ซี.พี.เร่งขยายการลงทุนโรงงานผลิตอาหารสัตว์ ฟาร์มและโรงงานผลิตอาหารแปรรูปในประเทศเพื่อนบ้านรองรับการเปิดAEC เล็งตั้งโรงงานผลิตปลาแช่เข็งส่งออก โดยได้สิทธิจีเอสพีในตลาดสหรัฐและยุโรป ตั้งเป้าหมายรักษาการโตไม่ต่ำกว่า 20%ของยอดขาย แนะนักลงทุนไทยรีบเข้าไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้านก่อนสายเกินไป
นายสกล ชีวะโกเศรษฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.กัมพูชา จำกัด และบริษัท ซี.พี.ลาว จำกัด กล่าวในงานเสวนายุทธศาสตร์ธุรกิจไทยท่ามกลางการเติบโตของกลุ่มCLMVว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.)ใช้โมเดลการทำธุรกิจในไทยไปการลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งเวียดนาม กัมพูชา ลาวและพม่า โดยเริ่มจากการเข้าไปทำธุรกิจอาหารสัตว์ก่อนขยายสู่ไปสู่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์บก และอาหารมนุษย์ โดยธุรกิจซี.พี.ในประเทศเหล่านี้มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องมาตลอด พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายในอนาคตที่จะรักษาอัตราการเติบโตทางธุรกิจประมาณ 20%ของยอดขาย
โดยปีนี้บริษัทฯลงทุนธุรกิจอาหารสัตว์ในลาวเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 6 หมื่นตัน/ปี เป็น 1.2 แสนตัน/ปี ส่วนกัมพูชาก็ลงทุนธุรกิจอาหารสัตว์เพิ่มเติมเช่นกัน ใช้เงินลงทุนรวม 300 ล้านบาท ทำให้กำลังการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นจาก 2.4 หมื่นตัน/เดือนเป็น 3.5 หมื่นตัน/เดือน จะแล้วเสร็จในปลายปีนี้
สำหรับธุรกิจการเลี้ยงสัตว์บกก็จะมีการขยายการลงทุนเพิ่มเติมเช่นกัน โดยจะลงทุนทำฟาร์มเลี้ยงสุกรเพิ่มที่กัมพูชา ใช้เงินประมาณ 200 ล้านบาท และฟาร์มเลี้ยงสุกรที่ลาวอีก 200-300 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกปี 2556 ส่วนธุรกิจอาหารจะลงทุนในกัมพูชาจะลงทุนเพิ่มอีก 20 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรผลิตไส้กรอก เป็นต้น เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศได้สิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี)กับสหรัฐฯและสหภาพยุโรป ดังนั้นบริษัทฯอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะทำโรงงานผลิตสัตว์น้ำแช่แข็งส่งออกไปเพื่ออาศัยสิทธิจีเอสพี จากเดิมที่เน้นทำตลาดภายในประเทศเป็นหลัก โดยยอดขายทั้ง 2 ประเทศคิดเป็น 3-4%ของยอดขายรวมของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF
นายชัยนันท์ หนูเพ็ชร์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซี.พี.เวียดนาม จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯมีการลงทุนโรงงานผลิตอาหารสัตว์อีก 7 แสนตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 1,200 ล้านบาท จะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ นอกจากนี้จะตั้งโรงงานผลิตสัตว์น้ำแช่แข็งเพื่อส่งออกอีก 600 ล้านบาทในปีนี้ด้วย
ปัจจุบันซี.พี.มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ที่เวียดนาม 8 โรง มีฟาร์มเลี้ยงสัตว์ถึง 30 แห่ง โรงงานแปรรูปอาหารอีก 2 โรง และโรงงานผลิตกุ้ง 1 โรง โดยกำลังการผลิตส่วนใหญ่ 90%จำหน่ายในประเทศ โดยมีทรัพย์สินรวม 2.4 หมื่นล้านบาทจากการลงทุนมานานร่วม 20ปี ปี 2554 บริษัท ซี.พี.เวียดนาม มียอดขาย 4.2 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 20% ตั้งเป้าว่าจะรักษายอดขายเติบโตขึ้นในอัตรานี้ในอีก 3ปีข้างหน้า
นายบุญเกียรติ ชีวะตระกูลกิจ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนากลยุทธ์และธุรกิจกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า หลังจากพม่าเปิดประเทศทำให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในพม่ามากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทเตรียมเร่งขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับตลาดในประเทศที่ขยายตัว โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ขนาด 2.5 หมื่นตัน/เดือน และฟาร์มเลี้ยงลูกไก่ 1 ล้านตัว/สัปดาห์ รวมทั้งโรงงานผลิตไส้กรอกขนาด 7 พันตัน/ปี โดยตั้งเป้าหมายขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในปี 2558 หรือเติบโตไม่น้อยกว่าปีละ 20%
นายบุญเกียรติ กล่าวต่อไปว่า นักลงทุนไทยควรเร่งเข้าไปลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้านก่อนที่จะเสียโอกาส โดยมีหลายกลุ่มธุรกิจที่ยังลงทุนได้อีก โดยเฉพาะที่พม่ามีธุรกิจน่าลงทุน คือ ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร โรงพยาบาล ส่วนเวียดนามนั้นพบว่ามีบริษัทขนาดใหญ่ของไทยไปลงทุนแล้ว และเมื่อ 4-5ปีสิ่งทอไทยก็ย้ายฐานไปลงทุนที่เวียดนามหากไม่เร่งขยายการลงทุนอาจสายเกินไป ส่วนธุรกิจเทรดดิ้งหรือการค้านั้นเวียดนามไม่สนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ
สำหรับลาวและกัมพูชาพบว่านักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนมากในช่วงนี้ เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพและมีวัตถุดิบมาก จึงเป็นโอกาสของคนไทยที่จะเข้าไปลงทุนเช่นกันเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)ในปี 2558
นายสกล ชีวะโกเศรษฐ กรรมการผู้จัดการ บริษัท ซี.พี.กัมพูชา จำกัด และบริษัท ซี.พี.ลาว จำกัด กล่าวในงานเสวนายุทธศาสตร์ธุรกิจไทยท่ามกลางการเติบโตของกลุ่มCLMVว่า เครือเจริญโภคภัณฑ์ (ซี.พี.)ใช้โมเดลการทำธุรกิจในไทยไปการลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้านทั้งเวียดนาม กัมพูชา ลาวและพม่า โดยเริ่มจากการเข้าไปทำธุรกิจอาหารสัตว์ก่อนขยายสู่ไปสู่ฟาร์มเลี้ยงสัตว์บก และอาหารมนุษย์ โดยธุรกิจซี.พี.ในประเทศเหล่านี้มีอัตราการเติบโตต่อเนื่องมาตลอด พร้อมทั้งตั้งเป้าหมายในอนาคตที่จะรักษาอัตราการเติบโตทางธุรกิจประมาณ 20%ของยอดขาย
โดยปีนี้บริษัทฯลงทุนธุรกิจอาหารสัตว์ในลาวเพิ่มเติม ใช้เงินลงทุน 150 ล้านบาท ทำให้มีกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นจาก 6 หมื่นตัน/ปี เป็น 1.2 แสนตัน/ปี ส่วนกัมพูชาก็ลงทุนธุรกิจอาหารสัตว์เพิ่มเติมเช่นกัน ใช้เงินลงทุนรวม 300 ล้านบาท ทำให้กำลังการผลิตอาหารสัตว์เพิ่มขึ้นจาก 2.4 หมื่นตัน/เดือนเป็น 3.5 หมื่นตัน/เดือน จะแล้วเสร็จในปลายปีนี้
สำหรับธุรกิจการเลี้ยงสัตว์บกก็จะมีการขยายการลงทุนเพิ่มเติมเช่นกัน โดยจะลงทุนทำฟาร์มเลี้ยงสุกรเพิ่มที่กัมพูชา ใช้เงินประมาณ 200 ล้านบาท และฟาร์มเลี้ยงสุกรที่ลาวอีก 200-300 ล้านบาท คาดว่าจะแล้วเสร็จในไตรมาสแรกปี 2556 ส่วนธุรกิจอาหารจะลงทุนในกัมพูชาจะลงทุนเพิ่มอีก 20 ล้านบาท เพื่อซื้อเครื่องจักรผลิตไส้กรอก เป็นต้น เนื่องจากทั้ง 2 ประเทศได้สิทธิพิเศษทางการค้า (จีเอสพี)กับสหรัฐฯและสหภาพยุโรป ดังนั้นบริษัทฯอยู่ระหว่างการพิจารณาที่จะทำโรงงานผลิตสัตว์น้ำแช่แข็งส่งออกไปเพื่ออาศัยสิทธิจีเอสพี จากเดิมที่เน้นทำตลาดภายในประเทศเป็นหลัก โดยยอดขายทั้ง 2 ประเทศคิดเป็น 3-4%ของยอดขายรวมของบริษัท เจริญโภคภัณฑ์อาหาร จำกัด (มหาชน) หรือ CPF
นายชัยนันท์ หนูเพ็ชร์ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส บริษัท ซี.พี.เวียดนาม จำกัด กล่าวว่า ในปีนี้บริษัทฯมีการลงทุนโรงงานผลิตอาหารสัตว์อีก 7 แสนตัน/ปี ใช้เงินลงทุน 1,200 ล้านบาท จะแล้วเสร็จในปลายปีนี้ นอกจากนี้จะตั้งโรงงานผลิตสัตว์น้ำแช่แข็งเพื่อส่งออกอีก 600 ล้านบาทในปีนี้ด้วย
ปัจจุบันซี.พี.มีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ที่เวียดนาม 8 โรง มีฟาร์มเลี้ยงสัตว์ถึง 30 แห่ง โรงงานแปรรูปอาหารอีก 2 โรง และโรงงานผลิตกุ้ง 1 โรง โดยกำลังการผลิตส่วนใหญ่ 90%จำหน่ายในประเทศ โดยมีทรัพย์สินรวม 2.4 หมื่นล้านบาทจากการลงทุนมานานร่วม 20ปี ปี 2554 บริษัท ซี.พี.เวียดนาม มียอดขาย 4.2 หมื่นล้านบาท เติบโตขึ้น 20% ตั้งเป้าว่าจะรักษายอดขายเติบโตขึ้นในอัตรานี้ในอีก 3ปีข้างหน้า
นายบุญเกียรติ ชีวะตระกูลกิจ รองกรรมการผู้จัดการอาวุโส ด้านพัฒนากลยุทธ์และธุรกิจกลุ่มธุรกิจเกษตรอุตสาหกรรมและอาหาร เครือเจริญโภคภัณฑ์ กล่าวว่า หลังจากพม่าเปิดประเทศทำให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนในพม่ามากยิ่งขึ้น ทำให้บริษัทเตรียมเร่งขยายการลงทุนเพิ่มขึ้นเพื่อรองรับตลาดในประเทศที่ขยายตัว โดยปัจจุบันบริษัทมีโรงงานผลิตอาหารสัตว์ขนาด 2.5 หมื่นตัน/เดือน และฟาร์มเลี้ยงลูกไก่ 1 ล้านตัว/สัปดาห์ รวมทั้งโรงงานผลิตไส้กรอกขนาด 7 พันตัน/ปี โดยตั้งเป้าหมายขยายกำลังการผลิตเพิ่มขึ้นอีกเท่าตัวภายในปี 2558 หรือเติบโตไม่น้อยกว่าปีละ 20%
นายบุญเกียรติ กล่าวต่อไปว่า นักลงทุนไทยควรเร่งเข้าไปลงทุนยังประเทศเพื่อนบ้านก่อนที่จะเสียโอกาส โดยมีหลายกลุ่มธุรกิจที่ยังลงทุนได้อีก โดยเฉพาะที่พม่ามีธุรกิจน่าลงทุน คือ ท่องเที่ยว โรงแรม ร้านอาหาร โรงพยาบาล ส่วนเวียดนามนั้นพบว่ามีบริษัทขนาดใหญ่ของไทยไปลงทุนแล้ว และเมื่อ 4-5ปีสิ่งทอไทยก็ย้ายฐานไปลงทุนที่เวียดนามหากไม่เร่งขยายการลงทุนอาจสายเกินไป ส่วนธุรกิจเทรดดิ้งหรือการค้านั้นเวียดนามไม่สนับสนุนการลงทุนจากต่างประเทศ
สำหรับลาวและกัมพูชาพบว่านักลงทุนต่างชาติเข้าไปลงทุนมากในช่วงนี้ เนื่องจากการเมืองมีเสถียรภาพและมีวัตถุดิบมาก จึงเป็นโอกาสของคนไทยที่จะเข้าไปลงทุนเช่นกันเพื่อรองรับการเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (AEC)ในปี 2558
