรียบเสมือนต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู ทำให้อาณาจักรแห่งความกลัวแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วประเทศไทย
เป็นการคุกคามคนเห็นต่างให้เกิดความกลัว ไม่กล้าลุกขึ้นมาตรวจสอบ ไม่แตกต่างจากบรรยากาศในยุคเผด็จการครองเมือง แถม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ก็ยังออกชี้นำว่า ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่ชัดเจนว่า “ไม่เพียงเกี่ยวกับการเมือง แต่เกี่ยวกับคนมีสีด้วย”
เพราะกำจัดราเมศ คนเดียว ก็เหมือนยิงนัดเดียวได้นกสองตัว คือใครบางคนได้คลายความแค้น ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เสียแขนขวาฝีมือดี ที่เป็นกำลังหลักในการทำคดีให้กับพรรค และหัวหน้าพรรค
อย่างไรก็ตาม เมื่อตำรวจยังกินภาษีประชาชน และหน้าที่คือ พิทักษ์สันติราษฎร์ สิ่งที่ ผบ.ตร. ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ พักงาน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เอาไว้ก่อน หรือย้ายให้ไปอยู่ในส่วนที่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้ เพราะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ถือเป็นคู่กรณีกับนายราเมศ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย
**เพราะวันนี้ใครๆเขาก็มั่นใจว่า ราเมศ “มีวันนี้ เพราะแจ๊ดให้”
ในขณะที่ อภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคในฐานะที่บิดา มารดา เป็นหมอ ก็เร่งช่วยประสานเกี่ยวกับเรื่องโรงพยาบาล โดยสุดท้ายก็ย้ายจากโรงพยาบาลบางนา 1 ไปยังโรงพยาบาลบำรุงราษฎร์
ขณะนี้จากที่โคม่าถึงต้องใส่เครื่องช่วยหายใจ ก็สามารถถอดออกได้แล้ว แต่สภาพของราเมศ ก็ยังเรียกว่าสาหัส ที่สำคัญ คือไม่รู้ว่าสมองกระทบกระเทือนอะไรบ้าง และเมื่อเขาหายดีแล้ว จะกลับมาเป็น ราเมศ รัตนะเชวง คนเดิมหรือไม่
นี่คือสิ่งที่แกนนำพรรคมีความเป็นห่วง เพราะราเมศ ถือเป็นบุคคลที่ทุ่มเททำงานให้พรรคประชาธิปัตย์ จนอาจเรียกได้ว่าเป็นมือขวาของนายหัวชวน เลยก็ว่าได้ คดีสำคัญๆ ของพรรคผ่านสายตาราเมศ เกือบทุกคดี
โดยในระยะหลัง ราเมศ ยังเข้ามามีบทบาททางการเมืองมากขึ้น นอกเหนือจากการทำงานด้านกฎหมายเพียงอย่างเดียว ด้วยการทำหน้าที่ตรวจสอบ และเป็นทนายในคดีการเมืองให้กับทีมสายล่อฟ้า และหัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์
**แต่สิ่งเหล่านั้นไม่เคยทำให้เขาถูกประกบติดตามตามตัวจนรู้สึกไม่ปลอดภัยมาก่อน จนกระทั่งเขามาจับเรื่องร้อน “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ที่เกี่ยวพันกับ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ธูปกระจ่าง ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
กรณีเดินทางไปฮ่องกง ให้นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ประดับยศ พล.ต.ท.ให้ แถมท้ายด้วยป้ายติดประจานตัวเองความว่า “มีวันนี้เพราะพี่ให้” ซึ่งถือเป็นการกระทำที่ผิดจริยธรรม อย่างชัดแจ้ง ที่ตำรวจไปให้โจรประดับยศ
หากสังคมไทยในยุคกระเบื้องเฟื่องฟูลอย น้ำเต้าน้อยจะถอยจมนั้น ได้มีความพยายามจะสร้างค่านิยมใหม่ให้คนหนีคดีที่มีอำนาจเหนือรัฐบาล เหนือรัฐธรรมนูญ อยู่เหนือกฎหมาย และกระบวนการยุติธรรมไทย จากพฤติกรรมของผู้มีอำนาจในบ้านเมืองที่สร้างราคาให้นักโทษ กลายเป็นนายเหนือหัว
ไม่มีความละอายจนถึงขั้นพูดชัดเจนว่า เลือกข้างการเมืองอย่างโจ่งแจ้ง ระบุชัด จะลาออกจากการเป็นตำรวจ หากมีการพลิกขั้วรัฐบาล ซึ่งน่าประหลาดใจอย่างยิ่งว่า หากพล.ต.ท.คำรณวิทย์ มีจิตใจแน่วแน่ต่อนายใหญ่จริง น่าจะลาออกจากการเป็นตำรวจที่กินภาษีประชาชน ตั้งแต่ช่วงที่มีการพลิกขั้ว อภิสิทธิ์ เป็นนายกรัฐมนตรีนานถึง 2 ปี 8 เดือนไปแล้ว
แต่ตอนนั้น ความกร่างไม่มี ใช้วิธีวิ่งเต้นเข้าบ้านเตี้ยห้าสั้น แถวจรัญสนิทวงศ์ รักษาตำแหน่งของตัวเองอย่างเดียว จนทำให้จังหวัดปทุมธานี กลายเป็นบ้านป่าเมืองเถื่อนของคนเสื้อแดง ในช่วงปี 2553 โดยมีตำรวจคอยอำนวยความสะดวกอยู่ช่วงเวลาหนึ่ง ก่อนที่พี่น้องชาวปทุมธานี จะตาสว่างบอยคอยพรรคเผาไทย จนแพ้เลือกตั้งทั้ง ส.ส. และนายกอบจ.
นั่นย่อมแสดงให้เห็นว่า อำนาจรัฐเพียงอย่างเดียวหากใช้อย่างไม่ถูกต้อง ละทิ้งประชาชนในยามที่พวกเขายากลำบาก ทนทุกข์กลางน้ำนานหลายเดือนโดยรัฐบาล และ ส.ส.ของพรรคเพื่อไทย ไม่เหลียวแล สิ่งที่จะได้รับคือ บทลงโทษจากประชาชนด้วยการทวงอำนจคืน
แต่ดูเหมือนว่า รัฐบาลชุดนี้จะมิได้เรียนรู้จากประสบการณ์ที่สะท้อนให้เห็นว่า พรรคเพื่อไทย กำลังถอยห่างออกจากประชาชนไปทีละน้อย ๆ จากความเหิมเกริม บ้าอำนาจ ทุจริต คอร์รัปชัน ไม่สนใจปัญหาความเดือดร้อนของพี่น้องประชาชน มุ่งแต่จะช่วยล้างผิดให้พี่ชายนายกฯ พ้นมลทินในทุกคดี
ล้วนนำมาซึ่งความเสื่อมของรัฐบาลอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ จนถึงขนาดวันนี้ รัฐบาล 15 ล้านเสียง ไม่กล้าที่จะทำประชามติ เพราะกลัวแพ้
**แทนที่รัฐบาลจะหันมาทบทวนตัวเอง ดูแลชาติบ้านเมืองด้วยความเป็นธรรม แต่กลับปฏิบัติสองมาตรฐาน หรืออาจจะเรียกได้ว่า ไร้มาตรฐานโดยสิ้นเชิง โดยเฉพาะการทำงานของไพร่สีกากี ตั้งแต่การดูแลผู้ชุมนุมที่ต่อต้านรัฐบาลด้วยแก๊สน้ำตาหมดอายุ แถม พล.ต.อ.อดุลย์ แสงสิงแก้ว ผบ.ตร. ยังกล้าพูดด้านๆ ว่า “การใช้แก๊สน้ำตาก่อนฉีดน้ำนั้น เป็นกระบวนการตามหลักสากล”
แต่ในวันที่เป็นผู้บัญชาการสถานการณ์ดูแลการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียนปี 2552 ไม่มีแก๊สน้ำตาสักกระบอกเดียวโยนใส่ผู้ชุมนุมที่มี "ไอ้กี้ร์" อริสมันต์ พงษ์เรืองรอง เป็นแกนนำบุกเข้าไปล้มการประชุมอาเซียนลงอย่างไม่เป็นท่า
สร้างความอับอายให้กับไทยไปทั่วโลก แต่มีคนเห็นผู้บัญชาสถานการณ์ที่ควรจะเสียใจต่อเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ไปดื่มไวน์ฉลองชัยบนความพินาศของชาติบ้านเมือง จึงไม่น่าแปลกกับตำแหน่ง ผบ.ตร. ที่ได้ในวันนี้ เมื่อตำรวจกลายเป็นกองกำลังติดอาวุธที่ถูกกฎหมายของรัฐบาล อะไรจะเกิดขึ้นกับบ้านเมืองนี้
คดีของราเมศ ถือเป็นการกระทำที่อุกอาจยิ่ง และมีนัยยะมากกว่าเพียงแค่การทำร้ายร่างกายเพื่อหมายชีวิตเท่านั้น เพราะถ้าต้องการเอาวิญญาณออกจากร่างก็ทำได้ง่าย ๆ ด้วยกระสุนนัดเดียวก็จบ แต่สิ่งที่คนร้ายทำ มีความโหดเหี้ยมมากกว่านั้น คือ การใช้ของมีคม ฟาดเข้าไปที่ศีรษะ ชนิดที่ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต
**เปรียบเสมือนต้องการเชือดไก่ให้ลิงดู ทำให้อาณาจักรแห่งความกลัวแผ่ขยายปกคลุมไปทั่วประเทศไทย
เป็นการคุกคามคนเห็นต่างให้เกิดความกลัว ไม่กล้าลุกขึ้นมาตรวจสอบ ไม่แตกต่างจากบรรยากาศในยุคเผด็จการครองเมือง แถม ร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกฯ ก็ยังออกชี้นำว่า ประเด็นนี้ไม่เกี่ยวกับการเมือง ทั้งที่ชัดเจนว่า “ไม่เพียงเกี่ยวกับการเมือง แต่เกี่ยวกับคนมีสีด้วย”
เพราะกำจัดราเมศ คนเดียว ก็เหมือนยิงนัดเดียวได้นกสองตัว คือใครบางคนได้คลายความแค้น ขณะที่พรรคประชาธิปัตย์ เสียแขนขวาฝีมือดี ที่เป็นกำลังหลักในการทำคดีให้กับพรรค และหัวหน้าพรรค
อย่างไรก็ตาม เมื่อตำรวจยังกินภาษีประชาชน และหน้าที่คือ พิทักษ์สันติราษฎร์ สิ่งที่ ผบ.ตร. ต้องทำเป็นอันดับแรกคือ พักงาน พล.ต.ท.คำรณวิทย์ เอาไว้ก่อน หรือย้ายให้ไปอยู่ในส่วนที่ไม่สามารถเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐานได้ เพราะ พล.ต.ท.คำรณวิทย์ ถือเป็นคู่กรณีกับนายราเมศ ซึ่งเป็นผู้เสียหาย
**เพราะวันนี้ใครๆเขาก็มั่นใจว่า ราเมศ “มีวันนี้ เพราะแจ๊ดให้”