นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวถึงการเดินทางไปกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) เพื่อรับทราบข้อกล่าวหาร่วมกันก่อให้ผู้อื่นฆ่าคนตายโดยเจตนาเล็งเห็นผล ร่วมกับ นายสุเทพ เทือกสุบรรณ อดีตรองนายกฯ และอดีตผู้อำนวยการศูนย์อำนวยการแก้ไขสถานการณ์ฉุกเฉิน (ศอฉ.) ในวันนี้ (13ธ.ค.) ว่า ได้เตรียมพร้อมไว้แล้วโดยจะให้การไปตามข้อเท็จจริง แต่ยังไม่สามารถเปิดเผยแนวทางการต่อสู้ได้ ต้องขอฟังข้อกล่าวหาก่อน และจะใช้สิทธิทางกฎหมาย
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้รับรายงานว่าในวันนี้ อาจจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่ม ในคดีเงินบริจาคในช่วงอุทกภัย แต่ไม่น่าจะกระทบต่อสถานภาพการเป็น ส.ส. ของตน ทั้งนี้เห็นว่า มีการตั้งธงที่จะให้ส่งผลกระทบต่สถานภาพการเป็นส.ส. รวมไปถึงการยุบพรรคอยู่แล้ว
"การกระทำดังกล่าวของดีเอสไอ ชัดเจนว่าเป็นการลุแก่อำนาจ แต่คนที่ติดตามข่าวสารมาตลอดน่าจะมีความเข้าใจ ทั้งนี้มองว่าคดีดังกล่าวมีความผิดปกติ เพราะนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ในข่ายที่ต้องถูกสอบด้วย เนื่องจากเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศอฉ. ที่ต้องรับผิดชอบด้วย แต่นายธาริต กลับเป็นผู้ลงนามรับรองสำนวนการสอบสวน ส่วนตัวมองว่า จะได้รับความยุติธรรมเมื่อคดีถึงศาล ส่วนคนที่บิดเบือน ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน"นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า ไม่รู้สึก หวั่นไหว ถึงจะถูกตัดสินประหารชีวิต ก็ต้องยอมรับ ซึ่งไม่คิดมาก่อนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ และหวังว่าวันนี้ จะไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวาย
** ซัด"DSI-พท."บิดเบือนข้อเท็จจริง
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้ เวลา 13.00 น. นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะเดินทางออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปรับทราบข้อกล่าวหาของ ดีเอสไอ โดยอยากขอให้ผู้ที่จะไปให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ให้เดินทางมาที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่ต้องไปที่ดีเอสไอ เพราะไม่อยากให้ตกเป็นเงื่อนไข ของผู้ที่จะมาสร้างสถานการณ์ เพราะหากเกิดอะไรขึ้น เขาต้องโยนให้พรรคประชาธิปัตย์รับผิดชอบแน่นอน ซึ่งเราเห็นว่า ขณะนี้มีความพยายามสร้างภาพว่า นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เหมือนผู้กระทำผิด โดยมีความพยายามดิสเครดิตบุคคลทั้งสอง ด้วยการกำหนดเงื่อนไข 4 ข้อ คือ 1. ต้องไม่หลบหนีคดี 2.ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน 3.ไม่เป็นอุปสรรคต่อคดี และ 4.ไม่ก่อเหตุประการอื่น จึงอยากขอเรียกร้อง ดีเอสไอ ว่า อย่าตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองโดยเลือกปฏิบัติ และบุคคลทั้งสอง จะใช้สิทธิตามกฎหมายต่อไปอย่างแน่นอน
นายชวนนท์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีกระบวนการนำเอาคำสั่ง ศอฉ. มาบิดเบือน ใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ ว่าสั่งให้ทหารใช้อาวุธ ซึ่งตนขอชี้แจงว่า เป็นเพียงคำสั่งที่ให้ใช้อาวุธปกป้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากชายชุดดำ ไม่ได้สั่งให้ใช้อาวุธกับประชาชน นี่จึงถือเป็นการสร้างภาพว่า บุคคลทั้งสองสั่งให้ทหารทำร้ายประชาชน ทั้งที่เป็นคำสั่งตามหลักสากล และชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น
นอกจากนี้พรรคเพื่อไทย ยังบิดเบือนคำสัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์บีบีซี ของนายอภิสิทธิ์ ว่า สั่งการให้ใช้กระสุนจริง ซึ่งนี่ถือเป็นอีกประการหนึ่ง ที่มีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่ได้นำคำให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ มาพูดทั้งหมด จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล และดีเอสไอ หยุดบิดเบือนข้อเท็จจริง และดำเนินการทุกอย่างตรงไปตรงมา
**"ประยุทธ์"ลั่นศอฉ.ไม่เคยสั่งไปฆ่าใคร
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีกรณี ดีเอสไอ แจ้งข้อกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ในการกระชับพื้นที่ของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ว่า ต้องว่าไปในส่วนของกระบวนการยุติธรรมว่า เขาว่าอย่างไร เขาผิดหรือยัง ซึ่งในส่วนของคำสั่งของศอฉ. เป็นคำสั่งกว้างๆ ทั้งหมด เพราะเมื่อมีแผนงาน ก็ต้องมีคำสั่ง แต่ในคำสั่งไม่ได้เขียนให้ไปฆ่าใคร ท่านรู้ดีว่า มีการใช้อาวุธในการชุมนุม ตนว่า ควรไปสู้กันในกระบวนการยุติธรรมดีกว่า
เมื่อถามว่า รู้สึกน้อยใจหรือไม่ที่มีบางฝ่ายวิจารณ์ว่า ท่านลอยตัวเหนือปัญหาการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว่า ตนไม่น้อยใจ ถ้าน้อยใจลาออกไปนานแล้ว คิดว่า ต้องให้เวลาคนไทยในการสร้างความเข้าใจ ประเทศไทยเราแก้ปัญหามาโดยตลอด พอมีเรื่องอะไรขึ้นมา ก็แก้ปัญหา เสร็จแล้วนำเอาไปเก็บไว้ข้างล่าง แล้วก็เริ่มกันใหม่ เสร็จแล้วก็มาแก้กันอีก ตนใช้คำว่า ต้องเรียนรู้ว่า จะอยู่กันอย่างไรต่อไปในอนาคต ทำอย่างไรกฎหมายจึงจะได้รับการนับถือ ต่อให้มีกี่ พ.ร.บ. กี่พ.ร.ก. มันก็ไม่เคารพ และเชื่อมั่นในกฎหมาย ทุกคนต้องเชื่อมั่นในกฎหมาย แต่จะเกิดวันนี้ หรือวันไหนไม่รู้ แต่กฎหมาย คือกฎหมาย ตนก็กลัวว่า จะทำอะไรผิดกฎหมายหรือไม่ เป็นทหารยิ่งต้องระวัง ถามว่าน้อยใจหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่น้อยใจ แต่เหนื่อย คือต้องบังคับตัวเองไม่ให้โมโหพวกสื่อมวลชน ยอมรับว่าเหนื่อย
เมื่อถามว่า มีคนตั้งข้อสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนไปในทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว่า ตนไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตนไม่มีจุดยืนทางการเมือง ตนไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รัฐมนตรี กองทัพมีจุดยืน คือ กองทัพของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน นี่คือ สิ่งที่อยู่ในใจทหารทุกคน วันนี้ทหารต้องมีความ ฉลาด รอบรู้ ทันสมัย มีวิสัยทัศน์
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายพยายามดึงทหารเข้าไปเป็นพวก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว่า แค่เพียงความพยายาม ตนเป็นของทุกคน ไม่ว่า รัฐบาล ฝ่ายค้าน ทุกคนเป็นคนไทยหรือเปล่า ถ้าเป็นคนไทยก็เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องดูแลทุกคน เพราะตนเป็นทหารของประชาชน เมื่อถามว่า เชื่อเรื่องดวงเมืองหรือไม่ ที่โหรทำนายว่า ปีหน้า จะมีสถานการณ์ความขัดแย่งกันรุนแรงมากขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ให้กลับไปห้อยพระก็แล้วกัน
** "เหลิม"สั่งตร.คุมเข้มดีเอสไอ
ด้านร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในวันนี้ (13 ธ.ค.) ซึ่งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะไปรับทราบข้อกล่าวหาว่า จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูแลรักษาความสงบ ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีการเผชิญหน้ากันของมวลชน เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ไป ส่วนบางส่วนที่เดินทางไปก็แค่เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถยื่นขอให้มีการควบคุม หรือไม่ให้ปล่อยตัวนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คงไม่ได้ เป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ตนไม่อยากพูดเรื่องนี้มาก เพราะจะหาว่าเป็นเรื่องการเมือง ซึ่งไม่ใช่เรื่องการเมืองและจะตามมาอีกในลักษณะนี้ เนื่องจากคดีของนายชาญณรงค์ พลศรีลา คนขับแท็กซี่เสื้อแดง ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 พ.ค.53 เสร็จแล้ว
"ไม่ใช่เรื่องการเมืองหรอก ใครจะทำได้ เป็นเทวดามาจากไหนถึงไปเนรมิตให้คนตาย 99 ศพ ผมเข้าใจการสอบสวน จึงสั่งให้มีการสอบสวนชันสูตรพลิกศพ มันจึงพบข้อเท็จจริงดังที่ปรากฎ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น สุดท้ายอาจจะไม่ผิดก็ได้ แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์ ต้องเลิกพูดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง เพราะไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นคดีอาญา หาว่าผมพูดแล้วนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ทำตาม ซึ่งนายธาริตได้รับการแต่งตั้งสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล หากอะไรที่ไม่ถูกต้อง เขาจะกล้าหรือ แล้วธุระอะไรที่ผมจะต้องไปหาเรื่องใส่ตัว แล้วต้องมาติดคุกติดตะราง ไม่เอา ผมไม่ทำหรอก" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
** เย้ย"มาร์ค"จบชีวิตการเมือง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ถือเป็นการเริ่มต้นของคดีการสลายการชุมนุม เมื่อปี 2553 ซึ่งถูกแช่แข็งมานาน ตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ที่สำคัญคือ เมื่อวานนี้ นายอภิสิทธิ์ ยอมรับกับ BBC สื่อชื่อดังระดับโลกว่ามีการใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุมที่ผ่านมาด้วยนั้น เชื่อว่าสังคมไทย และสังคมโลก ยอมรับไม่ได้ ที่ประชาชนออกมาเรียกร้องให้ยุบสภา แต่รัฐบาลกลับน่าจะมีการใช้กระสุนจริงกับประชาชน
ดังนั้นหากมีการใช้กระสุนจริงกับประชาชนแล้วจะไม่ได้รับโทษนั้น คงจะเป็นไปไม่ได้ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง แต่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง ตามกระบวนการยุติธรรมที่ต้องมีผู้รับผิดชอบ ไม่อยากให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม อยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างสำหรับผู้นำประเทศในอนาคต ที่บริหารงานผิดพลาดจนทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิตจำนวนมากด้วยว่า รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงหรือมีการใช้กระสุนจริงกับประชาชนนั้น ต้องรับผลกรรมของตัวเอง ดังนั้นการที่นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า จะเล่นการเมืองอีก10 ปี แล้วจะเกษียณนั้น เมื่อมีคดีนี้คงต้องบอกว่า น่าจะจบแล้วครับท่าน
**ศาลเปิดคดีแกนนำนปช.ก่อการร้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.00 น. วันนี้ (13ธ.ค.) ศาลอาญานัดแถลงเปิดคดี และสืบพยานโจทก์นัดแรก ในคดีที่พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กับพวกรวม 24 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันทำให้ปรากฏกับประชาชนด้วยวาจา มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมกันชุมนุม หรือมั่วสุม ฝ่าฝืนข้อกำหนด พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ระหว่างวันที่ 28 ก.พ.ถึงวันที่ 20 พ.ค. ปี 53 ซึ่งจำเลยใน คดีทั้ง 24 คนต้องเดินทางมาฟังการสืบพยานโจทก์ รวมทั้งนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่โดนศาลเพิกถอนปล่อยตัวชั่วคราว
ด้านนายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 1 กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเตรียมพยานเบิกความในการสืบพยานโจทก์คดีก่อการร้าย ว่า ทางพนักงานอัยการได้เตรียมพยานฝ่ายโจทก์ไว้กว่า 300 ปาก ซึ่งในวันนี้ อาจจะยังไม่มีการสืบพยานโจทก์ แต่จะเป็นการแถลงการณ์เปิดคดี ซึ่งศาลก็อาจจะมีคำสั่งตัดพยานบางปากออกไปได้ แต่คาดว่าคงยากที่จะตัดเพราะมีการคัดกรองพยานมาอย่างดี ส่วนฝ่ายจำเลยเองก็มีพยานจำนวน 20 กว่าปาก ซึ่งในคดีแบบนี้ก็คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร มีการสืบไปเรื่อยๆ สำหรับพยานปากแรกที่จะนำขึ้นเบิกความหากมีการสืบพยานโจทก์ในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ คือ พ.ต.อ.คณิตชัย มหินทรเทพ ผู้กำกับสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล ผู้ร้องทุกข์แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติราชการในสถานที่เกิดเหตุ
นายอภิสิทธิ์ กล่าวด้วยว่า ตนได้รับรายงานว่าในวันนี้ อาจจะมีการแจ้งข้อหาเพิ่ม ในคดีเงินบริจาคในช่วงอุทกภัย แต่ไม่น่าจะกระทบต่อสถานภาพการเป็น ส.ส. ของตน ทั้งนี้เห็นว่า มีการตั้งธงที่จะให้ส่งผลกระทบต่สถานภาพการเป็นส.ส. รวมไปถึงการยุบพรรคอยู่แล้ว
"การกระทำดังกล่าวของดีเอสไอ ชัดเจนว่าเป็นการลุแก่อำนาจ แต่คนที่ติดตามข่าวสารมาตลอดน่าจะมีความเข้าใจ ทั้งนี้มองว่าคดีดังกล่าวมีความผิดปกติ เพราะนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีกรมสอบสวนคดีพิเศษ อยู่ในข่ายที่ต้องถูกสอบด้วย เนื่องจากเป็นหนึ่งในคณะกรรมการ ศอฉ. ที่ต้องรับผิดชอบด้วย แต่นายธาริต กลับเป็นผู้ลงนามรับรองสำนวนการสอบสวน ส่วนตัวมองว่า จะได้รับความยุติธรรมเมื่อคดีถึงศาล ส่วนคนที่บิดเบือน ก็จะได้รับผลกระทบเช่นกัน"นายอภิสิทธิ์ กล่าว และว่า ไม่รู้สึก หวั่นไหว ถึงจะถูกตัดสินประหารชีวิต ก็ต้องยอมรับ ซึ่งไม่คิดมาก่อนว่าจะตกอยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ และหวังว่าวันนี้ จะไม่มีเหตุการณ์ความวุ่นวาย
** ซัด"DSI-พท."บิดเบือนข้อเท็จจริง
นายชวนนท์ อินทรโกมาลย์สุต โฆษกพรรคประชาธิปัตย์ กล่าวว่า วันนี้ เวลา 13.00 น. นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะเดินทางออกจากพรรคประชาธิปัตย์ ไปรับทราบข้อกล่าวหาของ ดีเอสไอ โดยอยากขอให้ผู้ที่จะไปให้กำลังใจนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ ให้เดินทางมาที่พรรคประชาธิปัตย์ โดยไม่ต้องไปที่ดีเอสไอ เพราะไม่อยากให้ตกเป็นเงื่อนไข ของผู้ที่จะมาสร้างสถานการณ์ เพราะหากเกิดอะไรขึ้น เขาต้องโยนให้พรรคประชาธิปัตย์รับผิดชอบแน่นอน ซึ่งเราเห็นว่า ขณะนี้มีความพยายามสร้างภาพว่า นายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ เหมือนผู้กระทำผิด โดยมีความพยายามดิสเครดิตบุคคลทั้งสอง ด้วยการกำหนดเงื่อนไข 4 ข้อ คือ 1. ต้องไม่หลบหนีคดี 2.ไม่ยุ่งเกี่ยวกับพยานหลักฐาน 3.ไม่เป็นอุปสรรคต่อคดี และ 4.ไม่ก่อเหตุประการอื่น จึงอยากขอเรียกร้อง ดีเอสไอ ว่า อย่าตกเป็นเหยื่อของนักการเมืองโดยเลือกปฏิบัติ และบุคคลทั้งสอง จะใช้สิทธิตามกฎหมายต่อไปอย่างแน่นอน
นายชวนนท์ กล่าวด้วยว่า ขณะนี้มีกระบวนการนำเอาคำสั่ง ศอฉ. มาบิดเบือน ใส่ร้ายนายอภิสิทธิ์ ว่าสั่งให้ทหารใช้อาวุธ ซึ่งตนขอชี้แจงว่า เป็นเพียงคำสั่งที่ให้ใช้อาวุธปกป้องประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากชายชุดดำ ไม่ได้สั่งให้ใช้อาวุธกับประชาชน นี่จึงถือเป็นการสร้างภาพว่า บุคคลทั้งสองสั่งให้ทหารทำร้ายประชาชน ทั้งที่เป็นคำสั่งตามหลักสากล และชอบด้วยกฎหมายทั้งสิ้น
นอกจากนี้พรรคเพื่อไทย ยังบิดเบือนคำสัมภาษณ์ทางสถานีโทรทัศน์บีบีซี ของนายอภิสิทธิ์ ว่า สั่งการให้ใช้กระสุนจริง ซึ่งนี่ถือเป็นอีกประการหนึ่ง ที่มีความพยายามบิดเบือนข้อเท็จจริง โดยไม่ได้นำคำให้สัมภาษณ์ของนายอภิสิทธิ์ มาพูดทั้งหมด จึงอยากเรียกร้องให้รัฐบาล และดีเอสไอ หยุดบิดเบือนข้อเท็จจริง และดำเนินการทุกอย่างตรงไปตรงมา
**"ประยุทธ์"ลั่นศอฉ.ไม่เคยสั่งไปฆ่าใคร
พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา ผู้บัญชาการทหารบก กล่าวถึงกรณีกรณี ดีเอสไอ แจ้งข้อกล่าวหา นายอภิสิทธิ์ และ นายสุเทพ ในการกระชับพื้นที่ของกลุ่มคนเสื้อแดง เมื่อปี 2553 ว่า ต้องว่าไปในส่วนของกระบวนการยุติธรรมว่า เขาว่าอย่างไร เขาผิดหรือยัง ซึ่งในส่วนของคำสั่งของศอฉ. เป็นคำสั่งกว้างๆ ทั้งหมด เพราะเมื่อมีแผนงาน ก็ต้องมีคำสั่ง แต่ในคำสั่งไม่ได้เขียนให้ไปฆ่าใคร ท่านรู้ดีว่า มีการใช้อาวุธในการชุมนุม ตนว่า ควรไปสู้กันในกระบวนการยุติธรรมดีกว่า
เมื่อถามว่า รู้สึกน้อยใจหรือไม่ที่มีบางฝ่ายวิจารณ์ว่า ท่านลอยตัวเหนือปัญหาการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว่า ตนไม่น้อยใจ ถ้าน้อยใจลาออกไปนานแล้ว คิดว่า ต้องให้เวลาคนไทยในการสร้างความเข้าใจ ประเทศไทยเราแก้ปัญหามาโดยตลอด พอมีเรื่องอะไรขึ้นมา ก็แก้ปัญหา เสร็จแล้วนำเอาไปเก็บไว้ข้างล่าง แล้วก็เริ่มกันใหม่ เสร็จแล้วก็มาแก้กันอีก ตนใช้คำว่า ต้องเรียนรู้ว่า จะอยู่กันอย่างไรต่อไปในอนาคต ทำอย่างไรกฎหมายจึงจะได้รับการนับถือ ต่อให้มีกี่ พ.ร.บ. กี่พ.ร.ก. มันก็ไม่เคารพ และเชื่อมั่นในกฎหมาย ทุกคนต้องเชื่อมั่นในกฎหมาย แต่จะเกิดวันนี้ หรือวันไหนไม่รู้ แต่กฎหมาย คือกฎหมาย ตนก็กลัวว่า จะทำอะไรผิดกฎหมายหรือไม่ เป็นทหารยิ่งต้องระวัง ถามว่าน้อยใจหรือไม่ ตอบเลยว่าไม่น้อยใจ แต่เหนื่อย คือต้องบังคับตัวเองไม่ให้โมโหพวกสื่อมวลชน ยอมรับว่าเหนื่อย
เมื่อถามว่า มีคนตั้งข้อสังเกตว่า พล.อ.ประยุทธ์ เปลี่ยนไปในทางการเมือง พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว่า ตนไม่มีการเปลี่ยนแปลง ตนไม่มีจุดยืนทางการเมือง ตนไม่ใช่นายกรัฐมนตรี ไม่ใช่รัฐมนตรี กองทัพมีจุดยืน คือ กองทัพของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ และประชาชน นี่คือ สิ่งที่อยู่ในใจทหารทุกคน วันนี้ทหารต้องมีความ ฉลาด รอบรู้ ทันสมัย มีวิสัยทัศน์
เมื่อถามว่า หลายฝ่ายพยายามดึงทหารเข้าไปเป็นพวก พล.อ.ประยุทธ์ กล่าว่า แค่เพียงความพยายาม ตนเป็นของทุกคน ไม่ว่า รัฐบาล ฝ่ายค้าน ทุกคนเป็นคนไทยหรือเปล่า ถ้าเป็นคนไทยก็เป็นหน้าที่ของตนที่ต้องดูแลทุกคน เพราะตนเป็นทหารของประชาชน เมื่อถามว่า เชื่อเรื่องดวงเมืองหรือไม่ ที่โหรทำนายว่า ปีหน้า จะมีสถานการณ์ความขัดแย่งกันรุนแรงมากขึ้น พล.อ.ประยุทธ์ กล่าวเพียงสั้นๆ ว่า ให้กลับไปห้อยพระก็แล้วกัน
** "เหลิม"สั่งตร.คุมเข้มดีเอสไอ
ด้านร.ต.อ.เฉลิม อยู่บำรุง รองนายกรัฐมนตรี กล่าวถึงการดูแลรักษาความปลอดภัยบริเวณกรมสอบสวนคดีพิเศษ (ดีเอสไอ) ในวันนี้ (13 ธ.ค.) ซึ่งนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพ จะไปรับทราบข้อกล่าวหาว่า จะมีเจ้าหน้าที่ตำรวจไปดูแลรักษาความสงบ ซึ่งเชื่อว่าจะไม่มีการเผชิญหน้ากันของมวลชน เพราะกลุ่มคนเสื้อแดงส่วนใหญ่ไม่ไป ส่วนบางส่วนที่เดินทางไปก็แค่เป็นการแสดงออกทางสัญลักษณ์
ผู้สื่อข่าวถามว่า ญาติของผู้เสียชีวิตสามารถยื่นขอให้มีการควบคุม หรือไม่ให้ปล่อยตัวนายอภิสิทธิ์ และนายสุเทพได้หรือไม่ ร.ต.อ.เฉลิม กล่าวว่า คงไม่ได้ เป็นดุลยพินิจของพนักงานสอบสวน ทั้งนี้ตนไม่อยากพูดเรื่องนี้มาก เพราะจะหาว่าเป็นเรื่องการเมือง ซึ่งไม่ใช่เรื่องการเมืองและจะตามมาอีกในลักษณะนี้ เนื่องจากคดีของนายชาญณรงค์ พลศรีลา คนขับแท็กซี่เสื้อแดง ที่เสียชีวิตเมื่อวันที่ 15 พ.ค.53 เสร็จแล้ว
"ไม่ใช่เรื่องการเมืองหรอก ใครจะทำได้ เป็นเทวดามาจากไหนถึงไปเนรมิตให้คนตาย 99 ศพ ผมเข้าใจการสอบสวน จึงสั่งให้มีการสอบสวนชันสูตรพลิกศพ มันจึงพบข้อเท็จจริงดังที่ปรากฎ นี่เป็นเพียงจุดเริ่มต้น สุดท้ายอาจจะไม่ผิดก็ได้ แต่ทางพรรคประชาธิปัตย์ ต้องเลิกพูดว่าเรื่องนี้เป็นเรื่องการเมือง เพราะไม่ใช่ เรื่องนี้เป็นคดีอาญา หาว่าผมพูดแล้วนายธาริต เพ็งดิษฐ์ อธิบดีดีเอสไอ ทำตาม ซึ่งนายธาริตได้รับการแต่งตั้งสมัยพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาล หากอะไรที่ไม่ถูกต้อง เขาจะกล้าหรือ แล้วธุระอะไรที่ผมจะต้องไปหาเรื่องใส่ตัว แล้วต้องมาติดคุกติดตะราง ไม่เอา ผมไม่ทำหรอก" ร.ต.อ.เฉลิม กล่าว
** เย้ย"มาร์ค"จบชีวิตการเมือง
นายพร้อมพงศ์ นพฤทธิ์ โฆษกพรรคเพื่อไทย กล่าวถึงเรื่องนี้ว่า ถือเป็นการเริ่มต้นของคดีการสลายการชุมนุม เมื่อปี 2553 ซึ่งถูกแช่แข็งมานาน ตั้งแต่ในสมัยรัฐบาลที่แล้ว ที่สำคัญคือ เมื่อวานนี้ นายอภิสิทธิ์ ยอมรับกับ BBC สื่อชื่อดังระดับโลกว่ามีการใช้กระสุนจริงในการสลายการชุมนุมที่ผ่านมาด้วยนั้น เชื่อว่าสังคมไทย และสังคมโลก ยอมรับไม่ได้ ที่ประชาชนออกมาเรียกร้องให้ยุบสภา แต่รัฐบาลกลับน่าจะมีการใช้กระสุนจริงกับประชาชน
ดังนั้นหากมีการใช้กระสุนจริงกับประชาชนแล้วจะไม่ได้รับโทษนั้น คงจะเป็นไปไม่ได้ ยืนยันว่าเรื่องนี้ไม่ใช่ประเด็นทางการเมือง แต่เป็นเรื่องของข้อเท็จจริง ตามกระบวนการยุติธรรมที่ต้องมีผู้รับผิดชอบ ไม่อยากให้มีการบิดเบือนข้อเท็จจริง ว่าเป็นการกลั่นแกล้งทางการเมือง
อย่างไรก็ตาม อยากให้คดีนี้เป็นคดีตัวอย่างสำหรับผู้นำประเทศในอนาคต ที่บริหารงานผิดพลาดจนทำให้ประชาชนต้องเสียชีวิตจำนวนมากด้วยว่า รัฐบาลที่ใช้ความรุนแรงหรือมีการใช้กระสุนจริงกับประชาชนนั้น ต้องรับผลกรรมของตัวเอง ดังนั้นการที่นายอภิสิทธิ์ ระบุว่า จะเล่นการเมืองอีก10 ปี แล้วจะเกษียณนั้น เมื่อมีคดีนี้คงต้องบอกว่า น่าจะจบแล้วครับท่าน
**ศาลเปิดคดีแกนนำนปช.ก่อการร้าย
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า เวลา 09.00 น. วันนี้ (13ธ.ค.) ศาลอาญานัดแถลงเปิดคดี และสืบพยานโจทก์นัดแรก ในคดีที่พนักงานอัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 1 เป็นโจทก์ฟ้อง นายวีระกานต์ มุสิกพงศ์ นายจตุพร พรหมพันธุ์ นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ นพ.เหวง โตจิราการ นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ หรือ นปช. กับพวกรวม 24 คน เป็นจำเลยในความผิดฐานร่วมกันก่อการร้าย ร่วมกันทำให้ปรากฏกับประชาชนด้วยวาจา มั่วสุมกันตั้งแต่ 10 คนขึ้นไป ประทุษร้ายให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง ร่วมกันชุมนุม หรือมั่วสุม ฝ่าฝืนข้อกำหนด พ.ร.ก.บริหารราชการในสถานการณ์ฉุกเฉิน ระหว่างวันที่ 28 ก.พ.ถึงวันที่ 20 พ.ค. ปี 53 ซึ่งจำเลยใน คดีทั้ง 24 คนต้องเดินทางมาฟังการสืบพยานโจทก์ รวมทั้งนายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อ พรรคเพื่อไทย ที่โดนศาลเพิกถอนปล่อยตัวชั่วคราว
ด้านนายรุจ เขื่อนสุวรรณ อัยการพิเศษ ฝ่ายคดีพิเศษ 1 กล่าวถึงการเตรียมความพร้อมในการเตรียมพยานเบิกความในการสืบพยานโจทก์คดีก่อการร้าย ว่า ทางพนักงานอัยการได้เตรียมพยานฝ่ายโจทก์ไว้กว่า 300 ปาก ซึ่งในวันนี้ อาจจะยังไม่มีการสืบพยานโจทก์ แต่จะเป็นการแถลงการณ์เปิดคดี ซึ่งศาลก็อาจจะมีคำสั่งตัดพยานบางปากออกไปได้ แต่คาดว่าคงยากที่จะตัดเพราะมีการคัดกรองพยานมาอย่างดี ส่วนฝ่ายจำเลยเองก็มีพยานจำนวน 20 กว่าปาก ซึ่งในคดีแบบนี้ก็คงต้องใช้ระยะเวลาพอสมควร มีการสืบไปเรื่อยๆ สำหรับพยานปากแรกที่จะนำขึ้นเบิกความหากมีการสืบพยานโจทก์ในวันที่ 13 ธ.ค.นี้ คือ พ.ต.อ.คณิตชัย มหินทรเทพ ผู้กำกับสืบสวนสอบสวน กองบังคับการตำรวจนครบาล ผู้ร้องทุกข์แจ้งความดำเนินคดีต่อพนักงานสอบสวน และเจ้าหน้าที่ทหารที่ปฏิบัติราชการในสถานที่เกิดเหตุ