ได้เห็นนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ได้ออกสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ช่อง 11 กรมประชาสัมพันธ์ หรือช่องเอ็นบีที ที่ได้ถ่ายทอดสดออกอากาศการถวายความจงรักภักดี และการแก้ตัวเรื่องที่ฟังซ้ำซากมาแล้วหลายปี
พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ เลขาธิการคณะกรรมการจัดการแข่งขัน ได้กล่าวออกตัวให้ข้าราชการและรัฐบาลว่า
“ผมต้องกราบขอโทษข้าราชการสถานีวิทยุโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ทุกคน เพราะสิ่งที่ทำวันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ แต่ในฐานะที่ท่านเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของผมคนหนึ่ง จึงอยากให้ท่านมา”
เป็นคำกล่าวอ้างที่ยากจะเชื่อได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วสถานีโทรทัศน์ของคนเสื้อแดง เอเชีย อัพเดท ก็มีกำหนดการล่วงหน้าจึงได้เชื่อมต่อสัญญาณกับสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ตั้งแต่เริ่มต้นรายการจนจบรายการ
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ในฐานะเป็นประธานการจัด “มวยไทย วอริเออร์ส” ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ความตอนหนึ่งว่า:
“พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เขาก็ทำได้ ทำไมจะทำไม่ได้ ในเมื่อได้มีการตกลงกับผม และผมก็ได้มีการเช่าทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ไว้ ส่วนผู้จัดจะดำเนินการอย่างไรต่อไปก็เป็นสิทธิ์”
ความจริงแล้วอำนาจของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ถ้าเห็นว่าการถ่ายทอดสดมีความไม่เหมาะสมก็มีสิทธิ์และอำนาจในการที่จะหยุดการถ่ายทอดสัญญาณนั้นเสียก็ได้
เพราะถ้าอ้างว่าเป็นสิทธิ์ วันหนึ่งหากมีคนไปเช่าเวลาจัดการแข่งขันอะไรสักอย่าง แล้วเปิดคลิปเสียงที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ได้เคยเปิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 บ้าง สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที จะยอมอนุญาตหรือไม่?
ดังนั้นการยืนยันที่จะถ่ายทอดสดนี้ต่อไปก็เป็นเพียงเล่ห์กลเพื่อใช้สื่อของรัฐที่ได้มาจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศมาเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพวก จริงหรือไม่?
จะสรุปให้ได้ใจความการปรากฏตัวของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เมื่อคืนวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ก็ต้องการสื่อสารให้ผู้ชมได้ทราบ 2 ประการ
ประการแรก ต้องการที่จะสื่อสารไปทั่วประเทศโดยอาศัยสื่อของรัฐ ว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง จากกระบวนการยุติธรรมในชั้นการสืบสวน สอบสวน ที่ไม่อาจจะยอมรับได้
ประการที่สอง ต้องการที่จะสื่อสารไปทั่วประเทศโดยอาศัยสื่อของรัฐ ว่าตัวเองมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคลิปเสียงที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (เสธ.อ้าย) ที่ได้นำมาเปิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้านั้น เป็นการตัดต่อและไม่ได้เป็นความจริง
เอาประเด็นแรกก่อน ในประเด็นที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร อาจจะ “ความจำสั้น” คิดว่าไม่ควรยอมรับกระบวนการยุติธรรมเพราะกระบวนการสืบสวน และสอบสวนถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารว่าเป็นข้ออ้างที่ไม่สามารถฟังได้ เพราะนักโทษชายทักษิณ ได้กลับเข้ามาสู้ในชั้นศาลด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงต้องยอมรับคำพิพากษานั้นเสียตามที่ตัวเองได้เคยประกาศยืนยันเอาไว้
8 มกราคม พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แจกจ่าย “แถลงการณ์” ให้สื่อมวลชนที่ปรากฏข้อความบางตอนเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมว่า
“ผมขอเรียนยืนยันว่า คุณหญิงพจมานและผมพร้อมที่จะต่อสู้ทุกคดีและทุกข้อกล่าวหา เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของครอบครัว โดยผมและครอบครัวมีความเชื่อมั่นว่า จะได้รับความเป็นธรรมและความยุติธรรมจากตุลาการ...ผมพร้อมที่จะเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และต่อสู้คดีความตามกระบวนการยุติธรรม... ดังนั้นผมขอเรียนยืนยันต่อพี่น้องชาวไทยว่า เมื่อได้เวลาอันสมควรผมจะเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมและครอบครัวตามกระบวนการยุติธรรมอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปตามหลักนิติธรรมแน่นอน”
หรือหากยังจำไม่ได้ ก็ลองไปดูข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับมาประเทศไทยแล้วมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 และได้พูดถึงเหตุผลที่กลับมาขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมในเวลานั้นความตอนหนึ่งว่า:
“เมื่อเหตุการณ์มันคลี่คลายจากการเลือกตั้ง และประชาธิปไตยกลับคืนมาแล้ว ผมจำเป็นที่จะต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์และก็มารักษาชื่อเสียงของผมที่ถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม.. วันนี้ขอกลับมาอยู่บนผืนแผ่นดินไทย คงจะใช้เวลากับการต่อสู้คดี รักษาชื่อเสียงของตัวเองที่ถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม”
นักโทษชายทักษิณ เป็นคนเอาแต่ได้ แสดงการยอมรับและเชื่อมั่นต่อศาล “ก่อน” คำพิพากษา และได้ใช้สิทธิ์ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ แต่เมื่อศาลตัดสินว่ามีความผิดให้จำคุก 2 ปีแล้ว จึงค่อยมาประท้วงภายหลังว่ากระบวนการยุติธรรมในชั้นไต่สวน สอบสวนไม่ดี และไม่สามารถยอมรับได้
เป็นคนประเภท “ขี้แพ้ชวนตี!!!?”
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจจำไม่ได้แล้วว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายของครอบครัวชินวัตรในเวลานั้น ได้วางถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านบาท ที่สำนักงานศาลยุติธรรม จนศาลได้พิพากษาสั่งจำคุกนายพิชิฏเป็นเวลา 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล แต่พรรคเพื่อไทยก็สนับสนุนคนพรรค์นี้ให้มาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย
คำถามมีอยู่ว่า “ถุงเงิน 2 ล้านบาท” คือมาตรฐานความยุติธรรมที่ นักโทษชายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยยอมรับ ส่งเสริม และสนับสนุน ใช่หรือไม่!?
มาเรื่องประเด็นที่สอง นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่าตัวเองมีความจงรักภักดี และถูกใส่ร้ายนั้น ทำให้ต้องรำลึกเหตุการณ์ระหว่าง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในบทความที่ชื่อ “คำสารภาพจากคนตระกูลชินวัตร” เขียนโดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่ลงในเว็บไซต์ manager และลงในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2552 ความตอนหนึ่งมีปรากฏดังนี้
“18 กุมภาพันธ์ 2552 หลังจากพิธีสืบชะตาทักษิณ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ได้ออกมาสัมภาษณ์ตอบโต้ประเด็นข่าวเป็นวันที่สองติดต่อกัน ในฐานะที่เป็นประธานในพิธีกรรมดังกล่าว
แม้จะเป็นคำสัมภาษณ์ที่ตอบโต้ไปตามกระแสข่าว แต่ในวันนั้น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ในฐานะญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร ได้ออกมายอมรับปรากฏตามหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ อย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรกถึงความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร ต่อสถาบันฯ
นักข่าวถามว่า: การสืบชะตาเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะพ้นกรรมในอดีต?
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ตอบว่า: “เป็นความเชื่อโบราณของคนในพื้นที่ เพราะเขาไม่มีทางออกอื่น จึงคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังตาม พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ จะได้แก้ไขให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
การที่ผมเข้าร่วมกิจกรรมดีเสียอีก เพราะเขาลดทิฐิไปเยอะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบัน ผมบอกไม่ได้นะ เราเป็นคนไทย ต้องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกอย่างอย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง ผมลูกผู้ชายตัวจริง ว่ากันซึ่งหน้าไม่มีลับๆ ล่อๆ”
ดังนั้น ถ้าบทสัมภาษณ์นี้ถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้ลงไว้ก็ต้องถือว่ามีความน่าสนใจอยู่มาก
“ทิฐิ” (ถิดถิ) เป็นคำนาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติเอาไว้มีความหมายว่า : ความเห็น เช่น สัมมาทิฐิ ความเป็นชอบ มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด; ความอวดดื้อถือดี เช่น เขามีทิฐิมาก
การปรากฏอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์มีคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ว่า “เขาลดทิฐิไปเยอะโดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบัน” แล้วตามมาด้วยประโยคที่ว่า “ผมบอกไม่ได้นะ เราเป็นคนไทยต้องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกอย่างอย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง” ย่อมทำให้ผู้ที่อ่านสงสัยได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เคยมีมิจฉาทิฐิอวดดื้อถือดีต่อสถาบันใดสถาบันหนึ่งหรือทุกสถาบันใน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใช่หรือไม่?
โดยเฉพาะคำว่า “อย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง” คนไทยมักจะใช้ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มากกว่าสถาบันชาติหรือสถาบันศาสนา จริงหรือไม่?
หากเป็นบทสัมภาษณ์ที่ถูกต้องครบถ้วน ต้องถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการยืนยันถึงข้อสงสัยของคนจำนวนมากจากปากคำสัมภาษณ์ญาติสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเอง
โดยเฉพาะคำสัมภาษณ์นี้มาจากคนที่ชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร คนที่เคยให้สัมภาษณ์อย่างไม่เหมาะสมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2548 ต่อกรณีการโยกย้ายทหารประจำปีว่า:
“โผทหารไม่มีเปลี่ยน นายกฯ เซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่ยน”
ดังนั้น คำว่า “ทิฐิ” ที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร ย่อมทำให้เกิดความสงสัยว่า เป็นระดับของความทิฐิขนาดไหน ที่คนอย่าง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ยังต้องออกมาเตือน!!!?
นอกจากนี้คำสัมภาษณ์ดังกล่าว ยังทำให้ต้องตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นต่อสถาบันฯ นั้นเหตุการณ์ใดเป็น “ความบริสุทธิ์ใจและไม่ได้ตั้งใจ” และเหตุการณ์ใดที่เป็น “ความทิฐิที่อวดดื้อถือดี?”
3 ปี 10 เดือนผ่านไป จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบแต่ประการใด!!!
คำถามเดิมยังไร้คำตอบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร น่าจะช่วยหาคำตอบเพิ่มเติมดังนี้
1. นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ลองช่วยตอบให้ทราบหน่อยว่า คลิปเสียงของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (เสธ.อ้าย) ได้นำมาเปิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 นั้น ถ้ามันไม่เป็นความจริง ก็ต้องถือว่ามีความร้ายแรงอย่างมาก เหตุใดที่นักโทษชายทักษิณ ซึ่งมีอุปนิสัยเป็นคนใจร้อนมีปฏิกิริยาเร็วในการตอบโต้ ถึงได้มาตอบโต้ในประเด็นนี้เอาในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วถึง 16 วัน?
2. ถ้านักโทษชายทักษิณ ชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทยมีความจงรักภักดีจริง เหตุผลอะไร จึงได้ลดระดับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาลง แม้แต่การ “งดการจุดพลุ” ในการจัดงานจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย ก็ยังหาเหตุผลรองรับไม่ได้ จริงหรือไม่ ?
3. หากนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร มีความจงรักภักดี เหตุใดจึงไม่ยอมรับ และเคารพคำตัดสินของศาลฎีกา ซึ่งได้พิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้ว ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว?
4. เหตุใดผู้ที่มีพฤติกรรมในการจาบจ้วง คุกคาม ดูหมิ่น ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงมีอยู่แต่ในขบวนการเคลื่อนไหวที่สนับสนุนของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และได้รับการดูแลจากทนายในเครือข่ายที่ทำงานให้กับคดีของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรด้วย จริงหรือไม่?
5. นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ควรจะต้องเฉลยคำพูดของตัวเองว่า คำว่า อำมาตย์ที่ตัวเองโจมตีมาโดยตลอดนั้นหมายถึงใคร? โดยเฉพาะการวิดีโอลิงก์ระหว่างวันที่ 14 - 16 มีนาคม พ.ศ. 2553 ดังนี้
14 มีนาคม พ.ศ. 2553 “คนคนเดียวแอบสั่งจนกระบวนการยุติธรรมเจ๊ง ประเทศเสียหายเพราะต้องการคงสัญลักษณ์ของอำมาตย์ไว้ ครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ของคนเดียวแต่เป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ เพื่อนำไปสู่ความเป็นธรรมของประชาชน อยากขอเชิญชวนอำมาตย์ให้คิดใหม่และยอมรับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี อย่าทำลายระบบประเทศ วันนี้พี่น้องเราต้องล้มล้างระบบอำมาตย์”
15 มีนาคม พ.ศ. 2553 “ความคิดของท่านมันตกโลกไปแล้ว อย่าฉุดคนไทยให้ตกโลกไปกับท่านเลย เพราะอีกไม่นานท่านก็ลาลับโลกนี้แล้ว โลกวันนี้มันโตแบบก้าวกระโดด ด้วยเทคโนโลยี ด้วยสังคมสื่อสารและข่าวสาร มันทำให้การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมมันสูงมาก
เพราะฉะนั้นอำมาตย์ 80 กว่า ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่เลย ถ้าคนไม่เข้าใจแล้วมีอำนาจมากมานำประเทศ ไม่รู้จะจูงกันไปไหนฮะ ผมบอกพากันไปถูกจริงๆครับ”
16 มีนาคม พ.ศ. 2553 “อำมาตย์อยู่ส่วนอำมาตย์เราไม่ได้ลบหลู่อะไร เราไม่ต้องการล้มล้างใครเลย แต่เราต้องการบอกว่า ระบบคิดของอำมาตย์มันถ่วงรั้งประเทศ ขอโอกาสเรา ขอประชาธิปไตย อย่าเอาเด็กมาค้ำยันอย่างนี้ ไม่มีประโยชน์ถ้าค้ำยันไม่เป็น...อำมาตย์ถือว่า ตัวข้าคือกฎหมาย ข้าจะเอาอย่างไรก็ได้ แล้วพี่น้องคนไทยตาดำๆ ต้องตกเป็นเหยื่อของการปฏิบัติตามกติกาของอำมาตย์กันเอง ความผิดของผมในสายตาอำมาตย์คือ การกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี เป็นเครื่องมือใช้หาแนวร่วมมาจัดการผม ไม่ว่า สื่อ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร แต่ลึกๆ เพราะอำมาตย์ไม่พอใจการแก้ปัญหาความยากจนที่อาจสามารถ และเรื่องเอาหวยใต้ดินขึ้นบนดินและให้ทุนการศึกษา อำมาตย์ไม่พอใจการแก้ปัญหายาเสพติดที่ผมปราบอยู่หมัด รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากหวย ยาเสพติดมันไปหล่อเลี้ยงอำมาตย์เพื่อสร้างความเข้มแข็ง”
ใครคืออำมาตย์ที่อายุ 80 ปีกว่า ที่นักโทษชายทักษิณระบุว่า “ใกล้ลาลับโลก” “ตกโลก” กล่าวหาว่าสั่งกระบวนการยุติธรรมได้ ไม่พอใจที่นักโทษชายทักษิณแก้ปัญหาความยากจน หรือรับการหล่อเลี้ยงจากกลุ่มหวยและยาเสพติด ถึงขนาดที่นักโทษชายทักษิณประกาศว่าต้องล้มล้างคนเหล่านี้?
หลักฐานเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ที่อ้างว่าตัดต่อ เพราะเป็นเสียงและภาพที่เกิดขึ้นจริงในการวิดีโอลิงก์ทั้งสิ้น ถ้าแน่จริงก็กล้าประกาศมาเลย อย่าปากว่าตาขยิบและทำตัวเป็นลิงหลอกเจ้าอยู่ทำไม?
พ.ต.ท.กุลธน ประจวบเหมาะ เลขาธิการคณะกรรมการจัดการแข่งขัน ได้กล่าวออกตัวให้ข้าราชการและรัฐบาลว่า
“ผมต้องกราบขอโทษข้าราชการสถานีวิทยุโทรทัศน์กรมประชาสัมพันธ์ทุกคน เพราะสิ่งที่ทำวันนี้เป็นสิ่งที่ไม่ได้คาดการณ์ไว้ แต่ในฐานะที่ท่านเคยเป็นผู้บังคับบัญชาของผมคนหนึ่ง จึงอยากให้ท่านมา”
เป็นคำกล่าวอ้างที่ยากจะเชื่อได้ เพราะในความเป็นจริงแล้วสถานีโทรทัศน์ของคนเสื้อแดง เอเชีย อัพเดท ก็มีกำหนดการล่วงหน้าจึงได้เชื่อมต่อสัญญาณกับสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ตั้งแต่เริ่มต้นรายการจนจบรายการ
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ในฐานะเป็นประธานการจัด “มวยไทย วอริเออร์ส” ได้ให้สัมภาษณ์เมื่อวันที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ความตอนหนึ่งว่า:
“พ.ต.ท.ทักษิณไม่มีโอกาสได้แก้ตัว เขาก็ทำได้ ทำไมจะทำไม่ได้ ในเมื่อได้มีการตกลงกับผม และผมก็ได้มีการเช่าทางสถานีโทรทัศน์ช่อง 11 ไว้ ส่วนผู้จัดจะดำเนินการอย่างไรต่อไปก็เป็นสิทธิ์”
ความจริงแล้วอำนาจของสถานีโทรทัศน์เอ็นบีที ถ้าเห็นว่าการถ่ายทอดสดมีความไม่เหมาะสมก็มีสิทธิ์และอำนาจในการที่จะหยุดการถ่ายทอดสัญญาณนั้นเสียก็ได้
เพราะถ้าอ้างว่าเป็นสิทธิ์ วันหนึ่งหากมีคนไปเช่าเวลาจัดการแข่งขันอะไรสักอย่าง แล้วเปิดคลิปเสียงที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ ได้เคยเปิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 บ้าง สถานีโทรทัศน์เอ็นบีที จะยอมอนุญาตหรือไม่?
ดังนั้นการยืนยันที่จะถ่ายทอดสดนี้ต่อไปก็เป็นเพียงเล่ห์กลเพื่อใช้สื่อของรัฐที่ได้มาจากภาษีของประชาชนทั้งประเทศมาเป็นเครื่องมือโฆษณาชวนเชื่อให้กับนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และพวก จริงหรือไม่?
จะสรุปให้ได้ใจความการปรากฏตัวของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เมื่อคืนวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ก็ต้องการสื่อสารให้ผู้ชมได้ทราบ 2 ประการ
ประการแรก ต้องการที่จะสื่อสารไปทั่วประเทศโดยอาศัยสื่อของรัฐ ว่าตัวเองถูกกลั่นแกล้งทางการเมือง จากกระบวนการยุติธรรมในชั้นการสืบสวน สอบสวน ที่ไม่อาจจะยอมรับได้
ประการที่สอง ต้องการที่จะสื่อสารไปทั่วประเทศโดยอาศัยสื่อของรัฐ ว่าตัวเองมีความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว และคลิปเสียงที่ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (เสธ.อ้าย) ที่ได้นำมาเปิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 ที่ลานพระบรมรูปทรงม้านั้น เป็นการตัดต่อและไม่ได้เป็นความจริง
เอาประเด็นแรกก่อน ในประเด็นที่นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร อาจจะ “ความจำสั้น” คิดว่าไม่ควรยอมรับกระบวนการยุติธรรมเพราะกระบวนการสืบสวน และสอบสวนถูกแต่งตั้งโดยคณะรัฐประหารว่าเป็นข้ออ้างที่ไม่สามารถฟังได้ เพราะนักโทษชายทักษิณ ได้กลับเข้ามาสู้ในชั้นศาลด้วยตัวเอง ดังนั้นจึงต้องยอมรับคำพิพากษานั้นเสียตามที่ตัวเองได้เคยประกาศยืนยันเอาไว้
8 มกราคม พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้แจกจ่าย “แถลงการณ์” ให้สื่อมวลชนที่ปรากฏข้อความบางตอนเกี่ยวกับกระบวนการยุติธรรมว่า
“ผมขอเรียนยืนยันว่า คุณหญิงพจมานและผมพร้อมที่จะต่อสู้ทุกคดีและทุกข้อกล่าวหา เพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของครอบครัว โดยผมและครอบครัวมีความเชื่อมั่นว่า จะได้รับความเป็นธรรมและความยุติธรรมจากตุลาการ...ผมพร้อมที่จะเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์และต่อสู้คดีความตามกระบวนการยุติธรรม... ดังนั้นผมขอเรียนยืนยันต่อพี่น้องชาวไทยว่า เมื่อได้เวลาอันสมควรผมจะเดินทางกลับประเทศไทยเพื่อพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของผมและครอบครัวตามกระบวนการยุติธรรมอันชอบด้วยกฎหมายและเป็นไปตามหลักนิติธรรมแน่นอน”
หรือหากยังจำไม่ได้ ก็ลองไปดูข่าวที่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ได้กลับมาประเทศไทยแล้วมาแถลงข่าวเมื่อวันที่ 28 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2551 และได้พูดถึงเหตุผลที่กลับมาขึ้นสู่กระบวนการยุติธรรมในเวลานั้นความตอนหนึ่งว่า:
“เมื่อเหตุการณ์มันคลี่คลายจากการเลือกตั้ง และประชาธิปไตยกลับคืนมาแล้ว ผมจำเป็นที่จะต้องมาพิสูจน์ความบริสุทธิ์และก็มารักษาชื่อเสียงของผมที่ถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม.. วันนี้ขอกลับมาอยู่บนผืนแผ่นดินไทย คงจะใช้เวลากับการต่อสู้คดี รักษาชื่อเสียงของตัวเองที่ถูกทำลายอย่างไม่เป็นธรรม”
นักโทษชายทักษิณ เป็นคนเอาแต่ได้ แสดงการยอมรับและเชื่อมั่นต่อศาล “ก่อน” คำพิพากษา และได้ใช้สิทธิ์ในการต่อสู้คดีในชั้นศาลอย่างเต็มที่ แต่เมื่อศาลตัดสินว่ามีความผิดให้จำคุก 2 ปีแล้ว จึงค่อยมาประท้วงภายหลังว่ากระบวนการยุติธรรมในชั้นไต่สวน สอบสวนไม่ดี และไม่สามารถยอมรับได้
เป็นคนประเภท “ขี้แพ้ชวนตี!!!?”
ซ้ำร้ายไปกว่านั้น 10 มิถุนายน พ.ศ. 2551 พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร อาจจำไม่ได้แล้วว่า นายพิชิฏ ชื่นบาน ทนายของครอบครัวชินวัตรในเวลานั้น ได้วางถุงขนมใส่เงิน 2 ล้านบาท ที่สำนักงานศาลยุติธรรม จนศาลได้พิพากษาสั่งจำคุกนายพิชิฏเป็นเวลา 6 เดือน ฐานละเมิดอำนาจศาล แต่พรรคเพื่อไทยก็สนับสนุนคนพรรค์นี้ให้มาเป็นสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรในระบบบัญชีรายชื่อของพรรคเพื่อไทย
คำถามมีอยู่ว่า “ถุงเงิน 2 ล้านบาท” คือมาตรฐานความยุติธรรมที่ นักโทษชายทักษิณ และพรรคเพื่อไทยยอมรับ ส่งเสริม และสนับสนุน ใช่หรือไม่!?
มาเรื่องประเด็นที่สอง นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ประกาศว่าตัวเองมีความจงรักภักดี และถูกใส่ร้ายนั้น ทำให้ต้องรำลึกเหตุการณ์ระหว่าง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร และนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร เกี่ยวข้องกับสถาบันพระมหากษัตริย์ ในบทความที่ชื่อ “คำสารภาพจากคนตระกูลชินวัตร” เขียนโดย ปานเทพ พัวพงษ์พันธ์ ที่ลงในเว็บไซต์ manager และลงในหนังสือพิมพ์ฉบับนี้เมื่อวันที่ 24 กุมภาพันธ์ 2552 ความตอนหนึ่งมีปรากฏดังนี้
“18 กุมภาพันธ์ 2552 หลังจากพิธีสืบชะตาทักษิณ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ได้ออกมาสัมภาษณ์ตอบโต้ประเด็นข่าวเป็นวันที่สองติดต่อกัน ในฐานะที่เป็นประธานในพิธีกรรมดังกล่าว
แม้จะเป็นคำสัมภาษณ์ที่ตอบโต้ไปตามกระแสข่าว แต่ในวันนั้น พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ในฐานะญาติของ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร ได้ออกมายอมรับปรากฏตามหนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ อย่างตรงไปตรงมาเป็นครั้งแรกถึงความคิดของ พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร ต่อสถาบันฯ
นักข่าวถามว่า: การสืบชะตาเชื่อว่า พ.ต.ท.ทักษิณจะพ้นกรรมในอดีต?
พล.อ.ชัยสิทธิ์ ตอบว่า: “เป็นความเชื่อโบราณของคนในพื้นที่ เพราะเขาไม่มีทางออกอื่น จึงคิดว่าเจ้ากรรมนายเวรที่กำลังตาม พ.ต.ท.ทักษิณอยู่ จะได้แก้ไขให้ พ.ต.ท.ทักษิณ
การที่ผมเข้าร่วมกิจกรรมดีเสียอีก เพราะเขาลดทิฐิไปเยอะ โดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบัน ผมบอกไม่ได้นะ เราเป็นคนไทย ต้องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกอย่างอย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง ผมลูกผู้ชายตัวจริง ว่ากันซึ่งหน้าไม่มีลับๆ ล่อๆ”
ดังนั้น ถ้าบทสัมภาษณ์นี้ถูกต้องครบถ้วนเป็นไปตามที่หนังสือพิมพ์ไทยโพสต์ ได้ลงไว้ก็ต้องถือว่ามีความน่าสนใจอยู่มาก
“ทิฐิ” (ถิดถิ) เป็นคำนาม พจนานุกรมฉบับราชบัณฑิตยสถานได้บัญญัติเอาไว้มีความหมายว่า : ความเห็น เช่น สัมมาทิฐิ ความเป็นชอบ มิจฉาทิฐิ ความเห็นผิด; ความอวดดื้อถือดี เช่น เขามีทิฐิมาก
การปรากฏอยู่ในสื่อสิ่งพิมพ์มีคำสัมภาษณ์ของ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ว่า “เขาลดทิฐิไปเยอะโดยเฉพาะเกี่ยวกับสถาบัน” แล้วตามมาด้วยประโยคที่ว่า “ผมบอกไม่ได้นะ เราเป็นคนไทยต้องรักชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ทุกอย่างอย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง” ย่อมทำให้ผู้ที่อ่านสงสัยได้ว่า พ.ต.ท.ทักษิณได้เคยมีมิจฉาทิฐิอวดดื้อถือดีต่อสถาบันใดสถาบันหนึ่งหรือทุกสถาบันใน ชาติ ศาสน์ กษัตริย์ ใช่หรือไม่?
โดยเฉพาะคำว่า “อย่าไปแตะต้องให้ระคายเคือง” คนไทยมักจะใช้ต่อสถาบันพระมหากษัตริย์ มากกว่าสถาบันชาติหรือสถาบันศาสนา จริงหรือไม่?
หากเป็นบทสัมภาษณ์ที่ถูกต้องครบถ้วน ต้องถือว่ามีความสำคัญเป็นอย่างยิ่ง เพราะเท่ากับเป็นการยืนยันถึงข้อสงสัยของคนจำนวนมากจากปากคำสัมภาษณ์ญาติสนิทของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรเอง
โดยเฉพาะคำสัมภาษณ์นี้มาจากคนที่ชื่อ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร คนที่เคยให้สัมภาษณ์อย่างไม่เหมาะสมเมื่อวันที่ 26 สิงหาคม 2548 ต่อกรณีการโยกย้ายทหารประจำปีว่า:
“โผทหารไม่มีเปลี่ยน นายกฯ เซ็นแล้ว ใครจะกล้าเปลี่ยน”
ดังนั้น คำว่า “ทิฐิ” ที่ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร กล่าวถึง พ.ต.ท.ทักษิณชินวัตร ย่อมทำให้เกิดความสงสัยว่า เป็นระดับของความทิฐิขนาดไหน ที่คนอย่าง พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร ยังต้องออกมาเตือน!!!?
นอกจากนี้คำสัมภาษณ์ดังกล่าว ยังทำให้ต้องตั้งคำถามว่า เหตุการณ์ที่เคยเกิดขึ้นต่อสถาบันฯ นั้นเหตุการณ์ใดเป็น “ความบริสุทธิ์ใจและไม่ได้ตั้งใจ” และเหตุการณ์ใดที่เป็น “ความทิฐิที่อวดดื้อถือดี?”
3 ปี 10 เดือนผ่านไป จากวันนั้นมาจนถึงวันนี้ก็ยังไม่มีคำตอบแต่ประการใด!!!
คำถามเดิมยังไร้คำตอบ แต่เมื่อเวลาผ่านไป นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และ พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร น่าจะช่วยหาคำตอบเพิ่มเติมดังนี้
1. นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ลองช่วยตอบให้ทราบหน่อยว่า คลิปเสียงของ พล.อ.บุญเลิศ แก้วประสิทธิ์ (เสธ.อ้าย) ได้นำมาเปิดเมื่อวันที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2555 นั้น ถ้ามันไม่เป็นความจริง ก็ต้องถือว่ามีความร้ายแรงอย่างมาก เหตุใดที่นักโทษชายทักษิณ ซึ่งมีอุปนิสัยเป็นคนใจร้อนมีปฏิกิริยาเร็วในการตอบโต้ ถึงได้มาตอบโต้ในประเด็นนี้เอาในวันที่ 9 ธันวาคม พ.ศ. 2555 ซึ่งปล่อยให้เวลาผ่านไปแล้วถึง 16 วัน?
2. ถ้านักโทษชายทักษิณ ชินวัตร หรือพรรคเพื่อไทยมีความจงรักภักดีจริง เหตุผลอะไร จึงได้ลดระดับการจัดงานเฉลิมพระเกียรติในวันเฉลิมพระชนมพรรษาลง แม้แต่การ “งดการจุดพลุ” ในการจัดงานจังหวัดต่างๆ ทั่วประเทศไทย ก็ยังหาเหตุผลรองรับไม่ได้ จริงหรือไม่ ?
3. หากนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร มีความจงรักภักดี เหตุใดจึงไม่ยอมรับ และเคารพคำตัดสินของศาลฎีกา ซึ่งได้พิพากษาเสร็จสิ้นไปแล้ว ภายใต้พระปรมาภิไธยของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว?
4. เหตุใดผู้ที่มีพฤติกรรมในการจาบจ้วง คุกคาม ดูหมิ่น ทำลายสถาบันพระมหากษัตริย์ จึงมีอยู่แต่ในขบวนการเคลื่อนไหวที่สนับสนุนของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตร และได้รับการดูแลจากทนายในเครือข่ายที่ทำงานให้กับคดีของนักโทษชายทักษิณ ชินวัตรด้วย จริงหรือไม่?
5. นักโทษชายทักษิณ ชินวัตร ควรจะต้องเฉลยคำพูดของตัวเองว่า คำว่า อำมาตย์ที่ตัวเองโจมตีมาโดยตลอดนั้นหมายถึงใคร? โดยเฉพาะการวิดีโอลิงก์ระหว่างวันที่ 14 - 16 มีนาคม พ.ศ. 2553 ดังนี้
14 มีนาคม พ.ศ. 2553 “คนคนเดียวแอบสั่งจนกระบวนการยุติธรรมเจ๊ง ประเทศเสียหายเพราะต้องการคงสัญลักษณ์ของอำมาตย์ไว้ ครั้งนี้ไม่ใช่การต่อสู้ของคนเดียวแต่เป็นการต่อสู้เชิงสัญลักษณ์ เพื่อนำไปสู่ความเป็นธรรมของประชาชน อยากขอเชิญชวนอำมาตย์ให้คิดใหม่และยอมรับให้เกิดการเปลี่ยนแปลงที่ดี อย่าทำลายระบบประเทศ วันนี้พี่น้องเราต้องล้มล้างระบบอำมาตย์”
15 มีนาคม พ.ศ. 2553 “ความคิดของท่านมันตกโลกไปแล้ว อย่าฉุดคนไทยให้ตกโลกไปกับท่านเลย เพราะอีกไม่นานท่านก็ลาลับโลกนี้แล้ว โลกวันนี้มันโตแบบก้าวกระโดด ด้วยเทคโนโลยี ด้วยสังคมสื่อสารและข่าวสาร มันทำให้การเปลี่ยนแปลงทางวัฒนธรรมมันสูงมาก
เพราะฉะนั้นอำมาตย์ 80 กว่า ยิ่งไม่เข้าใจใหญ่เลย ถ้าคนไม่เข้าใจแล้วมีอำนาจมากมานำประเทศ ไม่รู้จะจูงกันไปไหนฮะ ผมบอกพากันไปถูกจริงๆครับ”
16 มีนาคม พ.ศ. 2553 “อำมาตย์อยู่ส่วนอำมาตย์เราไม่ได้ลบหลู่อะไร เราไม่ต้องการล้มล้างใครเลย แต่เราต้องการบอกว่า ระบบคิดของอำมาตย์มันถ่วงรั้งประเทศ ขอโอกาสเรา ขอประชาธิปไตย อย่าเอาเด็กมาค้ำยันอย่างนี้ ไม่มีประโยชน์ถ้าค้ำยันไม่เป็น...อำมาตย์ถือว่า ตัวข้าคือกฎหมาย ข้าจะเอาอย่างไรก็ได้ แล้วพี่น้องคนไทยตาดำๆ ต้องตกเป็นเหยื่อของการปฏิบัติตามกติกาของอำมาตย์กันเอง ความผิดของผมในสายตาอำมาตย์คือ การกล่าวหาว่า ไม่จงรักภักดี เป็นเครื่องมือใช้หาแนวร่วมมาจัดการผม ไม่ว่า สื่อ ข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ ทหาร แต่ลึกๆ เพราะอำมาตย์ไม่พอใจการแก้ปัญหาความยากจนที่อาจสามารถ และเรื่องเอาหวยใต้ดินขึ้นบนดินและให้ทุนการศึกษา อำมาตย์ไม่พอใจการแก้ปัญหายาเสพติดที่ผมปราบอยู่หมัด รายได้ที่เพิ่มขึ้นจากหวย ยาเสพติดมันไปหล่อเลี้ยงอำมาตย์เพื่อสร้างความเข้มแข็ง”
ใครคืออำมาตย์ที่อายุ 80 ปีกว่า ที่นักโทษชายทักษิณระบุว่า “ใกล้ลาลับโลก” “ตกโลก” กล่าวหาว่าสั่งกระบวนการยุติธรรมได้ ไม่พอใจที่นักโทษชายทักษิณแก้ปัญหาความยากจน หรือรับการหล่อเลี้ยงจากกลุ่มหวยและยาเสพติด ถึงขนาดที่นักโทษชายทักษิณประกาศว่าต้องล้มล้างคนเหล่านี้?
หลักฐานเหล่านี้ไม่มีสิทธิ์ที่อ้างว่าตัดต่อ เพราะเป็นเสียงและภาพที่เกิดขึ้นจริงในการวิดีโอลิงก์ทั้งสิ้น ถ้าแน่จริงก็กล้าประกาศมาเลย อย่าปากว่าตาขยิบและทำตัวเป็นลิงหลอกเจ้าอยู่ทำไม?