รายงานการเมือง
สองทุ่มครึ่งของวันที่ 9 ธันวาคม จู่ๆก็เกิด “บิ๊กเซอร์ไพรส์” ขึ้นอย่างไม่คาดฝัน ชนิด “ช็อค” บรรดาคอการเมืองไทยพอสมควร
เมื่อ “สถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย” (เอ็นบีที) หรือช่อง 11 ที่กำลังถ่ายทอดสดการแข่งขันศึกมวยไทยวอริเออร์สปีที่ 2 เทิดไท้องค์ราชัน เพื่อเฉลิมพระเกียรติพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว เนื่องในวโรกาสปีมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา 85 พรรษา ที่โรงแรมมาเก๊า ฟิชเแมน วูฟ เขตปกครองพิเศษมาเก๊า
ซึ่งมีชื่อ “บิ๊กตุ้ย - พล.อ.ชัยสิทธิ์ ชินวัตร” อดีตผู้บัญชาการทหารสูงสุด ในฐานะประธานสหพันธ์มวยไทยอาชีพโลก เป็นประธานจัดงาน แต่กลับมีนักโทษหนีคุกนามว่า “ทักษิณ ชินวัตร” อดีตนายกรัฐมนตรี เป็นประธานในพิธีเปิด แถมจ้อออกอากาศแบบไม่ฟ้าดิน
ลำพัง “พ.ต.ท.ทักษิณ” มาเป็นประธานพิธีเปิดงานของคนเครือข่าย “ชินวัตร” คงไม่น่าเกลียดและน่าหดหู่ใจมากสักเท่าไร แต่ที่น่าเกลียดน่าหดหู่ใจยิ่งกว่าคือการถ่ายทอดสดพิธีเปิดของ “เอ็นบีที” ให้กับประชาชนคนไทยได้รับชมกันทั่วหน้า
กล่าวคือ “เอ็นบีที” เป็นหน่วยงานของรัฐ มีหน้าที่หลักคือการประชาสัมพันธ์การดำเนินการโครงการต่างๆของรัฐบาล และเผยแพร่ผลงานของรัฐบาล ให้ประชาชนได้รับทราบ
ซึ่งต้องยอมรับว่าการใช้ “เอ็นบีที” ปล่อยให้ถ่ายทอดสดการแข่งขันศึกมวยไทยวอริเออร์ส โดยมี “พ.ต.ท.ทักษิณ” เป็นประธานในพิธีเปิด ถือเป็นเรื่องที่ไม่เหมาะสมอย่างยิ่ง
เข้าใจว่าในทางการเมือง “พ.ต.ท.ทักษิณ” ถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลและเป็นเจ้าของพรรคเพื่อไทยตัวจริง แต่ในทางการบริหารประเทศ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ไม่มีตำแหน่งใดๆใน “รัฐบาล” ความชอบธรรมที่จะมาใช้ช่องโทรทัศน์ของรัฐบาล จึงแทบจะไม่มีเลยแม้แต่น้อย
ยิ่งไปกว่านั้นค่าใช้จ่ายหลักของ “เอ็นบีที” มาจากเงินภาษีที่เก็บมาจากของประชาชน “พ.ต.ท.ทักษิณ” จะมาใช้เงินภาษีของประชาชน เพื่อหาประโยชน์ส่วนตัวก็ไม่ถูกต้องอีกเช่นเคย
ฉะนั้นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นต้องมีผู้รับผิดชอบอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ดังนี้ ไล่ตั้งแต่ “ยิ่งลักษณ์ ชินวัตร” ในฐานะที่เป็นผู้นำประเทศ ซึ่งดูแลงานในภาพรวมทั้งหมด จึงควรออกมาแสดงความรับผิดชอบ อาจจะไม่ต้องถึงขั้น “ลาออก” แต่ก็ควร “ขอโทษ” ที่นำภาษีประชาชนไปเอื้อประโยชน์ให้ “พี่ชาย”
ตามมาด้วย "ศันสนีย์ นาคพงษ์" รัฐมนตรีประจำสำนักนายกรัฐมนตรี กำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์ แม้ว่า “ศันสนีย์” ซึ่งในช่วงออกอากาศอยู่กับ “ยิ่งลักษณ์” ในงานแต่งงานของ “รัตนพล วงศ์นภาจันทร์” บุตรชายคนกลางของ “เยาวเรศ ชินวัตร” จะออกมาทำไขสือว่า “ไม่รู้เรื่อง” แทบจะเป็นไปไม่ได้ “ศันสนีย์” จึงควรแสดงสปิริตออกมายอมรับผิดในการกระทำของ “องค์กร” ที่ตัวเองกำกับดูแล
ที่ขาดไม่ได้ "ธีระพงษ์ โสดาศรี" อธิบดีกรมประชาสัมพันธ์ เป็นอีกคนที่ในฐานะกำกับดูแลกรมประชาสัมพันธ์โดยตรง ซึ่ง “ธีระพงศ์” ไม่สามารถปฏิเสธได้ว่าไม่รู้เรื่องได้ เพราะคนที่โผล่ออกมาคือ “พ.ต.ท.ทักษิณ” จะไม่มีใครมาปรึกษา “ธีระพงษ์” คงเป็นไปไม่ได้ ต่อเนืีองด้วยผู้อำนวยการสถานีวิทยุโทรทัศน์แห่งประเทศไทย ในฐานะที่ดูแลผังรายการทั้งหมด ที่สำคัญหากมีการถ่ายทอดสดหรือมีการเปลี่ยนแปลงผังรายการ ต้องมีการแจ้งให้ “ผอ.เอ็นบีที” รับรู้ก่อนอยู่แล้ว อีกทั้ง “ผอ.เอ็นบีที” ก็ต้องรู้ว่ารายละเอียดของรายการถ่ายทอดสดเป็นอย่างไร
ซึ่งในเรื่องของความรับผิดชอบ “องค์กร” ต่างๆ คงมีการยื่นให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้าไปตรวจสอบเอาผิด ผู้ที่กระทำหน้าที่โดยละเว้น แม้ว่าจะเจตนาหรือไม่เจตนาก็ตาม แต่เมื่อมีความผิดเกิดขึ้นแล้วก็ควรมีการลงโทษ
ส่วนเรื่องนัยยะทางการเมืองนั้นมีอยู่อย่างแน่นอน เพราะคนอย่าง “พ.ต.ท.ทักษิณ” ทำอะไรแล้วไม่มีทางที่จะยอมเสียอย่างเดียว
“น.ช.แม้ว” รู้ว่าหากออกมาอย่างนี้จะโดนด่า หน่ำซ้ำ “ยิ่งลักษณ์” อาจจะโดนเล่นงานด้วย แต่เมื่อคำนวณแล้วว่า “คุ้มค่า” จึงต้องออกมาเดินหมากเกมนี้ด้วยตัวเอง
ซึ่งต้องยอมรับว่าหมากเกมนี้ของ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ได้มากกว่าเสีย
ได้หนึ่งคือ ได้แต้มจากประชาชนที่ติดตามรับชมการถ่ายทอดสด เพราะในพิธีเปิดการแข่งขันชกมวยกลับมีการกล่าวถวายพระพร พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว โดยเนื้อเรื่องมุ่งชูให้ “พ.ต.ท.ทักษิณ” แสดงความจงรักภักดี
ได้สองคือ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ได้แก้ตัวในข้อหาที่หลายฝ่ายตั้งข้อสังเกตว่า ตัวเองไม่มีความจงรักภักดี
โดยเฉพาะประโยคที่ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ระบุว่า "ผมขอยืนยันว่า การกล่าวหาผมว่าไม่มีความจงรักภักดีนั้น ล้วนแล้วแต่ไม่มีมูลความจริง เป็นเพียงข้ออ้างของฝ่ายตรงข้ามเพื่อนำมาเป็นเครื่องมือเอาชนะกันทางการเมือง”
นี่สะท้อนให้เห็นเจตนาของการจัดฉากครั้งนี้ขึ้นมาได้อย่างดี
ได้สามคือ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ได้ส่งสัญญาณตรงไปยังบรรดา “อำมาตย์” ว่าชายชื่อ “พ.ต.ท.ทักษิณ” พร้อมที่จะเปิดประตูคุยกันในทางลับอีกครั้ง หลังจากการเจรจาระหว่าง “พ.ต.ท.ทักษิณ” กับ “อำมาตย์” เป็นอันต้องล่มมาตลอด เพราะต่างฝ่ายต่างต่อรองมากเกินตัว
โดยเชื่อได้ว่าหากการเจรจาต่อรองเกิดขึ้น “พ.ต.ท.ทักษิณ” จะหยิบยกเงื่อนไขการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาเป็นเครื่องมือในการเจรจาต่อรองอย่างแน่นอน เพราะหากยังจำกันได้การเจรจาต่อรองต้องล่มไป จนเป็นเหตุให้แก้ไขรัฐธรรมนูญต้องสะดุด จนศาลรัฐธรรมนูญต้องรับคำร้องวินิจฉัยการแก้ไขรัฐธรรมนูญมาตรา 291
ดังนั้นสัญญาณที่ “พ.ต.ท.ทักษิณ” ตั้งใจปล่อยออกมาถือว่าไม่ธรรมดา
หลังจากนี้จึงต้องจับตาความเคลื่อนไหวของ “พ.ต.ท.ทักษิณ” และบรรดา “อำมาตย์” อย่างใกล้ชิดว่าจะอยู่ในทิศทางใด เพราะนั่นหมายถึงชะตาอนาคตของประเทศไทย