xs
xsm
sm
md
lg

สิ่งกำลังมี สิ่งกำลังเกิด --“ปัจจัยกำหนด”การเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทย

เผยแพร่:   โดย: สันติ ตั้งรพีพากร

ประเทศไทยถึงจุดเปลี่ยน โดยนัยหมายถึงการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะพลิกหน้าประวัติศาสตร์ชาติไทยอย่างไม่เคยปรากฏมาก่อน เมื่อ“อำนาจกำหนด”ทางการเมืองตกอยู่ในมือของประชาชนอย่างแท้จริง

ข้อสรุปนี้ สะท้อนกฎหรือแก่นแท้แห่งความ “จำต้องเป็นไป”ของพัฒนาการทางสังคมของประเทศไทย ซึ่งเป็นกระบวนการทาง “ภววิสัย” ไม่อาจมีใครขัดขวางได้ โดยมีขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประธิปไตยเป็นผู้กระทำ อันเป็นความพยายามทาง “อัตวิสัย” และจัดอยู่ในส่วนของการสร้าง “ปัจจัยกำหนด” ที่จะทำให้การเปลี่ยนแปลงใหญ่ปรากฏเป็นจริง ดังผู้เขียนจะขอวิสัชนา ในรูปของบทประมวลและบทวิเคราะห์ ดังนี้

1.บทประมวล

พัฒนาการของขบวนการการเมืองภาคประชาชนนำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ตั้งแต่ปี พ.ศ.2551 จนถึงปัจจุบัน

อาจกล่าวได้ว่า นับตั้งแต่การชุมนุมทางการเมืองอย่างยืดเยื้อถึง “193 วัน”ในปี พ.ศ.2551 ขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่นำโดยพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ได้แสดงออกถึงความเป็น”อำนาจกำหนด” หรือ “ปัจจัยกำหนด” มาเป็นลำดับ ด้วยพัฒนาการของเหตุการณ์หลังจากนั้น ได้ดำเนินมาตามทิศทางและเป้าหมายที่พันธมิตรฯตั้งไว้โดยตลอด จุดหมายปลายทางก็คือการเปลี่ยนแปลงใหญ่ที่จะนำไปสู่การปฏิรูปใหญ่ประเทศไทย

ที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะพันธมิตรฯทำงานเชิง “รุก” มาโดยตลอด เก็บเกี่ยวผลสำเร็จน้อยใหญ่ได้อย่างต่อเนื่อง สามารถยกระดับความตื่นรู้ของมวลชนพันธมิตรฯมาเป็นลำดับ โดยภายหลังการนำเสนอเจตนารมณ์ “เปลี่ยนแปลงประเทศไทย”ในการชุมนุม “193 วัน” ปี 2551 แล้ว ในการชุมนุม “158 วัน” ปี 2554 ก็รณรงค์ “โหวตโน” ปฏิเสธนักการเมืองในระบบรัฐสภา และต่อมาในวันที่ 10 มีนาคม 2555 ที่ประชุมแกนนำพันธมิตรฯทั่วประเทศก็ได้ผ่านมตินำเสนอ “หลักการปกครอง 15 ประการ”ต่อสังคมไทย หลังจากนั้น ก็ได้ดำเนินการรณรงค์เผยแพร่ สร้างความเข้าใจในหมู่มวลชนพันธมิตรฯในจังหวัดต่างๆอย่างต่อเนื่อง

นั่นหมายถึงว่า มีการ “อุ่นเครื่อง”ทางความคิด ในหมู่ชาวพันธมิตรฯอย่างไม่ขาดตอน โดยนำเสนอประเด็นรณรงค์ใหม่ๆที่สามารถจุดประกายความตื่นรู้ทางการเมืองของชาวพันธมิตรฯให้เจิดจำรัสยิ่งๆ ขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง จึงไม่แปลกเมื่อพรรคเพื่อไทยพยายามเข็นพระราชบัญญัติปรองดองเข้าสภาฯในปลายเดือนพฤษภาคม 2555 หวังล้างผิดให้กับ พ.ต.ท.ทักษิณ ชิณวัตร แกนนำพันธมิตรฯสามารถเรียกระดมมวลชนพันธมิตรฯได้ในทันทีด้วยจำนวนมหาศาล ยับยั้งแผนการของพรรคเพื่อไทยได้สำเร็จแบบเบ็ดเสร็จ สร้างความมั่นใจในความเป็น “กำปั้นเหล็ก”ของตนเองยิ่งขึ้นในหมู่ชาวพันธมิตรฯเป็นอย่างมาก ขณะที่แกนนำพันธมิตรฯก็ตระหนักชัดขึ้นถึงความสำคัญระดับยุทธศาสตรต์ของการรณรงค์สร้างความตื่นรู้ให้แก่มวลชนพันธมิตรฯ มีการกำหนดภารกิจหลักอย่างชัดเจนไว้ที่การจัดเสวนาเคลื่อนที่ไปตามจังหวัดต่างๆ โดยใช้ประเด็นเรื่อง ปตท.เป็นตัวธงนำ ซึ่งต่อมาได้ขยายเป็นประเด็นพลังงานของชาติ แม้ในห้วงการชุมนุมใหญ่ขององค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่ายสองครั้งในเดือนตุลาคมและพฤศจิกายนที่ผ่านมา ทางแกนนำพันธมิตรฯจะเปิด “ไฟเขียว”ให้ชาวพันธมิตรฯเข้าร่วมการชุมนุม แต่ก็ยังย้ำเน้นถึงความสำคัญของการดำเนินกิจกรรมเสวนา

เหตุการณ์ต่างๆที่เกิดขึ้นในระหว่างการชุมนุมใหญ่ของ”ประชาชนทนไม่ไหว” นำโดยองค์การพิทักษ์สยามและภาคีเครือข่าย ทำให้ชาวพันธมิตรฯเกิดความตื่นรู้ยิ่งขึ้น ได้ข้อสรุปและเกิดความเชื่อมั่นในการนำของแกนนำพันธมิตรฯยิ่งกว่าครั้งใดๆ

ทำให้ “สิ่งกำลังมี สิ่งกำลังเกิด” ซึ่งหลักๆก็คือความตื่นรู้ของมวลชน และความ “สุกงอม”ทางความคิดและวิธีการนำของแกนนำพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ถักทอต่อเชื่อมเป็นกระบวนการที่ทรงพลวัตชัดเจนยิ่งขึ้น อันจะประกอบกันเข้าเป็น “ปัจจัยกำหนด”การเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทย ได้อย่างเป็นจริงทั้งในห้วงของการทำ “สงครามมวลชน”ในขั้นปัจจุบัน และในห้วงการปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยในวันข้างหน้า

2.บทวิเคราะห์

ว่าด้วยความตื่นรู้ของขบวนการการเมืองภาคประชาชนที่ข้ามพ้นเรื่อง “สี” และ “ขั้วการเมือง”

การเคลื่อนไหวเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทย โดยประชาชนเป็น “เจ้าภาพ” ได้ดำเนินมาถึงจุดหักเหสำคัญ เมื่อพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยสามารถยกระดับเรื่องของ “ปตท.”ขึ้นเป็นเรื่องการปฏิรูปพลังงานแห่งชาติ ที่จะพลิกชีวิตคนไทย จาก “ยากจน” เป็น “มั่งคั่ง” เปิดเกมยุทธศาสตร์ใหญ่ในการปลุกกระแสตื่นรู้ของมวลชน ให้สามารถก้าวข้ามเส้นแบ่งของ “สี” และ “ขั้วการเมือง” มาเป็น “ประชาชนผู้ร่วมชะตากรรม” โดยมีทีมงานผู้ชำนาญด้านพลังงาน คืออาจารย์ประสิทธิ์ ไชยทองพันธ์ และ พ.ท.รัฐเขต แจ้งจำรัส เป็นวิทยากรหลัก ทำการแจกแจงให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ในทรัพยากรพลังงานของประเทศไทย ทั้งบนบกและในทะเล ตลอดจนโครงสร้างต้นทุน กำไร ของบริษัทขุดเจาะแก๊ส/น้ำมันสำคัญๆ ที่ได้สูบและกำลังสูบความมั่งคั่งของประเทศไทย โดยคนไทยแทบจะไม่ได้รับประโยชน์แต่ประการใด หนำซ้ำยังต้องจ่ายค่าน้ำมัน/แก๊สแพง อันเป็นผลจากการเล่นแร่แปรธาตุทางการตลาดของบริษัท ปตท.(มหาชน) จำกัด ซึ่งแม้จะเป็นบริษัทของคนไทย แต่ปัจจุบันตกเป็นเครื่องมือสูบความมั่งคั่งของแผ่นดินเข้ากระเป๋านักการเมืองทั้งทางตรงและทางอ้อม จากนี้ชี้ให้เห็นถึง “ต้นตอ”ของปัญหา อันได้แก่ความล้าหลังของกฎหมายและระบบราชการ ความโลภของนักการเมือง ตลอดจนความเอารัดเอาเปรียบของบริษัทแก๊ส/น้ำมันต่างชาติ รวมถึงพฤติกรรมฉ้อฉลของบริษัท ปตท.

“ปมเงื่อน” ที่ผูกพันโยงใยกันเข้าด้วยผลประโยชน์มหาศาลของกลุ่มบริษัทขุดเจาะน้ำมันต่างชาติ กับบริษัท ปตท. ข้าราชการชั่ว และนักการเมืองเลว คือ “เป้าหมาย” ที่พันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตยจะนำพาประชาชนทั้งประเทศเข้าทลาย โดยกำหนดมาตรการยุทธศาสตร์ “เชิงรุก” ด้วยการร่าง พระราชบัญญัติปิโตรเลียมฉบับประชาชน สำหรับรณรงค์ล่ารายชื่อประชาชนทั่วประเทศ ตั้งแต่ปี 2556 เป็นต้นไป ทั้งนี้ เพื่อสร้างความพร้อมให้กับการเคลื่อนไหวทางการเมืองครั้งใหญ่เมื่อเงื่อนไข “สุกงอม” สำหรับการเปลี่ยนแปลงใหญ่ และปฏิรูปใหญ่ประเทศไทยต่อไป

ในทางปฏิบัติ การจัดเสวนาให้ความรู้จริงเรื่องพลังงานอย่างต่อเนื่อง หมุนเวียนไปตามจังหวัดต่างๆ ประสบความสำเร็จเป็นอย่างดี ไม่เพียงแต่มวลชนพันธมิตรฯเท่านั้นที่ “ตื่นรู้” กระทั่งมวลชนเสื้อแดงที่ติดตามการถ่ายทอดสดของสถานีโทรทัศน์เอเอสทีวีก็เริ่ม “หูตาสว่าง”

โดยเฉพาะ เมื่อแกนนำพันธมิตรฯได้เริ่มดำเนินงานทางด้านการจัดตั้ง ในรูปของอาสาสมัคร

รณรงค์รวบรวมรายชื่อผู้สนับสนุนร่างพระราชบัญญัติปิโตรเลียมฉบับประชาชน

ในมุมมองของผู้เขียนที่เคยนำเสนอทฤษฎี “สงครามมวลชน” ซึ่งถือเอาการสร้าง “กองทัพมวลชนตื่นรู้”เป็นภารกิจใจกลาง เห็นว่า “การจัดตั้ง” คณะอาสาสมัครลักษณะนี้ เป็นจังหวะก้าวสำคัญยิ่งของพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย ในการสร้าง “ปัจจัยกำหนด”การเปลี่ยนแปลงใหญ่ประเทศไทย

ถือเป็นความ “สุกงอม”อย่างหนึ่งของพันธมิตรฯ ในการสร้างความแข็งแกร่งให้แก่ขบวนการการเมืองภาคประชาชน ที่จะต้องดำเนินไปพร้อมๆกันทั้งทางการสร้างความตื่นรู้ (รู้จริง รู้คิด รู้ทำ)ซึ่งเป็นมิติทางปัญญา และการสร้างองคาพยพ ซึ่งเป็นมิติทางกาย
กำลังโหลดความคิดเห็น