ASTVผู้จัดการรายวัน – “หงษ์ทอง” อัดนโยบายจำนำข้าวพ่นพิษส่งออกข้าวปีหน้า เร่งปรับตัวรับมือ หลัง 2 ปีอ่วมรายได้ส่งออกไม่โต ชูแผนเพิ่มกำลังผลิตข้าว จ่อลงทุนอาเซียนรับประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ประเดิมซื้อข้าวพม่า เขมร ก่อนผุดโรงงาน ทุ่ม 100 ล้านบาท ลุยธุรกิจแปรรูปข้าวสร้างมูลค่าเพิ่ม ปูพรมปั้นข้าวพร้อมทานและเครื่องดื่มน้ำนมข้าว
นายวัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายข้าวตราหงษ์ทอง เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออกข้าวของประเทศไทยในปีหน้านี้ มีปัจจัยที่น่ากังวล คือ นโยบายของรัฐบาลการจำนำข้าว ส่งผลให้เกิดภาวะข้าวขาดแคลนในตลาด และทำให้ราคาข้าวสูงกว่าความเป็นจริง 30-40% ซึ่งกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยปีนี้ลดลงเหลือเป็น
6-7 ล้านตัน จากปีที่ผ่านมาส่งออกข้าว 10 ล้านตัน แม้ว่าปีหน้านี้ภาครัฐตั้งเป้าเพิ่มการส่งออก 8.5 ล้านตันก็ตาม และอีกหนึ่งปัจจัย คือ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มว่าจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนที่จะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก 30 บาทต่อดอลล่าร์ ขณะที่ค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น 300 บาท ไม่กระทบต่อผู้ประกอบการข้าว เพราะค่าแรงมีสัดส่วน 5%
ทั้งนี้ผลพวงจากนโยบายจำนำข้าว สร้างผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทต่อเนื่อง 2 ปี หรือตั้งแต่ปี 2554 -2555 รายได้จากการส่งออกของบริษัท 5,000 ล้านบาท โดยไม่มีอัตราการเติบโต และหากภาครัฐยังดำเนินนโยบายจำนำข้าวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปีหน้ารายได้ของบริษัทราว 5,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับนโยบายการประกันราคาข้าว รายได้จากการส่งออกของบริษัทเติบโต 5-10%ต่อปี
ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงนโยบายของบริษัท วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตข้าว โดยเตรียมลงทุนในภูมิภาคอาเซียน รองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาไปซื้อข้าวในประเทศเขมรและพม่า หรือการทำธุรกิจเทรดดิ้ง ส่วนการลงทุนสร้างโรงงานเป็นสเต็ปต่อไปในอนาคต
ขณะเดียวกันบริษัทได้ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต ที่ โรงงานศรีสะเกษ ภายใต้การใช้งบลงทุน 115 ล้านบาท โดยเพิ่มไซโลหรือฉางเก็บเมล็ดข้าวมากขึ้น นอกจากนี้ยังหันมาสีข้าวเองเพิ่มขึ้น จากเดิมบริษัทซื้อข้าวสำเร็จมาแล้ว 50% และนำข้าวมาสีเอง 50%
พร้อมกันนี้บริษัทยังได้ทุ่มงบ 100 ล้านบาท แตกไลน์ธุรกิจผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์หงษ์ทอง ด้วยการเปิดตัวบริษัทบีเอสซีเอ็ม ฟูดส์ เพื่อนำผลิตภัณฑ์ข้าวมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งนับว่าเป็นการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ในรอบ 50-60 ปี และถือว่าเป็นขาธุรกิจที่ 2 ของบริษัท คือ ผู้ส่งออกข้าวอันดับท็อปเท็นของประเทศ
และผู้ผลิตและจัดจำหน่ายข้าวบรรจุถุงหงษ์ทอง
ล่าสุดทุ่มงบ 30-50 ล้านบาท เปิดตัวข้าวกล้องพร้อมรับประทานแบรนด์หงษ์ทอง และน้ำนมข้าวแบรนด์Frezfill และเครื่องดื่มให้พลังงงานจากข้าวแบรนด์ Enere วางตำแหน่งเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลในเซกเมนต์น้ำนมข้าวมูลค่า 1,000 ล้านบาท วางจำหน่ายช่องทางโมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้อ ขณะที่ปีหน้านี้บริษัทจะเปิดตัวข้าวพร้อมทานกับรูปแบบกับข้าว เบื้องต้นคาดว่าใช้ข้าวมาแปรรูปราว 3,000
ตันต่อปี โดยวางเป้าหมายรายได้ 200-300 ล้านบาท การส่งออกสัดส่วน60-70% และภายในประเทศ 30-40%
สำหรับแผนการส่งออกข้าวของบริษัท เน้นสื่อสารถึงข้าวหอมมะลิมีคุณภาพและแตกต่างจากข้าวประเทศคู่แข่ง และทำโปรโมชันแจกคูปองส่วนลดให้ลูกค้า เพื่อลดผลกระทบจากโครงการจำนำข้าวและทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น และรักษาฐานลูกค้าในตลาดต่างประเทศ จากผลประกอบการปีนี้มีรายได้ส่งออก 5,000 ล้านบาท
นายวัลลภ มานะธัญญา ประธานกรรมการบริหาร กลุ่มบริษัท บางซื่อโรงสีไฟเจียเม้ง จำกัด ผู้ผลิตและจัดจำหน่ายข้าวตราหงษ์ทอง เปิดเผยว่า แนวโน้มการส่งออกข้าวของประเทศไทยในปีหน้านี้ มีปัจจัยที่น่ากังวล คือ นโยบายของรัฐบาลการจำนำข้าว ส่งผลให้เกิดภาวะข้าวขาดแคลนในตลาด และทำให้ราคาข้าวสูงกว่าความเป็นจริง 30-40% ซึ่งกระทบต่อภาคการส่งออกของไทยปีนี้ลดลงเหลือเป็น
6-7 ล้านตัน จากปีที่ผ่านมาส่งออกข้าว 10 ล้านตัน แม้ว่าปีหน้านี้ภาครัฐตั้งเป้าเพิ่มการส่งออก 8.5 ล้านตันก็ตาม และอีกหนึ่งปัจจัย คือ ค่าเงินบาทที่มีแนวโน้มว่าจะแข็งค่าขึ้นอย่างต่อเนื่อง ซึ่งอัตราแลกเปลี่ยนที่จะส่งผลดีต่อภาคการส่งออก 30 บาทต่อดอลล่าร์ ขณะที่ค่าแรงที่ปรับเพิ่มขึ้น 300 บาท ไม่กระทบต่อผู้ประกอบการข้าว เพราะค่าแรงมีสัดส่วน 5%
ทั้งนี้ผลพวงจากนโยบายจำนำข้าว สร้างผลกระทบต่อรายได้ของบริษัทต่อเนื่อง 2 ปี หรือตั้งแต่ปี 2554 -2555 รายได้จากการส่งออกของบริษัท 5,000 ล้านบาท โดยไม่มีอัตราการเติบโต และหากภาครัฐยังดำเนินนโยบายจำนำข้าวอย่างต่อเนื่อง คาดว่าปีหน้ารายได้ของบริษัทราว 5,000 ล้านบาท ซึ่งเมื่อเทียบกับนโยบายการประกันราคาข้าว รายได้จากการส่งออกของบริษัทเติบโต 5-10%ต่อปี
ดังนั้นเพื่อลดความเสี่ยงนโยบายของบริษัท วางแผนเพิ่มกำลังการผลิตข้าว โดยเตรียมลงทุนในภูมิภาคอาเซียน รองรับกับการเปิดประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ซึ่งขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างพิจารณาไปซื้อข้าวในประเทศเขมรและพม่า หรือการทำธุรกิจเทรดดิ้ง ส่วนการลงทุนสร้างโรงงานเป็นสเต็ปต่อไปในอนาคต
ขณะเดียวกันบริษัทได้ลงทุนเพิ่มกำลังการผลิต ที่ โรงงานศรีสะเกษ ภายใต้การใช้งบลงทุน 115 ล้านบาท โดยเพิ่มไซโลหรือฉางเก็บเมล็ดข้าวมากขึ้น นอกจากนี้ยังหันมาสีข้าวเองเพิ่มขึ้น จากเดิมบริษัทซื้อข้าวสำเร็จมาแล้ว 50% และนำข้าวมาสีเอง 50%
พร้อมกันนี้บริษัทยังได้ทุ่มงบ 100 ล้านบาท แตกไลน์ธุรกิจผลิตอาหารและเครื่องดื่มเพื่อสุขภาพภายใต้แบรนด์หงษ์ทอง ด้วยการเปิดตัวบริษัทบีเอสซีเอ็ม ฟูดส์ เพื่อนำผลิตภัณฑ์ข้าวมาแปรรูปสร้างมูลค่าเพิ่ม ซึ่งนับว่าเป็นการแตกไลน์ธุรกิจใหม่ในรอบ 50-60 ปี และถือว่าเป็นขาธุรกิจที่ 2 ของบริษัท คือ ผู้ส่งออกข้าวอันดับท็อปเท็นของประเทศ
และผู้ผลิตและจัดจำหน่ายข้าวบรรจุถุงหงษ์ทอง
ล่าสุดทุ่มงบ 30-50 ล้านบาท เปิดตัวข้าวกล้องพร้อมรับประทานแบรนด์หงษ์ทอง และน้ำนมข้าวแบรนด์Frezfill และเครื่องดื่มให้พลังงงานจากข้าวแบรนด์ Enere วางตำแหน่งเครื่องดื่มฟังก์ชันนัลในเซกเมนต์น้ำนมข้าวมูลค่า 1,000 ล้านบาท วางจำหน่ายช่องทางโมเดิร์นเทรด และร้านสะดวกซื้อ ขณะที่ปีหน้านี้บริษัทจะเปิดตัวข้าวพร้อมทานกับรูปแบบกับข้าว เบื้องต้นคาดว่าใช้ข้าวมาแปรรูปราว 3,000
ตันต่อปี โดยวางเป้าหมายรายได้ 200-300 ล้านบาท การส่งออกสัดส่วน60-70% และภายในประเทศ 30-40%
สำหรับแผนการส่งออกข้าวของบริษัท เน้นสื่อสารถึงข้าวหอมมะลิมีคุณภาพและแตกต่างจากข้าวประเทศคู่แข่ง และทำโปรโมชันแจกคูปองส่วนลดให้ลูกค้า เพื่อลดผลกระทบจากโครงการจำนำข้าวและทำให้ราคาข้าวสูงขึ้น และรักษาฐานลูกค้าในตลาดต่างประเทศ จากผลประกอบการปีนี้มีรายได้ส่งออก 5,000 ล้านบาท