วานนี้ (21ธ.ค.) นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย ได้เข้ายื่นหนังสือถึง นายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อขอให้ตรวจสอบดำเนินคดีต่อผู้กระทำความผิด กรณีการระบายข้าวสารในสต็อกของรัฐบาลสมัย นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ เป็นนายกรัฐมนตรี โดยพรรคเพื่อไทยขอให้ดีเอสไอ ตรวจสอบประเด็นการกระทำผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐ (ฮั้วประมูล) เนื่องจากพบว่า ในช่วงที่มีการระบายข้าวของรัฐบาลช่วงปี 2552-2553 มีการดำเนินการไม่เปิดเผย ไม่มีการเปิดประมูล และเอื้อประโยชน์ให้กับเอกชนเพียง 9 ราย ขณะที่บริษัทเอกชนที่ขึ้นทะเบียนกับกระทรวงพาณิชย์ จำนวน 317 บริษัท กลับไม่รับทราบข้อมูล ซึ่งถือเป็นการกีดกันการแข่งขันผู้ประกอบการรายอื่นไม่ให้มีการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบในการจำหน่ายเกินอำนาจ โดยมีการให้จำหน่ายเกินกว่าครั้งละ 100,000 ตัน แต่กลับมีการจำหน่ายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด โดยกรณีดังกล่าว คาดว่ามีมูลค่าความเสียหายกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งการตรวจสอบพบบางบริษัทที่ได้ประโยชน์มีความเชื่อมโยงกับนักการเมือง ตนจึงได้มอบเอกสารหลักฐานพร้อมรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง มาประกอบการพิจารณาของดีเอสไอ ด้วย
ด้านนายธาริต กล่าวว่า ดีเอสไอ จะรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา เนื่องจากก่อนหน้านี้ดีเอสไอ ได้มอบหมายให้สำนักคดีความมั่นคง ตรวจสอบกรณีทุจริตการรับจำนำข้าวอยู่แล้ว ซึ่งเบื้องต้นพบมีข้อมูลความผิดปกติบางส่วน แต่ ดีเอสไอ จะต้องตรวจสอบให้ครบทุกประเด็นที่ถูกร้องว่า มีการกระทำผิดหรือไม่ หากพบการกระทำผิดตามพ.ร.บ.ฮั้วประมูล ดีเอสไอ มีอำนาจรับไว้สอบสวนทันที โดยไม่ต้องนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหนังสือคำร้องของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นให้ดีเอสไอ ตรวจสอบการระบายข้าวครั้งนี้ ระบุว่า การระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลในช่วงปี52- 53 ทำเป็นความลับ ไม่เปิดประมูลเป็นการทั่วไป มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการเพียงบางราย เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายอื่นไม่ให้มีการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม มีการอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบในการจำหน่ายโดยมิชอบ และจำหน่ายในราคาต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ อันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือ ฮั้วประมูล และความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1 .เมื่อวันที่ 18 พ.ค.53 ครม. มีมติรับทราบมติกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยเห็นชอบในหลักการให้ระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล ในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยให้ระบายไปยังตลาดต่างประเทศ ที่นอกเหนือตลาดปกติของผู้ส่งออกข้าว และให้รมว.พาณิชย์ เป็นผู้พิจารณาจำหน่ายข้าวสาร ในรูปแบบจีทูจี ด้วยความระมัดระวัง มิให้กระทบต่อระบบตลาด ครั้งละไม่เกิน 300,000 ตัน และจำหน่ายแก่เอกชนเพื่อการส่งออกจำนวนไม่เกิน 100,000 ตัน แล้วรายงานให้กขช. ทราบก่อนลงนามสัญญากับคู่สัญญาต่อไป
2 .เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 53 ครม.ได้มีมติรับทราบกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินการระบายข้าว ตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาลที่ กขช.เสนอ และเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการระบายข้าว กำหนดหลักเกณฑ์และกรอบยุทธศาสตร์ รวมถึงปริมาณการจำหน่าย ด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาวะราคาตลาด และให้คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร เป็นผู้ดำเนินการและนำเสนอประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารพิจารณาอนุมัติ แล้วเสนอประธานกขช. หรือรองประธานกขช. พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนลงนามสัญญา โดยมีข้อสังเกตว่า มติครม. 29 มิ.ย. 53 ได้แก้ไขมติครม. วันที่ 18 พ.ค. 53 ในประเด็นสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบจำหน่ายข้าวในสต็อกรัฐบาล จากคณะกรรมการ กขช. เป็นประธาน หรือ รองประธาน กขช.
3 .ระหว่างเดือน ก.ค.-ธ.ค. 53 ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการระบายข้าวจากเดิม มาเป็นการให้เอกชนผู้ส่งออก ที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศในปริมาณมาก ยื่นคำเสนอขอซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล โดยไม่มีการออกประกาศเชิญชวน เนื่องจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ในฐานะรองประธาน กขช. ระบุว่า การจำหน่ายข้าวในสต็อก ต้องทำเป็นความลับ ทั้งนี้เมื่อเอกชนผู้ส่งออกข้าวยื่นคำขอซื้อแล้ว คณะทำงานพิจารณาระบายข้าว จะนำเสนอผลการเจรจาให้รมว.พาณิชย์ อนุมัติแล้วเสนอรองประธาน กขช. ให้ความเห็นชอบ จากนั้นอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จะมีหนังสือแจ้งให้เอกชนที่ผ่านการพิจารณาเข้าทำสัญญากับ อตก.หรือ อคส. โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องส่งออกข้าวไปต่างประเทศภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีเอกชนเข้าทำสัญญาเพียง 9 ราย จากจำนวนผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจำนวน 317 ราย โดยที่ผู้ส่งออกรายอื่น ไม่ได้รับสิทธิเป็นคู่สัญญาเนื่องจากไม่ทราบเรื่อง ซึ่งวิธีการดังกล่าวมีปริมาณข้าวที่ระบายออกจากสต็อกจำนวน 4,126,656 ตัน คิดเป็นมูลค่า 53,070,216,395 บาท
4 .ราคาจำหน่ายข้าวขาว ชนิด 5% ที่จำหน่ายจากวิธีระบายข้าวดังกล่าว มีราคาเฉลี่ยตันละ 12,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 10 % และต่ำกว่าราคาที่ควรจะขาย โดยมีราคาต่างจากการระบายข้าวของรัฐบาลปัจจุบันตันละ 4,300 บาท จึงก่อให้เกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท 5 .การที่กขช.และครม.กำหนดนโยบายระบายข้าวโดยปล่อยให้มีการใช้วิธีระบายโดยให้เอกชนที่มีคำสั่งซื้อในปริมาณมากยื่นคำเสนอขอซื้อในสต็อกรัฐบาล เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวสามารถเลือกช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ได้โดยง่าย แม้จะกำหนดให้เป็นการขายแบบจีทูจี แต่ท้ายที่สุดไม่ได้มีการขายแบบจีทูจี แต่ขายให้เอกชนในประเทศเพื่อส่งออกแทน นอกจากนี้ในการทำสัญญามีการจำหน่ายข้าวมากกว่าสัญญาละ 100,000 ตัน ซึ่งไม่ตรงตามมติกขช.และมติครม. จึงเป็นการดำเนินการที่เกินอำนาจ
6 . พบว่าไม่มีการตรวจสอบคำสั่งซื้อข้าวของเอกชน เป็นผลให้เอกชนหลายรายที่เป็นคู่สัญญาไม่ส่งออกข้าวออกนอกประเทศภายในเวลาที่กำหนด มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 25% ของสัญญาส่งออกข้าว และมีการคืนหลักประกันเนื่องจากเอกสารการส่งออกไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย 7 .มีการจำหน่ายข้าวให้กับหนองลังกาฟาร์ม โดยทำสัญญาในนาม น.ส.เสาวลักษณ์ เย็นใส โดยน.ส.เสาวลักษณ์เป็นลูกจ้างของนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ โดยเมื่อได้รับข้าวสารแล้วได้นำส่งให้บริษัทกาญจนาอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นบริษัทของนางบุญยิ่ง โดยมีข้อสังเกตว่ามีการจำหน่ายในราคาถูกมากเพียง กิโลกรัมละ 5.50 บาท ต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ในราคากก. ละ 500 บาท ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐมากกว่า 40 ล้านบาท
นอกจากนี้ ยังพบว่ามีการอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบในการจำหน่ายเกินอำนาจ โดยมีการให้จำหน่ายเกินกว่าครั้งละ 100,000 ตัน แต่กลับมีการจำหน่ายในราคาต่ำกว่าท้องตลาด โดยกรณีดังกล่าว คาดว่ามีมูลค่าความเสียหายกว่า 15,000 ล้านบาท ซึ่งการตรวจสอบพบบางบริษัทที่ได้ประโยชน์มีความเชื่อมโยงกับนักการเมือง ตนจึงได้มอบเอกสารหลักฐานพร้อมรายชื่อบุคคลที่เกี่ยวข้อง มาประกอบการพิจารณาของดีเอสไอ ด้วย
ด้านนายธาริต กล่าวว่า ดีเอสไอ จะรับเรื่องดังกล่าวไว้พิจารณา เนื่องจากก่อนหน้านี้ดีเอสไอ ได้มอบหมายให้สำนักคดีความมั่นคง ตรวจสอบกรณีทุจริตการรับจำนำข้าวอยู่แล้ว ซึ่งเบื้องต้นพบมีข้อมูลความผิดปกติบางส่วน แต่ ดีเอสไอ จะต้องตรวจสอบให้ครบทุกประเด็นที่ถูกร้องว่า มีการกระทำผิดหรือไม่ หากพบการกระทำผิดตามพ.ร.บ.ฮั้วประมูล ดีเอสไอ มีอำนาจรับไว้สอบสวนทันที โดยไม่ต้องนำเสนอเข้าที่ประชุมคณะกรรมการคดีพิเศษ (กคพ.)
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับหนังสือคำร้องของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่ยื่นให้ดีเอสไอ ตรวจสอบการระบายข้าวครั้งนี้ ระบุว่า การระบายข้าวสารในสต็อกรัฐบาลในช่วงปี52- 53 ทำเป็นความลับ ไม่เปิดประมูลเป็นการทั่วไป มีการเอื้อประโยชน์ให้แก่ผู้ประกอบการเพียงบางราย เป็นการกีดกันผู้ประกอบการรายอื่นไม่ให้มีการเสนอราคาอย่างเป็นธรรม มีการอนุมัติหรือให้ความเห็นชอบในการจำหน่ายโดยมิชอบ และจำหน่ายในราคาต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ทางราชการ อันเป็นการกระทำที่เข้าข่ายความผิดตาม พ.ร.บ.ว่าด้วยความผิดเกี่ยวกับการเสนอราคาต่อหน่วยงานของรัฐหรือ ฮั้วประมูล และความผิดฐานทุจริตต่อหน้าที่หรือกระทำผิดต่อตำแหน่งหน้าที่ราชการ โดยมีรายละเอียดดังนี้
1 .เมื่อวันที่ 18 พ.ค.53 ครม. มีมติรับทราบมติกรรมการนโยบายข้าวแห่งชาติ (กขช.) โดยเห็นชอบในหลักการให้ระบายข้าวในสต็อกของรัฐบาล ในรูปแบบรัฐบาลต่อรัฐบาล โดยให้ระบายไปยังตลาดต่างประเทศ ที่นอกเหนือตลาดปกติของผู้ส่งออกข้าว และให้รมว.พาณิชย์ เป็นผู้พิจารณาจำหน่ายข้าวสาร ในรูปแบบจีทูจี ด้วยความระมัดระวัง มิให้กระทบต่อระบบตลาด ครั้งละไม่เกิน 300,000 ตัน และจำหน่ายแก่เอกชนเพื่อการส่งออกจำนวนไม่เกิน 100,000 ตัน แล้วรายงานให้กขช. ทราบก่อนลงนามสัญญากับคู่สัญญาต่อไป
2 .เมื่อวันที่ 29 มิ.ย. 53 ครม.ได้มีมติรับทราบกรอบยุทธศาสตร์การดำเนินการระบายข้าว ตามโครงการแทรกแซงของรัฐบาลที่ กขช.เสนอ และเห็นชอบให้คณะอนุกรรมการระบายข้าว กำหนดหลักเกณฑ์และกรอบยุทธศาสตร์ รวมถึงปริมาณการจำหน่าย ด้วยความระมัดระวัง โดยคำนึงถึงผลกระทบต่อภาวะราคาตลาด และให้คณะทำงานดำเนินการระบายข้าวสาร เป็นผู้ดำเนินการและนำเสนอประธานคณะอนุกรรมการพิจารณาระบายข้าวสารพิจารณาอนุมัติ แล้วเสนอประธานกขช. หรือรองประธานกขช. พิจารณาให้ความเห็นชอบ ก่อนลงนามสัญญา โดยมีข้อสังเกตว่า มติครม. 29 มิ.ย. 53 ได้แก้ไขมติครม. วันที่ 18 พ.ค. 53 ในประเด็นสำคัญ คือ การเปลี่ยนแปลงผู้มีอำนาจในการให้ความเห็นชอบจำหน่ายข้าวในสต็อกรัฐบาล จากคณะกรรมการ กขช. เป็นประธาน หรือ รองประธาน กขช.
3 .ระหว่างเดือน ก.ค.-ธ.ค. 53 ได้ปรับเปลี่ยนวิธีการระบายข้าวจากเดิม มาเป็นการให้เอกชนผู้ส่งออก ที่มีคำสั่งซื้อจากต่างประเทศในปริมาณมาก ยื่นคำเสนอขอซื้อข้าวสารในสต็อกรัฐบาล โดยไม่มีการออกประกาศเชิญชวน เนื่องจากนายไตรรงค์ สุวรรณคีรี รองนายกฯ ในฐานะรองประธาน กขช. ระบุว่า การจำหน่ายข้าวในสต็อก ต้องทำเป็นความลับ ทั้งนี้เมื่อเอกชนผู้ส่งออกข้าวยื่นคำขอซื้อแล้ว คณะทำงานพิจารณาระบายข้าว จะนำเสนอผลการเจรจาให้รมว.พาณิชย์ อนุมัติแล้วเสนอรองประธาน กขช. ให้ความเห็นชอบ จากนั้นอธิบดีกรมการค้าต่างประเทศ จะมีหนังสือแจ้งให้เอกชนที่ผ่านการพิจารณาเข้าทำสัญญากับ อตก.หรือ อคส. โดยมีเงื่อนไขว่า จะต้องส่งออกข้าวไปต่างประเทศภายในเวลาที่กำหนดเท่านั้น ซึ่งในช่วงเวลาดังกล่าวมีเอกชนเข้าทำสัญญาเพียง 9 ราย จากจำนวนผู้ส่งออกที่ขึ้นทะเบียนถูกต้องตามกฎหมายจำนวน 317 ราย โดยที่ผู้ส่งออกรายอื่น ไม่ได้รับสิทธิเป็นคู่สัญญาเนื่องจากไม่ทราบเรื่อง ซึ่งวิธีการดังกล่าวมีปริมาณข้าวที่ระบายออกจากสต็อกจำนวน 4,126,656 ตัน คิดเป็นมูลค่า 53,070,216,395 บาท
4 .ราคาจำหน่ายข้าวขาว ชนิด 5% ที่จำหน่ายจากวิธีระบายข้าวดังกล่าว มีราคาเฉลี่ยตันละ 12,000 บาท ซึ่งต่ำกว่าราคาตลาดมากกว่า 10 % และต่ำกว่าราคาที่ควรจะขาย โดยมีราคาต่างจากการระบายข้าวของรัฐบาลปัจจุบันตันละ 4,300 บาท จึงก่อให้เกิดความเสียหายไม่ต่ำกว่า 15,000 ล้านบาท 5 .การที่กขช.และครม.กำหนดนโยบายระบายข้าวโดยปล่อยให้มีการใช้วิธีระบายโดยให้เอกชนที่มีคำสั่งซื้อในปริมาณมากยื่นคำเสนอขอซื้อในสต็อกรัฐบาล เป็นการเปิดโอกาสให้ผู้เกี่ยวข้องกับการระบายข้าวสามารถเลือกช่องทางแสวงหาผลประโยชน์ได้โดยง่าย แม้จะกำหนดให้เป็นการขายแบบจีทูจี แต่ท้ายที่สุดไม่ได้มีการขายแบบจีทูจี แต่ขายให้เอกชนในประเทศเพื่อส่งออกแทน นอกจากนี้ในการทำสัญญามีการจำหน่ายข้าวมากกว่าสัญญาละ 100,000 ตัน ซึ่งไม่ตรงตามมติกขช.และมติครม. จึงเป็นการดำเนินการที่เกินอำนาจ
6 . พบว่าไม่มีการตรวจสอบคำสั่งซื้อข้าวของเอกชน เป็นผลให้เอกชนหลายรายที่เป็นคู่สัญญาไม่ส่งออกข้าวออกนอกประเทศภายในเวลาที่กำหนด มีจำนวนไม่ต่ำกว่า 25% ของสัญญาส่งออกข้าว และมีการคืนหลักประกันเนื่องจากเอกสารการส่งออกไม่ครบถ้วน ทำให้รัฐได้รับความเสียหาย 7 .มีการจำหน่ายข้าวให้กับหนองลังกาฟาร์ม โดยทำสัญญาในนาม น.ส.เสาวลักษณ์ เย็นใส โดยน.ส.เสาวลักษณ์เป็นลูกจ้างของนางบุญยิ่ง นิติกาญจนา ที่ปรึกษารมว.พาณิชย์ โดยเมื่อได้รับข้าวสารแล้วได้นำส่งให้บริษัทกาญจนาอาหารสัตว์ ซึ่งเป็นบริษัทของนางบุญยิ่ง โดยมีข้อสังเกตว่ามีการจำหน่ายในราคาถูกมากเพียง กิโลกรัมละ 5.50 บาท ต่ำกว่าราคาที่ควรจำหน่ายได้ในราคากก. ละ 500 บาท ก่อให้เกิดความเสียหายแก่รัฐมากกว่า 40 ล้านบาท