ผ่าประเด็นร้อน
เป็นเรื่องบังเอิญอย่างน่าเกลียดที่สุดที่ถึงขนาดที่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ต้องให้เลขาธิการนายกฯ อย่างสุรนันทน์ เวชชาชีวะ ออกมาแจ้งข่าว “ป่วยล่วงหน้า” ตั้งแต่สองวันก่อนและจะงดภารกิจไปจนถึงวันที่ 10 ธันวาคม ซึ่งเป็นวันรัฐธรรมนูญโดยมอบหมายให้รัฐมนตรีคนอื่นไปแทน ในตอนแรกก็อาจสงสัยเพียงแค่เรื่องที่ไม่อยากตอบคำถามเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่สังคมไม่น้อยเข้าใจว่าทำเพื่อประโยชน์ส่วนตัวของ ทักษิณ ชินวัตร ที่เป็นพี่ชายและประโยชน์เฉพาะบุคคลในครอบครัวของเธอ
แต่ที่ไหนได้จู่ๆเมื่อวันที่ 9 ธันวาคมที่ผ่านมาดันมีการถ่ายทอดสดข้ามประเทศจากเขตปกครองพิเศษมาเก๊ารายการแข่งขันชกมวยรายการหนึ่งที่อ้างว่าเพื่อเฉลิมพระเกียรติโดยมี ทักษิณ ชินวัตร ทำหน้าที่เป็นประธานกล่าวเปิดงานมีเนื้อหาที่อ่านตามสคริปต์เน้นในเรื่องความ “จงรักภักดี” ขณะเดียวกันที่น่าจับตาไปกว่านั้นก็คือถ้อยคำในสคริปต์ดังกล่าวยังเป็นการชี้แจงและปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ว่าเขาไม่จงรักภักดีเป็นพิเศษ
แต่ถึงอย่างไร แม้จะเน้นกันอย่างไรมันก็ดูไม่เนียนและไม่เป็นธรรมชาติ ความหมายก็คือไม่ต่างจาก “โจรที่แสร้งทำเป็นคนดี” ที่ในที่สุดแล้วชาวบ้านเขาก็จับได้ไล่ทันได้ไม่ยาก กรณีของ ทักษิณ ก็เช่นเดียวกันจากปรากฏการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนั้นไม่รู้ว่าผ่านการปรึกษาหารือจาก “กุนซือ” อย่างรอบคอบแล้วหรือยัง หรือว่าคิดกันแบบฉุกละหุก คิดเพียงว่าถ้าได้ออกฟรีทีวีชี้แจงแล้วภาพที่ออกมาจะเป็นผลบวก เพราะผลที่ออกมานั้นมันตรงกันข้าม สร้างแรงกระเพื่อมให้กับตัวเขา สะเทือนไปถึงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร รวมไปถึงอุปสรรคการแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังเดินเครื่องกันอยู่ในเวลานี้อีกด้วย
เพราะวิธีการที่แสดงออกมานั้นมันโจ่งแจ้ง และทำลายความรู้สึกของชาวบ้าน โดยเฉพาะการย่ำยีกฎหมายภาพที่ออกมาในลักษณะ “เหิมเกริม” ยั่วยุอารมณ์โกรธ และที่สำคัญทำราวกับว่าคนอื่นเขาโง่ไม่รู้เท่าทัน อีกทั้งวิธีการที่นำเสนอนั้นมัน “มักง่าย” เกินไป ดังนั้นอย่าได้แปลกใจที่ปฏิกิริยาจากสังคมที่ออกมาจากสังคมโชเชียลเนตเวิร์คที่แสดงออกมาอย่างรุนแรง รวมไปถึงแรงสั่นสะเทือนไปถึงคนในรัฐบาลอีกด้วย เพราะต้องมีการยื่นเรื่องให้มีการตรวจสอบการกระทำผิดกันอย่างเอาจริงเอาจัง
ล่าสุดเริ่มเคลื่อนไหวยื่นเรื่องต่อ คณะกรรมการป้องกันและปราบปรามการทุจริตแห่งชาติ(ปปช.) ให้เอาผิดกับรัฐบาลตั้งแต่ นายกรัฐมนตรี ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ลงมาจนถึงรัฐมนตรีประจำสำนักนายกฯ ศันสนีย์ นาคพงษ์ ที่กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ และช่อง 11 รวมไปถึงอธิบดีกรมประชาสัมพันธ์และผู้อำนวยการช่อง 11 นอกเหนือจากนี้ยังมีการยื่นเรื่องผ่านผู้ตรวจการแผ่นดินให้สอบสวนเอาผิดเรื่องเดียวกันนี้ด้วย เรียกได้ว่านั่นเป็นปฏิกิริยาสะท้อนกลับมาอย่างรุนแรงไม่แพ้กัน
บรรยากาศดังกล่าวแน่นอนว่ามันยังส่งผลกระเพื่อมไปถึงรัฐบาล และความเคลื่อนไหวในเรื่องการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ที่กำลังเริ่มดีเดย์อยู่ในช่วงเวลาเดียวกันด้วย เพราะนั่นเท่ากับว่ายิ่งเพิ่มกระแสความหมั่นไส้ให้กับสังคมเพิ่มมากขึ้น การจับตาจากสังคมด้วยความระแวงมันก็ยิ่งเพิ่มดีกรี ดังจะเห็นได้จากผลสำรวจในเบื้องต้นที่ออกมาค่อนข้างตรงกันแล้วว่ามีเสียงคัดค้านกันตั้งแต่ต้นมือ เพราะรู้ทันว่ามีแต่ทักษิณ และครอบครัวเท่านั้นที่ได้ประโยชน์ ส่วนชาวบ้านไม่ได้อะไร อีกทั้งยังเห็นว่าจะทำให้บ้านเมืองเกิดความขัดแย้งโดยไม่จำเป็น
อย่างไรก็ดีการใช้สื่อฟรีทีวีของรัฐอย่างช่อง 11 เพื่อเคลียร์ตัวเอง ปฏิเสธข้อกล่าวหาในเรื่องความไม่จงรักภักดีนั้นถือว่าเป็นเรื่องไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง และแม้ว่าจะมีการแก้ตัวจากฝ่ายรัฐบาลอย่างไรก็ฟังไม่ขึ้น เพราะนี่คือการ “สมรู้ร่วมคิด” มีการวางแผนเอาไว้ล่วงหน้า แต่ถ้าพิจารณาในแง่ผลกระทบที่ตามมาจากข้อกล่าวหาดังกล่าวหลังจากมีการเปิดคลิปเสียงระหว่างการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยามเมื่อวันก่อน จนนำมาสู่การปฏิเสธแก้ตัว หากมองในมุมนี้ก็ย่อมถือว่า ทักษิณ นั่งไม่ติดมีผลกระทบไม่น้อย โดยเฉพาะเมื่อได้เห็นบรรยากาศการ “ใส่เสื้อเหลือง” ในวันมหามงคลที่ผ่านมา
ดังนั้นเมื่อพิจารณาในภาพรวมที่เกิดขึ้นทั้งหมดรับรองว่าการลักไก่ใช้ช่อง 11 ชี้แจงข้อกล่าวหาของตัวเองไม่น่าจะส่งผลบวก นั่นคือได้ไม่คุ้มเสีย เพราะยิ่งสร้างกระแสความไม่พอใจจากสังคม ทำให้ความเคลื่อนไหวที่กำลังจะเกิดขึ้นอย่างเช่น การแก้ไขรัฐธรรมนูญที่กำลังจะเริ่มดีเดย์มีความลำบากมากขึ้น และที่สำคัญยังส่งผลกระทบไปถึงรัฐบาล ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร ซึ่งที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีผลงานอะไรให้เป็นชิ้นเป็นอัน ไม่มีความโดดเด่นแตกต่าง และยิ่งมาเจอกับความรู้สึกหงุดหงิดจากกรณีของ ทักษิณ ที่ย่ำยีกฎหมายอย่างหน้าด้านๆ แทนที่จะอยู่เงียบๆ มันก็ยิ่งไปกันใหญ่
แต่ถึงอย่างไรไม่ว่าจะอย่างไรก็ตาม กรณีที่ปล่อยให้โจร หรือ นักโทษหนีคดีอย่างทักษิณ ได้ออกฟรีทีวีของรัฐคราวนี้ถือว่าย่ำยีกฎหมาย ย่ำยีหัวใจคนไทยมากเกินไปหน่อย ซึ่งต้องมีคนรับผิดชอบ จะเลี่ยงไปเป็นอื่นไม่ได้เป็นอันขาด !!