ASTVผู้จัดการรายวัน-สมาคมนักวิเคราะห์คาดดัชนีตลาดหุ้นไทยสิ้นปีหน้าแตะ 1.47 พันจุด จากประเมินกำไรบจ.โต 15% เศรษฐกิจขยายตัว 4.6% อัตราดอกเบี้ยลด 0.25-0.5% เม็ดเงินต่างชาติซื้อสุทธิ 4.5 หมื่นล้านบาท ส่วนปัจจัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญของรัฐบาลจะส่งผลกระทบด้านลบต่อตลาดหุ้น พร้อมแนะจัดพอร์ต ลงทุนหุ้น-กองทุนในประเทศ 45% ลดลงจากเดิม 46%
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า สมาคมนักวิเคราะห์ฯได้มีการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนปี 2556 ซึ่งมีนักวิเคราะห์ตอบแบบสำรวจรวม 22 แห่ง โดยนักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ ปลายปี 2556 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,471 จุด จากปัจจัยหลักเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น และได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลมี การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลปี 2556 ลงเหลือ 20% ซึ่งประเมินว่าอัตาราการเติบโตกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) เฉลี่ยอยู่ที่ 15.2% รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะช่วยผ่อนคลายปัญหาหน้าผาการคลังสหรัฐฯ และนักลงทุนต่างจะเทศจะเข้าซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศซื้อสุทธิหุ้นไทยปี 56 เฉลี่ยที่ 45,845 ล้านบาท ต่ำกว่ายอดซื้อสุทธิปีนี้ที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 67,000 ล้านบาท ขณะที่ยังมีคามเสี่ยงในเรื่องปัจจัยทางการเมืองของไทย เกี่ยวกับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปัญหายูโรโซน และปัญหาในสรัฐอเมริกาในเรื่องการเติบโตเศรษฐกิจ และมองว่านักลงทุนสถาบันในประเทศจะขายสิทธิในปี 2556 เฉลี่ย 16,467 ล้านบาท คาดว่าพอร์ตของบริษัทหลักทรัพย์จะซื้อสุทธิเฉลี่ยที่ 3,243 ล้านบาท คาดว่ายอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวมเฉลี่ยที่ 32,621 ล้านบาท
ขณะที่นักวิเคราะห์ประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 56 ที่เฉลี่ย 4.6% ซึ่งนักวิเคราะหมองว่ามาตรการที่ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย ควรมีการดำเนินการในปี 2556 เพื่อให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย คือ การลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มองว่าควรลด 0.25- 0.5% รัฐบาลควรมีการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคและโครงการขนาดใหญ่ ทั้งขนส่งและการบริหารน้ำ และควรมีการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ และควรปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด นอกจากนี้นักวิเคราะห์มองว่าราคาทองคำสิ้นปี 2556 จะขึ้นไปอยู่ที่ 26,732 บาทต่อ บาททองคำ และคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนสิ้นปีหน้าจะอยู่ที่ 30.7 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายสมบัติ กล่าวว่า นักวิเคราะห์ ประเมินปี 2556 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ 1. กลุ่ม วัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 32.17% 2. กลุ่มอสังหาฯ 18.44% 3. กลุ่มธนาคาร 18.37% และประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ 1.. กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 5.50% 2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 5.08% และ 3. กลุ่มพลังงาน 4.34%
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ได้แนะนำให้กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ คือ ให้ลงทุนหุ้นหรือกองทุนหุ้นในประเทศ 45% ลดลงจากเดิมสำรวจครั้งก่อนที่ 46% หุ้นหรือกองทุนต่างประเทศ 11% เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่ 10% ทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์ส 11 จากครั้งก่อน 12% ตราสารหนี้ และกองทุนตราสารหนี้ 17% จากเดิมแนะนำ 16% ถือเงินสดและเงินฝาก 13% และอื่น ๆ เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์, น้ำมัน เป็นต้น 3% และแนะนำนัก ลงทุนให้รอจังหวะทยอยซื้อสะสมในช่วงที่ตลาดปรับฐานลง โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ หุ้นกลุ่มสินค้า อุปโภคบริโภค และหุ้นที่อิงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก
นายสมบัติ นราวุฒิชัย เลขาธิการ สมาคมนักวิเคราะห์หลักทรัพย์ เปิดเผยว่า สมาคมนักวิเคราะห์ฯได้มีการสำรวจความเห็นนักวิเคราะห์เกี่ยวกับแนวโน้มการลงทุนปี 2556 ซึ่งมีนักวิเคราะห์ตอบแบบสำรวจรวม 22 แห่ง โดยนักวิเคราะห์คาดว่าดัชนีตลาดหุ้นไทย ณ ปลายปี 2556 เฉลี่ยอยู่ที่ 1,471 จุด จากปัจจัยหลักเรื่องผลประกอบการของบริษัทจดทะเบียนไทย (บจ.) ปรับตัวเพิ่มขึ้น และได้ประโยชน์จากการที่รัฐบาลมี การลดภาษีเงินได้นิติบุคคลปี 2556 ลงเหลือ 20% ซึ่งประเมินว่าอัตาราการเติบโตกำไรต่อหุ้น (EPS Growth) เฉลี่ยอยู่ที่ 15.2% รวมทั้งการปรับลดอัตราดอกเบี้ยลงจะช่วยผ่อนคลายปัญหาหน้าผาการคลังสหรัฐฯ และนักลงทุนต่างจะเทศจะเข้าซื้อหุ้นไทยเพิ่มขึ้น
ทั้งนี้ นักวิเคราะห์คาดว่าจะมีเม็ดเงินลงทุนจากต่างประเทศซื้อสุทธิหุ้นไทยปี 56 เฉลี่ยที่ 45,845 ล้านบาท ต่ำกว่ายอดซื้อสุทธิปีนี้ที่ปัจจุบันอยู่ที่ประมาณ 67,000 ล้านบาท ขณะที่ยังมีคามเสี่ยงในเรื่องปัจจัยทางการเมืองของไทย เกี่ยวกับ การแก้ไขรัฐธรรมนูญ และปัญหายูโรโซน และปัญหาในสรัฐอเมริกาในเรื่องการเติบโตเศรษฐกิจ และมองว่านักลงทุนสถาบันในประเทศจะขายสิทธิในปี 2556 เฉลี่ย 16,467 ล้านบาท คาดว่าพอร์ตของบริษัทหลักทรัพย์จะซื้อสุทธิเฉลี่ยที่ 3,243 ล้านบาท คาดว่ายอดซื้อสุทธิในตลาดหุ้นไทยรวมเฉลี่ยที่ 32,621 ล้านบาท
ขณะที่นักวิเคราะห์ประมาณการอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจปี 56 ที่เฉลี่ย 4.6% ซึ่งนักวิเคราะหมองว่ามาตรการที่ภาครัฐและธนาคารแห่งประเทศไทย ควรมีการดำเนินการในปี 2556 เพื่อให้เหมาะสมกับเศรษฐกิจไทย คือ การลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งนักวิเคราะห์ส่วนใหญ่ มองว่าควรลด 0.25- 0.5% รัฐบาลควรมีการลงทุนในโครงการสาธารณูปโภคและโครงการขนาดใหญ่ ทั้งขนส่งและการบริหารน้ำ และควรมีการลดภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา เพื่อเพิ่มกำลังซื้อ และควรปล่อยให้ราคาสินค้าเป็นไปตามกลไกตลาด นอกจากนี้นักวิเคราะห์มองว่าราคาทองคำสิ้นปี 2556 จะขึ้นไปอยู่ที่ 26,732 บาทต่อ บาททองคำ และคาดว่าอัตราแลกเปลี่ยนสิ้นปีหน้าจะอยู่ที่ 30.7 บาทต่อเหรียญสหรัฐ
นายสมบัติ กล่าวว่า นักวิเคราะห์ ประเมินปี 2556 กลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราการเติบโตของกำไรต่อหุ้นสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ 1. กลุ่ม วัสดุก่อสร้าง คาดว่าจะเติบโตเฉลี่ยที่ 32.17% 2. กลุ่มอสังหาฯ 18.44% 3. กลุ่มธนาคาร 18.37% และประเมินอัตราผลตอบแทนเงินปันผลของกลุ่มธุรกิจต่าง ๆ โดยกลุ่มธุรกิจที่คาดว่าจะมีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงที่สุดสามอันดับแรก คือ 1.. กลุ่มสื่อสาร ประเมินอัตราผลตอบแทนไว้ที่ 5.50% 2. กลุ่มชิ้นส่วนอิเล็กทรอนิกส์ 5.08% และ 3. กลุ่มพลังงาน 4.34%
ขณะเดียวกัน นักวิเคราะห์ได้แนะนำให้กระจายการลงทุนในสินทรัพย์ คือ ให้ลงทุนหุ้นหรือกองทุนหุ้นในประเทศ 45% ลดลงจากเดิมสำรวจครั้งก่อนที่ 46% หุ้นหรือกองทุนต่างประเทศ 11% เพิ่มขึ้นจากครั้งก่อนที่ 10% ทองคำและโกลด์ฟิวเจอร์ส 11 จากครั้งก่อน 12% ตราสารหนี้ และกองทุนตราสารหนี้ 17% จากเดิมแนะนำ 16% ถือเงินสดและเงินฝาก 13% และอื่น ๆ เช่น กองทุนอสังหาริมทรัพย์, น้ำมัน เป็นต้น 3% และแนะนำนัก ลงทุนให้รอจังหวะทยอยซื้อสะสมในช่วงที่ตลาดปรับฐานลง โดยเลือกหุ้นที่มีปัจจัยพื้นฐานดี มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูงสม่ำเสมอ หุ้นกลุ่มสินค้า อุปโภคบริโภค และหุ้นที่อิงการเติบโตของเศรษฐกิจภายในประเทศเป็นหลัก