xs
xsm
sm
md
lg

บี้ภาษีอเมริกันUSจี้ทั่วโลกรายงานตลาดทุนวอนรัฐทำG to G

เผยแพร่:   โดย: MGR Online

ASTVผู้จัดการรายวัน-สภาธุรกิจตลาดทุนไทย วอนกระทรวงการคลัง-รัฐบาลไทยเร่งดำเนินการตามกฎหมายสหรัฐฯ “ FATCA”ก่อนมีผลบังคับใช้ต้นปี57 หลังยังนิ่งเฉย ชี้หากไม่เร่งดำเนินการสถาบันการเงินไทย จะถูกหักภาษี ณ ที่จ่าย30%ของรายได้ที่มาจากสหรัฐฯ พร้อมแนะรัฐบาลไทยควรทำสัญญากับรัฐบาลสหรัฐโดยตรง(G to G )เหตุ มีอำนาจต่อรองมากกว่าให้สถาบันการเงินไทยไปทำสัญญาเอง อีกทั้งช่วยลดค่าใช้จ่าย คาดกลุ่มธนาคารพาณิชย์กระทบหนักสุด

นายไพบูลย์ นลินทรางกูร ประธานกรรมการ สภาธุรกิจตลาดทุนไทย (สธท.) เปิดเผยว่า จากการที่สหรัฐอเมริกาได้ออกกฎหมาย Foreign Account Tax Compliance Act (FATCA )ซึ่งมีวัตถุประสงค์เพื่อป้องกันการเลี่ยงการจ่ายภาษีของชาวอเมริกันด้วยการทำธุรกิจกรรมทางการเงินนอกประเทศ โดยที่กฎหมายฉบับนี้กำหนดให้สถาบันการเงินต่างชาติทุกแห่งนอกสหรัฐฯต้องรายงานข้อมูลบัญชีของลูกค้าชาวอเมริกันที่มีรายการในสถาบันการเงินประเทศนั้นๆให้แก่สรรพากรของสหรัฐ (IRS)โดยถ้าสถาบันการเงินประเทศต่างๆไม่ยินยอมเข้าร่วมปฏิบัติตามกฎหมาย (FATCA) หรือ ลูกค้าสถาบันการเงินไม่ให้ความร่วมมือในการเปิดเผยข้อมูลให้แก่สรรพากรของสหรัฐฯ จะถูก สรรพากรสหรัฐฯ หักภาษี ณ ที่จ่าย (Withholding Tax) 30% ของรายได้ที่มีแหล่งที่มาจากสหรัฐ โดยกฎหมาย FATCAจะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2557

สำหรับแนวทางในการทำสัญญาดังกล่าวนั้นมี 2 แนวทาง คือ 1.ให้สถาบันการเงินมีการทำสัญญากับทางสหรัฐอเมริกาเอง และ 2. การทำสัญญาในระดับรัฐบาลกับรัฐบาล(G to G) โดยทางสภาธุรกิจตลาดทุนฯได้มีการหารือร่วมกับทางสำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.)ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย (ตลท.) สมาคมบริษัทหลักทรัพย์จัดการลงทุน (บลจ.)สมาคมบริษัทหลักทรัพย์ไทย สมาคม ธนาคารไทย ถึงผลกระทบที่จะเกิดขึ้นและ รวบรวมข้อเสนอต่อกระทรวงการคลังในฐานะผู้ดูแลภาพรวมด้านเศรษฐกิจเพื่อสนับสนุนการดำเนินงานของภาคเอกชนที่เกี่ยวข้องกับกฎหมายดังกล่าว

ทั้งนี้ทางก.ล.ต.และสภาธุรกิจตลาดทุนไทยได้การทำหนังสือถึงข้อเสนอแนะเรื่องดังกล่าวไปยังกระทรวงการคลังคือ1. สถาบันการเงินที่เข้าข่ายตามตาม FATCA หมายความรวมถึงธุรกิจธนาคารพาณิชย์ ธุรกิจกองทุนรวม ธุรกิจหลักทรัพย์ และธุรกิจประกัน ดังนั้น กฎหมายที่ออกมารองรับจึงควรเป็นกฎหมายกลางสำหรับธุรกิจทุกประเภท และกฎหมายดังกล่าวควรจะกำหนดให้มีองค์กรกลางทำหน้าที่ในการรวบรวมและนำส่งเงินที่ได้จากการหัก Withholding Tax และ การส่งรายงานให้ IRS เพื่อรองรับกรณีที่อาจต้องมีการแก้ไขเปลี่ยนแปลงกฎหมายตาม FATCA ในอนาคต ซึ่งจะมีความสะดวกและมีค่าใช้จ่ายน้อยกว่ากรณีกำหนดให้สถาบันการเงินแต่ละแห่งดำเนินการเอง

2..หากไม่มีกฎหมายไทยออกมารองรับเป็นการเฉพาะ สถาบันการเงินไทยอาจไม่สามารถดำเนินการให้เป็นไปตาม FATCA ได้ เนื่องจากมีความเสี่ยงทางกฎหมายที่เกี่ยวข้องกับอำนาจของสถาบันการเงินในการหัก Withholding Tax รวมทั้งการรายงานข้อมูลบัญชีของลูกค้าซึ่งเป็นข้อมูลลับส่วนบุคคลให้IRS จึงมีความจำเป็นต้องมีการออกฎหมายรองรับการดำเนินการดังกล่าว และ3.ในการทำสัญญากับIRS เพื่อยินยอมเข้าร่วมปฏิบัติตาม FATCA ประเทศไทยควรพิจารณาทำสัญญาในระดับรัฐบาลต่อรัฐบาล (G to G ) เพื่อลดภาระค่าใช้จ่ายของโดยรวม ทั้งในการจัดทำระบบมารองรับ และการจ้างที่ปรึกษาทางกฎหมายของสถาบันการเงินแต่ละแห่ง เนื่องจาก การทำสัญญาในระดับรับบาลกับรัฐบาลจะทำให้เจรจาต่อรองกับสหรัฐได้มากกว่า ซึ่งเรื่องนี้มีหลายประเทศได้ดำเนินการไปแล้ว จะทำให้ได้รับการยกเว้นไม่ต้องดำเนินการบางอย่าง

อย่างไรก็ตามกฎหมายดังกล่าวจะมีผลกระทบต่อตลาดเงิน ตลาดทุน และธุรกิจประกัน ซึ่งเป็นหนึ่งในแกนหลักของเศรษฐกิจไทย ทั้งยังอาจส่งผลกระทบต่อความเชื่อมั่นต่อการลงทุนในต่างประเทศอีกด้วย และที่สำคัญคือ กระบวนการหัก Withholding Tax และการรายงานข้อมูลให้ IRS ตาม FATCA นั้น จะเริ่มมีผลบังคับใช้ในต้นปี 2557 ดังนั้นประเทศไทย จึงต้องเร่งดำเนินการเรื่องดังกล่าวให้เสร็จภายในปี 2556 โดยส่วนตัวหวังว่ากระทรวงการคลังและรัฐบาลจะเห็นความสำคัญและผลกระทบที่เกิดขึ้นในเรื่องนี้ต่อภาคการเงินและเศรษฐกิจไทยโดยรวม และหยิบยกเรื่องนี้ให้เป็นเรื่องเร่งด่วนของประเทศ

“ก่อนหน้านี้ทางก.ล.ต. และทางสมาคมฯได้มีการทำหนังสือไปยังกระทรวงการคลังไปแล้วตั้งแต่วันที่ 20 พฤศจิกายนที่ผ่านมา ซึ่งขณะนี้ยังไม่ได้รับหนังสือตอบจากทางกระทรวงการคลังเลย หวังว่าทางการจะเร่งดำเนินการดังกล่าวให้แล้วภายในกรอบเวลาที่กำหนด โดยในการประชุมของคณะกรรมการพัฒนาตลาดทุนไทยในวันที่ 24 ธันวาคมนี้ ก็จะมีการนำเรื่องดังกล่าวเสนอให้ที่ประชุมพิจารณาอีกครั้งเพราะประธานในการประชุมนั้นคือรมว.คลังเพื่อรับทราบข้อมูลอีกครั้ง โดยปกติหากสถาบันการเงินไทยมีการไปลงทุนในสหรัฐอเมริกาจะถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายอยู่แล้ว15%สำหรับผลตอบแทนจากการลงทุนเมื่อนำเงินกลับมาประเทศไทย หากเราไม่ทำตามกำหนดหมายของIRS ก็จะถูกหักเพิ่มอีก30% รวมแล้วจะถูกหัก 45% โดยแบงก์จะถูกกระทบมากสุดเพราะมีการนำเงินไปลงทุนสหรัฐจำนวนมาก ”นายไพบูลย์ กล่าว

สำหรับสถาบันการเงินที่เข้าข่าย ประกอบด้วย ธนาคารพาณิชย์ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) บริษัทหลักทรัพย์จัดการกองทุน (บลจ.) บริษัทประกัน โดย ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) และ กองบำเหน็จบำนาญข้าราชการ (กบข.)
กำลังโหลดความคิดเห็น