**ตามปฏิทินชาวเผ่ามายาบอกว่าโลกจะแตกในวันที่ 21 เดือนธันวาคม ปี 2555 ก็คือวันเปิดประชุมรัฐสภาพอดิบพอดี
ไม่ว่าพายุสุริยะจะเข้า โลกจะแตก ครูใต้จะตายรายวัน หรือประชาชนกำลังเดือดร้อนแสนสาหัสจากค่าครองชีพที่สูงลิบลิ่ว และกำลังจะต้องเผชิญกับชะตากรรมชักหน้าไม่ถึงหลังกันแบบจะๆในปีหน้า หลังค่าแรง 300 พ่นพิษทั่วประเทศ
แต่รัฐบาลดูเหมือนจะสมาธิดีเยี่ยม ไม่สนใจที่ถูกเปิดโปงในเรื่องการทุจริตมโหฬาร ทั้งจากการจำนำข้าว และงบน้ำท่วม 1.2 แสนล้าน เพราะถูกฝ่ายค้าน-พรรคประชาธิปัตย์ ลากไส้ในการซักฟอกจน พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย เกือบหัวใจหยุดเต้นกลางสภา เมื่อถูกแฉเรื่องงบขุดลอกคูคลอก ที่กลายเป็นงบขุดหลอกคูคลอง งาบงบหลวงแต่ไม่ทำจริง โดยเอาชีวิตประชาชนเป็นเดิมพันเสี่ยงกับน้ำท่วมระลอกใหม่
ขณะที่รัฐบาลสร้างภาพเทงบฯแก้ปัญหาไปแล้วแบบครบวงจร ทั้งที่ความจริงคือ ไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกจากเงินงอกในกระเป๋า “เจ๊ด.แดกดุ” และพรรคพวกเพิ่มเติมเท่านั้น
จีทูจี ก็ถูกทูตจีนแฉยับว่า เป็นเรื่องลวงโลก รัฐบาลจีนไม่ได้ซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย ไม่มีการเปิดแอลซี ไม่มีการโอนเงิน ที่สำคัญไม่มีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตัน ตามที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาคุยโว
หลักฐานชัดเจนแต่รัฐบาลทำเหมือนตาบอด หูหนวก เพราะคิดว่าปิดปากสื่อหลักได้ ทำให้ประชาชนตาบอด พลอยมองไม่เห็นการโกงทั้งแผ่นดินของรัฐบาล ซึ่งล่าสุดแบงก์ชาติตีแสกหน้าโครงการจำนำข้าวได้อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมายิ่ง
ว่าจะขาดทุนปีละไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท และเงินที่ถึงมือชาวนามีเพียงแค่ 17 % เท่านั้น เท่ากับว่ามีส่วนต่าง 83,000 ล้านบาทที่ตกหล่นระหว่างทาง ไหลไปเข้ากระเป๋านักการเมือง พ่อค้าคนกลาง โรงสี เซอเวเยอร์
แถมยังเปรียบเทียบให้เจ็บกระดองใจด้วยว่า เงิน 83,000 ล้านบาทที่หายไปกับการทุจริตนี้ สามารถนำมาดูแลคนไทยได้ 15 ล้านคนตั้งแต่เกิดจนตาย และถ้าทำโครงการต่อเนื่อง 5 ปี การขาดทุนสะสมดังกล่าวจะนำมาดูแลคนไทยได้ทั้งชาติ
แต่รัฐบาลก็ไม่นำพา มุ่งเดินหน้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญกันแบบเอาเป็นเอาตาย แม้ว่าท่าทีล่าสุดจากทั้งนักโทษที่สื่อสารมายังนายกฯ ผู้เป็นน้องสาว ก่อนจะออกมารับลูกกันชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศ คือนักโทษหนีคุก โดยยอมรับว่าคุยกับนักโทษเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเริ่มส่งสัญญาณเหมือนจะถอย แต่ยังไม่หยุดท่าทีรุก
**เรียกว่าเดินทุกทาง
ขาหนึ่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ เล่นบทมุตตาใสซื่อ บริสุทธิ์ จะหยุดความขัดแย้งด้วยการทำประชามติ แต่ก็ไม่ยอมพูดให้ชัดเจนเพราะยังมีการติ่งเรื่องของประชาพิจารณ์ หรือสานเสวนาเอาไว้ด้วย ซึ่งเรื่องหลังนี้รัฐบาลได้ใช้งบหลวง 168 ล้าน ใช้กลไกรัฐคือมหาดไทย จัดเวทีมายา 108 เวที รับฟังความเห็นประชาชน เพื่อนำมาอ้างสร้างความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ การนิรโทษกรรมไปพร้อมๆ กัน
**ดังนั้นใครที่คิดว่ารัฐบาลยอมถอยที่จะทำประชามติ อาจเป็นได้แค่ฝันค้าง เพราะสุดท้ายเป้าหมายของรัฐบาลคือเวทีมายาจากการสานเสวนาที่มีธงยัดเยียด ล้างสมองประชาชนให้เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรม เพื่อนำมาใช้เป็นข้ออ้างในทางการเมือง
เพราะรัฐบาลคงไม่เสี่ยงที่จะทำประชามติในห้วงเวลาที่สถานการณ์ของรัฐบาลมิได้เป็นบวก แต่กำลังดำดิ่งสู่ก้นเหวลึกมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแต่รัฐบาลที่เอาผ้าดำคลุมกระจกเอาไว้ จนตัวเองก็มองไม่เห็นภาพสะท้อนความจริงนั้น จะฉุดรัฐบาลชุดนี้ลงเหวในเวลาอันใกล้นี้
ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการสร้างวิกฤต ในทางกลับกันมันก็เป็นการสร้างโอกาสด้วยเช่นเดียวกัน เพราะ 15 ล้านเสียงที่เลือก ยิ่งลักษณ์ ให้เข้ามาบริหารประเทศ มิใช่ต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญที่กินไม่ได้แต่ทักษิณได้ประโยชน์ แต่ต้องการโครงการประชานิยม ความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งก็พิสูจน์กันได้ด้วยตัวเองแล้วว่า
**ปีเศษที่ผ่านมาเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น หรือล้วงไปเจอแต่ตั๋วรับจำนำ
ขณะที่รัฐบาลยังระเริงกับการใช้อำนาจโดยลืมคิดไปว่า อำนาจที่ได้มานั้นประชาชนมอบให้เพียงชั่วคราว และมีสิทธิตรวจสอบ แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยในการบริหารที่สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติได้ การจัดเวทีมายาสานเสวนาเป็นสนามรบทางปัญญาที่สำคัญ ที่อาจสร้างโอกาสให้ไทยพ้นจากวิกฤตการเมืองได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ ด้วยการปฏิวัติจากประชาชนอย่างแท้จริง
เพียงแต่เป็นการปฏิวัติทางปัญญาที่เกิดการตื่นรู้ เท่าทันรัฐบาลทรราช จนต้องพ่ายพลังของประชาชนไปในที่สุด โดยมีเรื่องของรัฐธรรมนูญเป็นเดิมพัน ในวันนั้นประชาชนอาจจะบอกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่กำลังลำพองใจว่าเป็นเสียงข้างมากของประเทศนี้ว่า
แท้จริงแล้วรัฐบาลคือเสียงข้างน้อยของประเทศ และประชาชนไม่ยอมรับรัฐบาลที่เห็นแก่ประโยชน์พี่ชายมากกว่าผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ซึ่งการแสดงพลังดังกล่าวไม่จำเป็นต้องชุมนุมประท้วง แต่ตีแผ่ให้ปัญญาจนเกิดการแสดงออกทั่วประเทศว่า ต้องการหยุดยั้งการฉีกรัฐธรรมนูญของรัฐบาล
**แสดงออกโดยสันติ ขึ้นป้ายหน้าบ้านด้วยถ้อยคำง่ายๆ “ไม่แก้รัฐธรรมนูญ”
ปรากฏการณ์จากอียิปต์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ จากการชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรงนานหลายสัปดาห์ ต่อต้านรัฐบาลที่พยายามจะแก้กฎหมาย รวบอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดไว้ที่ประธานาธิบดี เพื่อให้ฝ่ายบริหารอยู่เหนือการตรวจสอบจากตุลาการ เป็นพฤติกรรมไม่แตกต่างไปจากที่รัฐบาลชุดนี้กำลังจะปักธงในการฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วร่างใหม่เพื่อให้ฝ่ายบริหารเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ระบบตุลาการอ่อนแอ องค์กรอิสระไร้ความหมาย สิทธิของภาคประชาชนถูกลิดรอน ซึ่งแทบจะไม่ต่างจากวิธีคิดของรัฐบาลอียิปต์ ซึ่งสุดท้าย นายโมฮาเหม็ด มอร์ซี ประธานาธิบดี ก็ยอมที่จะยกเลิกกฤษฎีกาดังกล่าวให้เป็นโมฆะ ถือเป็นชัยชนะของประชาชน อย่างแท้จริง
**สำหรับประเทศไทย เราไม่จำเป็นต้องชุมนุมบาดเจ็บให้เสียดเลือดเนื้อจนชาติบอบช้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงแต่ช่วยกันแสดงออกว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็จะเป็นพลังกดดันรัฐบาลไม่ให้ลุแก่อำนาจแก้กติกาสูงสุดเพื่อนักโทษได้แล้ว
ไม่ว่าพายุสุริยะจะเข้า โลกจะแตก ครูใต้จะตายรายวัน หรือประชาชนกำลังเดือดร้อนแสนสาหัสจากค่าครองชีพที่สูงลิบลิ่ว และกำลังจะต้องเผชิญกับชะตากรรมชักหน้าไม่ถึงหลังกันแบบจะๆในปีหน้า หลังค่าแรง 300 พ่นพิษทั่วประเทศ
แต่รัฐบาลดูเหมือนจะสมาธิดีเยี่ยม ไม่สนใจที่ถูกเปิดโปงในเรื่องการทุจริตมโหฬาร ทั้งจากการจำนำข้าว และงบน้ำท่วม 1.2 แสนล้าน เพราะถูกฝ่ายค้าน-พรรคประชาธิปัตย์ ลากไส้ในการซักฟอกจน พล.ต.ท.ชัจจ์ กุลดิลก รมช.มหาดไทย เกือบหัวใจหยุดเต้นกลางสภา เมื่อถูกแฉเรื่องงบขุดลอกคูคลอก ที่กลายเป็นงบขุดหลอกคูคลอง งาบงบหลวงแต่ไม่ทำจริง โดยเอาชีวิตประชาชนเป็นเดิมพันเสี่ยงกับน้ำท่วมระลอกใหม่
ขณะที่รัฐบาลสร้างภาพเทงบฯแก้ปัญหาไปแล้วแบบครบวงจร ทั้งที่ความจริงคือ ไม่มีอะไรในกอไผ่ นอกจากเงินงอกในกระเป๋า “เจ๊ด.แดกดุ” และพรรคพวกเพิ่มเติมเท่านั้น
จีทูจี ก็ถูกทูตจีนแฉยับว่า เป็นเรื่องลวงโลก รัฐบาลจีนไม่ได้ซื้อข้าวจากรัฐบาลไทย ไม่มีการเปิดแอลซี ไม่มีการโอนเงิน ที่สำคัญไม่มีสัญญาซื้อขาย 5 ล้านตัน ตามที่รัฐบาลยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ออกมาคุยโว
หลักฐานชัดเจนแต่รัฐบาลทำเหมือนตาบอด หูหนวก เพราะคิดว่าปิดปากสื่อหลักได้ ทำให้ประชาชนตาบอด พลอยมองไม่เห็นการโกงทั้งแผ่นดินของรัฐบาล ซึ่งล่าสุดแบงก์ชาติตีแสกหน้าโครงการจำนำข้าวได้อย่างชัดเจน ตรงไปตรงมายิ่ง
ว่าจะขาดทุนปีละไม่ต่ำกว่า 1 แสนล้านบาท และเงินที่ถึงมือชาวนามีเพียงแค่ 17 % เท่านั้น เท่ากับว่ามีส่วนต่าง 83,000 ล้านบาทที่ตกหล่นระหว่างทาง ไหลไปเข้ากระเป๋านักการเมือง พ่อค้าคนกลาง โรงสี เซอเวเยอร์
แถมยังเปรียบเทียบให้เจ็บกระดองใจด้วยว่า เงิน 83,000 ล้านบาทที่หายไปกับการทุจริตนี้ สามารถนำมาดูแลคนไทยได้ 15 ล้านคนตั้งแต่เกิดจนตาย และถ้าทำโครงการต่อเนื่อง 5 ปี การขาดทุนสะสมดังกล่าวจะนำมาดูแลคนไทยได้ทั้งชาติ
แต่รัฐบาลก็ไม่นำพา มุ่งเดินหน้าจะแก้ไขรัฐธรรมนูญกันแบบเอาเป็นเอาตาย แม้ว่าท่าทีล่าสุดจากทั้งนักโทษที่สื่อสารมายังนายกฯ ผู้เป็นน้องสาว ก่อนจะออกมารับลูกกันชัดเจนว่า นายกรัฐมนตรีตัวจริงของประเทศ คือนักโทษหนีคุก โดยยอมรับว่าคุยกับนักโทษเกี่ยวกับเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ และเริ่มส่งสัญญาณเหมือนจะถอย แต่ยังไม่หยุดท่าทีรุก
**เรียกว่าเดินทุกทาง
ขาหนึ่งให้นางสาวยิ่งลักษณ์ เล่นบทมุตตาใสซื่อ บริสุทธิ์ จะหยุดความขัดแย้งด้วยการทำประชามติ แต่ก็ไม่ยอมพูดให้ชัดเจนเพราะยังมีการติ่งเรื่องของประชาพิจารณ์ หรือสานเสวนาเอาไว้ด้วย ซึ่งเรื่องหลังนี้รัฐบาลได้ใช้งบหลวง 168 ล้าน ใช้กลไกรัฐคือมหาดไทย จัดเวทีมายา 108 เวที รับฟังความเห็นประชาชน เพื่อนำมาอ้างสร้างความชอบธรรมในการแก้ไขรัฐธรรมนูญและ การนิรโทษกรรมไปพร้อมๆ กัน
**ดังนั้นใครที่คิดว่ารัฐบาลยอมถอยที่จะทำประชามติ อาจเป็นได้แค่ฝันค้าง เพราะสุดท้ายเป้าหมายของรัฐบาลคือเวทีมายาจากการสานเสวนาที่มีธงยัดเยียด ล้างสมองประชาชนให้เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญ นิรโทษกรรม เพื่อนำมาใช้เป็นข้ออ้างในทางการเมือง
เพราะรัฐบาลคงไม่เสี่ยงที่จะทำประชามติในห้วงเวลาที่สถานการณ์ของรัฐบาลมิได้เป็นบวก แต่กำลังดำดิ่งสู่ก้นเหวลึกมากยิ่งขึ้นเรื่อย ๆ เพียงแต่รัฐบาลที่เอาผ้าดำคลุมกระจกเอาไว้ จนตัวเองก็มองไม่เห็นภาพสะท้อนความจริงนั้น จะฉุดรัฐบาลชุดนี้ลงเหวในเวลาอันใกล้นี้
ถ้าเราคิดว่าสิ่งที่กำลังเกิดขึ้นคือการสร้างวิกฤต ในทางกลับกันมันก็เป็นการสร้างโอกาสด้วยเช่นเดียวกัน เพราะ 15 ล้านเสียงที่เลือก ยิ่งลักษณ์ ให้เข้ามาบริหารประเทศ มิใช่ต้องการให้แก้รัฐธรรมนูญที่กินไม่ได้แต่ทักษิณได้ประโยชน์ แต่ต้องการโครงการประชานิยม ความเป็นอยู่ที่ดี ซึ่งก็พิสูจน์กันได้ด้วยตัวเองแล้วว่า
**ปีเศษที่ผ่านมาเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้น หรือล้วงไปเจอแต่ตั๋วรับจำนำ
ขณะที่รัฐบาลยังระเริงกับการใช้อำนาจโดยลืมคิดไปว่า อำนาจที่ได้มานั้นประชาชนมอบให้เพียงชั่วคราว และมีสิทธิตรวจสอบ แสดงออกถึงความไม่เห็นด้วยในการบริหารที่สร้างความเสียหายต่อประเทศชาติได้ การจัดเวทีมายาสานเสวนาเป็นสนามรบทางปัญญาที่สำคัญ ที่อาจสร้างโอกาสให้ไทยพ้นจากวิกฤตการเมืองได้โดยไม่เสียเลือดเนื้อ ด้วยการปฏิวัติจากประชาชนอย่างแท้จริง
เพียงแต่เป็นการปฏิวัติทางปัญญาที่เกิดการตื่นรู้ เท่าทันรัฐบาลทรราช จนต้องพ่ายพลังของประชาชนไปในที่สุด โดยมีเรื่องของรัฐธรรมนูญเป็นเดิมพัน ในวันนั้นประชาชนอาจจะบอกรัฐบาลยิ่งลักษณ์ ที่กำลังลำพองใจว่าเป็นเสียงข้างมากของประเทศนี้ว่า
แท้จริงแล้วรัฐบาลคือเสียงข้างน้อยของประเทศ และประชาชนไม่ยอมรับรัฐบาลที่เห็นแก่ประโยชน์พี่ชายมากกว่าผลประโยชน์ของชาติบ้านเมือง ซึ่งการแสดงพลังดังกล่าวไม่จำเป็นต้องชุมนุมประท้วง แต่ตีแผ่ให้ปัญญาจนเกิดการแสดงออกทั่วประเทศว่า ต้องการหยุดยั้งการฉีกรัฐธรรมนูญของรัฐบาล
**แสดงออกโดยสันติ ขึ้นป้ายหน้าบ้านด้วยถ้อยคำง่ายๆ “ไม่แก้รัฐธรรมนูญ”
ปรากฏการณ์จากอียิปต์ที่เพิ่งผ่านพ้นไปหมาดๆ จากการชุมนุมประท้วงอย่างรุนแรงนานหลายสัปดาห์ ต่อต้านรัฐบาลที่พยายามจะแก้กฎหมาย รวบอำนาจการตัดสินใจทั้งหมดไว้ที่ประธานาธิบดี เพื่อให้ฝ่ายบริหารอยู่เหนือการตรวจสอบจากตุลาการ เป็นพฤติกรรมไม่แตกต่างไปจากที่รัฐบาลชุดนี้กำลังจะปักธงในการฉีกรัฐธรรมนูญ แล้วร่างใหม่เพื่อให้ฝ่ายบริหารเป็นใหญ่แต่เพียงผู้เดียว ระบบตุลาการอ่อนแอ องค์กรอิสระไร้ความหมาย สิทธิของภาคประชาชนถูกลิดรอน ซึ่งแทบจะไม่ต่างจากวิธีคิดของรัฐบาลอียิปต์ ซึ่งสุดท้าย นายโมฮาเหม็ด มอร์ซี ประธานาธิบดี ก็ยอมที่จะยกเลิกกฤษฎีกาดังกล่าวให้เป็นโมฆะ ถือเป็นชัยชนะของประชาชน อย่างแท้จริง
**สำหรับประเทศไทย เราไม่จำเป็นต้องชุมนุมบาดเจ็บให้เสียดเลือดเนื้อจนชาติบอบช้ำ ซ้ำแล้วซ้ำเล่า เพียงแต่ช่วยกันแสดงออกว่า ไม่เห็นด้วยกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญอย่างพร้อมเพรียงกัน ก็จะเป็นพลังกดดันรัฐบาลไม่ให้ลุแก่อำนาจแก้กติกาสูงสุดเพื่อนักโทษได้แล้ว