xs
xsm
sm
md
lg

ฮ่องกงจ่อตำแหน่งศูนย์กลางการเงินอันดับหนึ่งของโลก

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


เซาท์ไชน่ามอร์นิ่งโพสต์ - ฮ่องกงเตรียมผงาดเป็นศูนย์กลางการเงินที่ใหญ่สุดของโลก โดยคาดว่าจะแซงหน้ากรุงลอนดอนภายใน 3 ปีข้างหน้า และแซงนครนิวยอร์กในอีก 4 ปี ซึ่งสะท้อนถึงการเปลี่ยนแปลงของดุลอำนาจอย่างมโหฬารในโลกการเงิน และเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญ นับตั้งแต่เกิดวิกฤตการเงินโลกเมื่อไม่นานมานี้

จากรายงานล่าสุดของศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ ( CEBR) ซึ่งตั้งอยู่ในกรุงลอนดอนของอังกฤษระบุว่า เขตปกครองพิเศษฮ่องกงจะมีตำแหน่งงานด้านบริการทางการเงินมากกว่ากรุงลอนดอน โดยจะเพิ่มถึง 248,000 ตำแหน่งภายในปี 2558 จากจำนวนไม่ถึงครึ่งหนึ่งที่ลอนดอนมีในปี 2548 สำหรับลอนดอนจะมีตำแหน่งงานในภาคการเงินเพิ่มจำนวน 237,000 ในปี 2558

นอกจากนั้น ฮ่องกงยังเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวสำหรับนครนิวยอร์ก ซึ่งเป็นศูนย์กลางการเงินของสหรัฐฯ ที่เพิ่งแย่งบัลลังก์ศูนย์กลางการเงินใหญ่ที่สุดในโลกจากลอนดอนไปครองในปีนี้ โดยคาดว่า ภายในปี 2559 ฮ่องกงจะมีตำแหน่งงานในภาคการเงินมากถึง 262,043 ตำแหน่ง ขณะที่นครนิวยอร์กคาดว่าจะเพิ่ม 252,543 ตำแหน่ง

ทั้งนี้ ในระหว่างปี 2551 ซึ่งวิกฤตการเงินโลกเริ่มก่อตัว - ปี 2555 ตำแหน่งงานภาคการเงินในฮ่องกงเพิ่มขึ้นร้อยละ 12 ขณะที่ลอนดอนกลับลดลงร้อยละ 23 และนครนิวยอร์กลดลงร้อยละ 10

รายงานระบุว่า เมืองในชาติตะวันตกสูญเสียบทบาทนำ เนื่องจากการเติบโต ที่มีพลังขับเคลื่อนมากขึ้นของเศรษฐกิจในเอเชีย ซึ่งทำให้ความต้องการใช้บริการในภาคการเงินบูม โดยการเปลี่ยนแปลงนี้เป็นสิ่งหลีกเลี่ยงไม่ได้ เนื่องจากภูมิศาสตร์เศรษฐกิจของโลกได้เปลี่ยนแปลงไป

นอกจากนั้น ฮ่องกงยังได้รับแรงหนุนส่งจากบทบาทของเงินหยวน ที่เริ่มเป็นสกุลเงิน ที่เริ่มมีการใช้จ่ายระหว่างประเทศมากขึ้นนั่นเอง

ส่วนลอนดอนต้องสูญเสียตำแหน่งแชมป์ เนื่องมาจากหลายสาเหตุ เช่นนโยบายการวางกฎระเบียบควบคุมในระยะสั้น และมาตรการลงโทษด้วยการเก็บภาษี ขณะที่นิวยอร์กตกต่ำน้อยกว่าลอนดอน เพราะเศรษฐกิจสหรัฐฯ มีความแข็งแกร่งกว่าเศรษฐกิจยุโรป

ตำแหน่งที่ลดลงในภาคการเงินของลอนดอนยังมาพร้อมกับเงินโบนัส ที่ถูกลดทอนลงอย่างมาก โดยคริสต์มาสปีนี้ พนักงานในภาคการเงินของลอนดอนอาจได้เงินโบนัสรวมทั้งสิ้นเพียง 1,600 ล้านปอนด์ ลดลงจาก 11,600 ล้านปอนด์เมื่อปี 2551 หรือคิดเฉลี่ยพนักงานภาคการเงินได้รับโบนัสคริสต์มาสปีนี้คนละ 6,400 ปอนด์เท่านั้น จากคนละ 33,000 ปอนด์ในปี 2551
กำลังโหลดความคิดเห็น