เรารู้เลยว่า ม. เที่ยงคืนเป็นพวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ เป็นทายาทของคณะราษฎร พวกคุณจะแก้ไขยกร่างรัฐธรรมนูญใหม่สัก 100 ครั้ง 1,000 ฉบับ มันก็จะได้ระบอบเผด็จการทุกครั้งไป นายทุนผูกขาด นักการเมืองจัญไรก็จะพอใจยินดี เพราะพวกเขาได้ประโยชน์ แต่ประชาชนถูกกดขี่ขูดรีด
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ คือลัทธิที่ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญมากดขี่ประชาชน ระบอบนี้เป็นระบอบเผด็จการที่รับใช้ ให้ประโยชน์แก่คนเพียงหยิบมือเดียวคือคณะรัฐบาลหรือคณะผู้ปกครองและกลุ่มทุนผูกขาดและต่างชาติร่วมมือกัน การใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาอ้างว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย โกหกกันมายาวนานที่สุดมากกว่า 80 ปี
มันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งของประชาชนในชาติ ทำให้คนในชาติแตกแยกทางความคิดเป็นกลุ่มเป็นเหล่ากลายเป็นกษัตริย์หลายองค์ เช่น สุพรรณบุรี ก็ ราชาบรรหาร เชียงใหม่ก็ราชาทักษิณ ชินวัตร เป็นต้น
มันเป็นเหตุแห่งคอร์รัปชันมากมายมหาศาลที่ไหนมีงบประมาณที่นั่นมีการฉ้อฉล กลายเป็นว่าคอร์รัปชันคือความชอบธรรมรับได้ขอเพียงให้ได้ส่วนแบ่งบ้างในตำบลของเรา ทุกรัฐบาลเหมือนกันหมด
มันเป็นเหตุแห่งความหลงผิดเรื่องระบอบประชาธิปไตยที่ยาวนานที่สุดกว่า80 ปี
มันเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายไม่รู้จบสิ้นวนเวียนอยู่กับฉีกรัฐธรรมนูญ แก้ไข ร่างกฎหมายรัฐธรรมใหม่เป็นวงจรอุบาทว์มายาวนานกว่า 80 ปี
มันเป็นเหตุแห่งทำให้มีนักการเมืองเลวระดับสัตว์นรก
มันเป็นเหตุแห่งความอุบาทว์จัญไร อบายมุขเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกะดอกเห็ดเต็มบ้านเต็มเมือง และมันเป็นเหตุแห่งความล้าหลังของชาติ
วันรัฐธรรมนูญ คือวันของลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงมีแนวคิด (Concept) ออกมาเป็น “วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ” อันนี้เป็นแนวคิดของคณะราษฎร ซึ่งเป็นเจ้าของลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญยาวนานกว่า 80 ปี
คณะราษฎรมีความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ คือ ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นระบอบประชาธิปไตยหรือร่างเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือรัฐประหารสร้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งผิดซ้ำซากมาแล้ว
มีประเทศเดียวในโลกที่เห็นผิดเช่นนี้ เห็นผิดอย่างร้ายแรง...เกินที่จะกล่าว การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ เป็นความโง่งมงายที่สุดของนักกฎหมาย กฎหมายคือเครื่องมืออย่างหนึ่งหรือข้อบังคับอย่างหนึ่งจะนำไปสร้างระบอบประชาธิปไตย มันสร้างไม่ได้เพราะกฎหมายไม่ใช่เครื่องมือในการสร้างระบอบประชาธิปไตย
พวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงเชิดชูสัญลักษณ์รูปภาพรัฐธรรมนูญอย่างมีความสุขและว่าพวกเขาเป็นพวกประชาธิปไตย แท้จริงพวกเขาเป็นพวกหลงผิดอย่างร้ายแรงว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย
จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นหนึ่งในคณะราษฎร ที่หลอกประชาชนมากที่สุดคนหนึ่ง ดูได้จากรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 จู่ๆ ก็บัญญัติขึ้นมาลอยๆ ในมาตรา 2 ความว่า “ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ก่อนหน้านั้น รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 1-4 ไม่ได้บัญญัติไว้ ประชาชนต้องการประชาธิปไตย แต่ผู้ปกครองยัดเยียดรัฐธรรมนูญให้ โดยผู้ปกครองบิดเบือนว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย เช่น สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ แล้วตั้งชื่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เห็นไหมว่ามันโง่อย่างดักดานที่สุด (ต้องว่ากันแรงๆ)
หากพวกเราได้ฉุกคิด ระบอบประชาธิปไตยมันจะเกิดขึ้นจากตัวอักษรเพียงแค่นี้เองหรือ ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ คณะราษฎรเองก็ไม่ได้รณรงค์เรื่อง “ระบอบประชาธิปไตย” แต่รณรงค์เรื่อง “รัฐธรรมนูญ” เพราะความมุ่งหมายอันสูงสุดในการยึดอำนาจของคณะราษฎรคือ “ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” คณะราษฎรฉลองรัฐธรรมนูญกันทุกปี ระยะหลังการฉลองรัฐธรรมนูญค่อยๆ หมดความสำคัญลง จะยังมีอยู่บ้างก็เป็นไปอย่างเสียไม่ได้ของรัฐพิธีขอให้รัฐบาลเลิกเสียเถอะจะได้ไม่อายและโง่ดักดาน
ความขัดแย้งของสมเด็จพระปกเกล้าฯ กับคณะราษฎร ขัดแย้งกันเพราะความเห็นไม่ตรงกัน สมเด็จพระปกเกล้าฯ มุ่งหวังที่ต้องการจะสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย ดังพระราชหัตถเลขาสำคัญตอนหนึ่งว่า ... “ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลาว่าควรถือหลัก Democracy อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ Democracy อันแท้ มิฉะนั้น ก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่”
เห็นชัดว่า ความต่างกันของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงต้องการสถาปนาหลัก Democracy ให้สำเร็จก่อน ซึ่งก็คือหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย ให้เกิดมีขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงนำไปทดลองใช้ระดับเทศบาลก่อนเพื่อให้ประชาชนได้มีปัญญารู้ เข้าใจจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เมื่อขยายเทศบาลไปทั่วประเทศแล้วจึงรู้ว่ามีหลักการปกครองที่ดีแล้ว จึงร่างรัฐธรรมนูญรักษา คุ้มครอง สะท้อนความเป็นหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยไว้ หรือเรียกว่า รักษา คุ้มครอง สะท้อน ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไว้นั้นเอง
แนวคิดอย่างนี้เป็นแนวคิดที่ถูกต้องประชาชนไม่ถูกหลอก เพราะประชาชนต้องการระบอบประชาธิปไตย พระเจ้าแผ่นดินก็พระราชทานหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยให้จริงๆ หรือ พระราชทานระบอบประชาธิปไตยให้กับประชาชนจริงๆ พระองค์ได้แต่คิด และทรงเตรียมการไว้แล้ว แต่ก็ถูกยึดอำนาจเสียก่อน
คิดง่ายๆ รัฐธรรมนูญ คือกฎหมาย กฎหมายย่อมสะท้อนในสิ่งที่เป็นอยู่ รัฐธรรมนูญดุจดังกระจก กระจกสะท้อนหน้าใคร ก็เป็นหน้าคนนั้น สะท้อนทักษิณ ก็เป็นทักษิณ สะท้อนปู ก็เป็นปู จะเป็น “อั้ม” เป็นไปไม่ได้
เมื่อระบอบประชาธิปไตยยังไม่มี ยังไม่ได้รับการสถาปนา รัฐธรรมนูญก็ย่อมสะท้อนระบอบเผด็จการเดิมๆ นั่นเอง นัยหนึ่ง เมื่อ “หลักการร่วมโดยธรรม” หรือ “ระบอบร่วมโดยธรรม” หรือ “จุดมุ่งหมายร่วมโดยธรรม” ของปวงชนในชาติยังไม่มี มีแต่กฎหมาย ซึ่งเป็นเพียงวิธีการ หรือเครื่องมือของรัฐบาลนั้นๆ ที่ใช้กฎหมายมากดหัวประชาชน แย่งชิงทรัพย์สมบัติของชาติ ไปเป็นของตนและพวกพ้อง รุ่นแล้ว รุ่นเล่า นั่นเอง
ตัวแทนลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญในปัจจุบันแบบแรงๆ ก็คือพรรคเพื่อไทย ประชาไทย แกนนำเสื้อแดง นิติราษฎร์ คอมมิวนิสต์ ฝ่ายขวาก็ประชาธิปัตย์ เป็นต้น พวกเขาคิดได้แค่ร่างหรือไม่ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญและรัฐประหารเพียงเท่านี้
เราจะเปิดเผยพิสูจน์ด้วยปัญญา ว่าพวกเขาหลงผิด นำพาประชาชนไปหลงผิด ทำร้ายประเทศชาติให้ย่อยยับมายาวนาน ดังนี้
เราจะเข้าหาสิ่งใดหรือเข้าถึงสิ่งใดนั้น สิ่งนั้นจะต้องมีอยู่ก่อนแล้วหรือเกิดขึ้นแล้ว เช่น เราเข้าถึงสภาวะนิพพาน (สันติ) ได้ เพราะสภาวะนี้มีอยู่ก่อนแล้ว ดำรงอยู่จริง เป็นแก่นแท้ของชีวิต ส่วนการปรุงแต่งเป็นปรากฏการณ์ เกิดแล้วก็ดับไป เราเข้าหาพระพุทธศาสนาได้ พระพุทธศาสนามีอยู่ก่อนแล้ว เราไปวัดพระแก้วได้ เพราะวัดพระแก้วมีอยู่ก่อนแล้ว เราจะเข้ามหาวิทยาลัยฯ เพราะมหาวิทยาลัยฯ มีอยู่ก่อนแล้ว ฉันใด
หากเราจะเข้าสู่ เข้าถึงหลักการปกครองฯ หรือระบอบฯ ได้ หลักการปกครองหรือระบอบฯ นั้น จะต้องมีอยู่ก่อน มีอยู่จริงๆ แล้ว ฉันนั้น
แต่.. ในเมื่อไม่มีระบอบฯ หรือหลักการปกครองฯ อยู่จริง ปวงชนในแผ่นดินก็ถูกหลอก แสดงว่าผู้ปกครองด้อยปัญญารุ่นแล้วรุ่นเล่า เมื่อไม่มีระบอบฯ ที่แท้จริง ประชาชนจึงแตกแยกไปอยู่ภายใต้ร่มธงของพรรคการเมืองฯ เน่าๆ ของนักการเมืองเน่าๆ หรืออยู่ภายใต้บุคคลเน่าๆ
ในทางที่ถูกต้องปวงชนในชาติทุกสาขาอาชีพจะต้องขึ้นตรงหรืออยู่ใต้ร่มธงระบอบฯ หรือหลักการปกครองโดยธรรม คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ปวงชนถือธรรมเป็นใหญ่ ธรรมย่อมคุ้มครองแก่ผู้ปฏิบัติธรรม
นัยอันสำคัญก็คือ จุดหมายต้องมาก่อนวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย เสมอ ฉันใด หลักการปกครองโดยธรรม จะต้องมาก่อนวิธีการปกครองคือรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น ขอให้ช่วยกันคิด “อย่าไปหลงผิดตามพวกมันอยู่เลย” มาร่วมมือกันให้มี “วันพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9” จึงจะถูกต้องเพื่อความยิ่งใหญ่ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ใครอยากได้ระบอบประชาธิปไตย ต้องร่วมมือกันผลักดันเพื่อให้พระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อดังนี้ 1) หลักธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่) 2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ 3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน 4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (ทางความคิด ความเชื่อ) 5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส 6) หลักภราดรภาพ7) หลักเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม 8) หลักดุลยภาพ 9) หลักนิติธรรม
หลักการทั้ง 9 หรือระบอบฯ คือเหตุปัจจัยให้การยกร่างรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติต่างๆ เป็นธรรม ด้วยเหตุปัจจัยดี ย่อมเป็นปัจจัยต่อรูปการปกครองระบบรัฐสภาให้มีประสิทธิภาพ และจะเป็นปัจจัยต่างอิงอาศัยให้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง ได้เบ่งบานทั่วทั้งแผ่นดิน
จะเห็นได้ว่าแท้ที่จริงระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรม มีลักษณะพิเศษศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งยวดที่ซ้อนอยู่อย่างน้อย 7 ประการดังนี้
1) เป็นแก่นแท้รากฐานอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของชาติ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) ยกขึ้นเป็นหลักการปกครองโดยธรรม
2) เป็นธรรมหรือเป็นหลักการที่ไม่ตายหรือไม่เปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นหัวใจของปวงชนทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม
3) เป็นจุดหมายร่วมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมของปวงชน
4) เป็นศูนย์กลางเป็นเอกภาพของปวงชน
5) เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุด (Supreme Law) ของปวงชน
6) เป็นหลักนิติธรรมแห่งชาติ
7) เป็นเหตุหรือบ่อเกิดแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายทุกระดับ
พวกเขาจะดันทุรังด้วยความเขลา หรือจะด้วยความบิดเบือน แต่พวกเราผู้เชิดชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจทั้งหลาย จะต้องรัก เคารพเชิดชู ด้วยปัญญา สู้กับพวกเขาด้วยปัญญาอย่างสันติ นำปัญญาวุธไปสู้กับพวกเผด็จการทั้งหลายที่คิดเอาแต่ประโยชน์ตนและพวกพ้องและยึดรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ ขอให้พรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางละทิ้งแนวคณะราษฎร มารับเอาแนวทางธรรมาธิปไตยไปเป็นสรณะด้วยเถิด
ลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ คือลัทธิที่ใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญมากดขี่ประชาชน ระบอบนี้เป็นระบอบเผด็จการที่รับใช้ ให้ประโยชน์แก่คนเพียงหยิบมือเดียวคือคณะรัฐบาลหรือคณะผู้ปกครองและกลุ่มทุนผูกขาดและต่างชาติร่วมมือกัน การใช้กฎหมายรัฐธรรมนูญมาอ้างว่าเป็นระบอบประชาธิปไตย โกหกกันมายาวนานที่สุดมากกว่า 80 ปี
มันเป็นเหตุแห่งความขัดแย้งของประชาชนในชาติ ทำให้คนในชาติแตกแยกทางความคิดเป็นกลุ่มเป็นเหล่ากลายเป็นกษัตริย์หลายองค์ เช่น สุพรรณบุรี ก็ ราชาบรรหาร เชียงใหม่ก็ราชาทักษิณ ชินวัตร เป็นต้น
มันเป็นเหตุแห่งคอร์รัปชันมากมายมหาศาลที่ไหนมีงบประมาณที่นั่นมีการฉ้อฉล กลายเป็นว่าคอร์รัปชันคือความชอบธรรมรับได้ขอเพียงให้ได้ส่วนแบ่งบ้างในตำบลของเรา ทุกรัฐบาลเหมือนกันหมด
มันเป็นเหตุแห่งความหลงผิดเรื่องระบอบประชาธิปไตยที่ยาวนานที่สุดกว่า80 ปี
มันเป็นเหตุแห่งความวุ่นวายไม่รู้จบสิ้นวนเวียนอยู่กับฉีกรัฐธรรมนูญ แก้ไข ร่างกฎหมายรัฐธรรมใหม่เป็นวงจรอุบาทว์มายาวนานกว่า 80 ปี
มันเป็นเหตุแห่งทำให้มีนักการเมืองเลวระดับสัตว์นรก
มันเป็นเหตุแห่งความอุบาทว์จัญไร อบายมุขเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วราวกะดอกเห็ดเต็มบ้านเต็มเมือง และมันเป็นเหตุแห่งความล้าหลังของชาติ
วันรัฐธรรมนูญ คือวันของลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงมีแนวคิด (Concept) ออกมาเป็น “วันพระราชทานรัฐธรรมนูญ” อันนี้เป็นแนวคิดของคณะราษฎร ซึ่งเป็นเจ้าของลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญยาวนานกว่า 80 ปี
คณะราษฎรมีความเข้าใจผิดอย่างร้ายแรงต่อชาติ คือ ร่างกฎหมายรัฐธรรมนูญเพื่อให้เป็นระบอบประชาธิปไตยหรือร่างเพื่อสร้างระบอบประชาธิปไตย หรือรัฐประหารสร้างรัฐธรรมนูญ ซึ่งผิดซ้ำซากมาแล้ว
มีประเทศเดียวในโลกที่เห็นผิดเช่นนี้ เห็นผิดอย่างร้ายแรง...เกินที่จะกล่าว การเอากฎหมายไปสร้างระบอบฯ เป็นความโง่งมงายที่สุดของนักกฎหมาย กฎหมายคือเครื่องมืออย่างหนึ่งหรือข้อบังคับอย่างหนึ่งจะนำไปสร้างระบอบประชาธิปไตย มันสร้างไม่ได้เพราะกฎหมายไม่ใช่เครื่องมือในการสร้างระบอบประชาธิปไตย
พวกลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญ จึงเชิดชูสัญลักษณ์รูปภาพรัฐธรรมนูญอย่างมีความสุขและว่าพวกเขาเป็นพวกประชาธิปไตย แท้จริงพวกเขาเป็นพวกหลงผิดอย่างร้ายแรงว่ารัฐธรรมนูญ คือระบอบประชาธิปไตย
จอมพล ป. พิบูลสงครามเป็นหนึ่งในคณะราษฎร ที่หลอกประชาชนมากที่สุดคนหนึ่ง ดูได้จากรัฐธรรมนูญฉบับที่ 5 จู่ๆ ก็บัญญัติขึ้นมาลอยๆ ในมาตรา 2 ความว่า “ประเทศไทยมีการปกครองในระบอบประชาธิปไตยอันมีพระมหากษัตริย์ทรงเป็นประมุข” ก่อนหน้านั้น รัฐธรรมนูญ ฉบับที่ 1-4 ไม่ได้บัญญัติไว้ ประชาชนต้องการประชาธิปไตย แต่ผู้ปกครองยัดเยียดรัฐธรรมนูญให้ โดยผู้ปกครองบิดเบือนว่ารัฐธรรมนูญคือระบอบประชาธิปไตย เช่น สร้างอนุสาวรีย์รัฐธรรมนูญ แล้วตั้งชื่ออนุสาวรีย์ประชาธิปไตย เห็นไหมว่ามันโง่อย่างดักดานที่สุด (ต้องว่ากันแรงๆ)
หากพวกเราได้ฉุกคิด ระบอบประชาธิปไตยมันจะเกิดขึ้นจากตัวอักษรเพียงแค่นี้เองหรือ ขณะเดียวกันก่อนหน้านี้ คณะราษฎรเองก็ไม่ได้รณรงค์เรื่อง “ระบอบประชาธิปไตย” แต่รณรงค์เรื่อง “รัฐธรรมนูญ” เพราะความมุ่งหมายอันสูงสุดในการยึดอำนาจของคณะราษฎรคือ “ธรรมนูญการปกครองแผ่นดิน” คณะราษฎรฉลองรัฐธรรมนูญกันทุกปี ระยะหลังการฉลองรัฐธรรมนูญค่อยๆ หมดความสำคัญลง จะยังมีอยู่บ้างก็เป็นไปอย่างเสียไม่ได้ของรัฐพิธีขอให้รัฐบาลเลิกเสียเถอะจะได้ไม่อายและโง่ดักดาน
ความขัดแย้งของสมเด็จพระปกเกล้าฯ กับคณะราษฎร ขัดแย้งกันเพราะความเห็นไม่ตรงกัน สมเด็จพระปกเกล้าฯ มุ่งหวังที่ต้องการจะสถาปนาหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย ดังพระราชหัตถเลขาสำคัญตอนหนึ่งว่า ... “ข้าพเจ้าก็ได้พยายามตักเตือนและโต้เถียงกับคณะกรรมการร่างรัฐธรรมนูญอยู่ตลอดเวลาว่าควรถือหลัก Democracy อันแท้จริงจึงจะถูก ถ้ามิฉะนั้นจะเกิดทำให้มีความไม่พอใจขึ้นแก่ประชาชน ซึ่งส่วนมากต้องการให้มีการปกครองแบบ Democracy อันแท้ มิฉะนั้น ก็เป็นการเสียเวลาและเป็นการเสี่ยงภัยให้แก่ประเทศโดยใช่ที่”
เห็นชัดว่า ความต่างกันของสมเด็จพระปกเกล้าฯ ทรงต้องการสถาปนาหลัก Democracy ให้สำเร็จก่อน ซึ่งก็คือหลักการปกครองแบบประชาธิปไตย ให้เกิดมีขึ้นมาก่อน จากนั้นจึงนำไปทดลองใช้ระดับเทศบาลก่อนเพื่อให้ประชาชนได้มีปัญญารู้ เข้าใจจากการลงมือปฏิบัติด้วยตนเอง เมื่อขยายเทศบาลไปทั่วประเทศแล้วจึงรู้ว่ามีหลักการปกครองที่ดีแล้ว จึงร่างรัฐธรรมนูญรักษา คุ้มครอง สะท้อนความเป็นหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยไว้ หรือเรียกว่า รักษา คุ้มครอง สะท้อน ระบอบประชาธิปไตยที่แท้จริง ไว้นั้นเอง
แนวคิดอย่างนี้เป็นแนวคิดที่ถูกต้องประชาชนไม่ถูกหลอก เพราะประชาชนต้องการระบอบประชาธิปไตย พระเจ้าแผ่นดินก็พระราชทานหลักการปกครองแบบประชาธิปไตยให้จริงๆ หรือ พระราชทานระบอบประชาธิปไตยให้กับประชาชนจริงๆ พระองค์ได้แต่คิด และทรงเตรียมการไว้แล้ว แต่ก็ถูกยึดอำนาจเสียก่อน
คิดง่ายๆ รัฐธรรมนูญ คือกฎหมาย กฎหมายย่อมสะท้อนในสิ่งที่เป็นอยู่ รัฐธรรมนูญดุจดังกระจก กระจกสะท้อนหน้าใคร ก็เป็นหน้าคนนั้น สะท้อนทักษิณ ก็เป็นทักษิณ สะท้อนปู ก็เป็นปู จะเป็น “อั้ม” เป็นไปไม่ได้
เมื่อระบอบประชาธิปไตยยังไม่มี ยังไม่ได้รับการสถาปนา รัฐธรรมนูญก็ย่อมสะท้อนระบอบเผด็จการเดิมๆ นั่นเอง นัยหนึ่ง เมื่อ “หลักการร่วมโดยธรรม” หรือ “ระบอบร่วมโดยธรรม” หรือ “จุดมุ่งหมายร่วมโดยธรรม” ของปวงชนในชาติยังไม่มี มีแต่กฎหมาย ซึ่งเป็นเพียงวิธีการ หรือเครื่องมือของรัฐบาลนั้นๆ ที่ใช้กฎหมายมากดหัวประชาชน แย่งชิงทรัพย์สมบัติของชาติ ไปเป็นของตนและพวกพ้อง รุ่นแล้ว รุ่นเล่า นั่นเอง
ตัวแทนลัทธิเผด็จการรัฐธรรมนูญในปัจจุบันแบบแรงๆ ก็คือพรรคเพื่อไทย ประชาไทย แกนนำเสื้อแดง นิติราษฎร์ คอมมิวนิสต์ ฝ่ายขวาก็ประชาธิปัตย์ เป็นต้น พวกเขาคิดได้แค่ร่างหรือไม่ก็แก้ไขรัฐธรรมนูญและรัฐประหารเพียงเท่านี้
เราจะเปิดเผยพิสูจน์ด้วยปัญญา ว่าพวกเขาหลงผิด นำพาประชาชนไปหลงผิด ทำร้ายประเทศชาติให้ย่อยยับมายาวนาน ดังนี้
เราจะเข้าหาสิ่งใดหรือเข้าถึงสิ่งใดนั้น สิ่งนั้นจะต้องมีอยู่ก่อนแล้วหรือเกิดขึ้นแล้ว เช่น เราเข้าถึงสภาวะนิพพาน (สันติ) ได้ เพราะสภาวะนี้มีอยู่ก่อนแล้ว ดำรงอยู่จริง เป็นแก่นแท้ของชีวิต ส่วนการปรุงแต่งเป็นปรากฏการณ์ เกิดแล้วก็ดับไป เราเข้าหาพระพุทธศาสนาได้ พระพุทธศาสนามีอยู่ก่อนแล้ว เราไปวัดพระแก้วได้ เพราะวัดพระแก้วมีอยู่ก่อนแล้ว เราจะเข้ามหาวิทยาลัยฯ เพราะมหาวิทยาลัยฯ มีอยู่ก่อนแล้ว ฉันใด
หากเราจะเข้าสู่ เข้าถึงหลักการปกครองฯ หรือระบอบฯ ได้ หลักการปกครองหรือระบอบฯ นั้น จะต้องมีอยู่ก่อน มีอยู่จริงๆ แล้ว ฉันนั้น
แต่.. ในเมื่อไม่มีระบอบฯ หรือหลักการปกครองฯ อยู่จริง ปวงชนในแผ่นดินก็ถูกหลอก แสดงว่าผู้ปกครองด้อยปัญญารุ่นแล้วรุ่นเล่า เมื่อไม่มีระบอบฯ ที่แท้จริง ประชาชนจึงแตกแยกไปอยู่ภายใต้ร่มธงของพรรคการเมืองฯ เน่าๆ ของนักการเมืองเน่าๆ หรืออยู่ภายใต้บุคคลเน่าๆ
ในทางที่ถูกต้องปวงชนในชาติทุกสาขาอาชีพจะต้องขึ้นตรงหรืออยู่ใต้ร่มธงระบอบฯ หรือหลักการปกครองโดยธรรม คือหลักการปกครองธรรมาธิปไตย ปวงชนถือธรรมเป็นใหญ่ ธรรมย่อมคุ้มครองแก่ผู้ปฏิบัติธรรม
นัยอันสำคัญก็คือ จุดหมายต้องมาก่อนวิธีการไปสู่จุดมุ่งหมาย เสมอ ฉันใด หลักการปกครองโดยธรรม จะต้องมาก่อนวิธีการปกครองคือรัฐธรรมนูญ ฉันนั้น ขอให้ช่วยกันคิด “อย่าไปหลงผิดตามพวกมันอยู่เลย” มาร่วมมือกันให้มี “วันพระราชทานหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9” จึงจะถูกต้องเพื่อความยิ่งใหญ่ของชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์
ใครอยากได้ระบอบประชาธิปไตย ต้องร่วมมือกันผลักดันเพื่อให้พระเจ้าแผ่นดินทรงสถาปนาหลักการปกครองธรรมาธิปไตย 9 กล่าวโดยย่อดังนี้ 1) หลักธรรมาธิปไตย (ถือธรรมเป็นใหญ่) 2) หลักพระมหากษัตริย์เป็นประมุขแห่งรัฐ 3) หลักอำนาจอธิปไตยของปวงชน 4) หลักเสรีภาพบริบูรณ์ (ทางความคิด ความเชื่อ) 5) หลักความเสมอภาคทางโอกาส 6) หลักภราดรภาพ7) หลักเอกภาพหรือรู้รักสามัคคีธรรม 8) หลักดุลยภาพ 9) หลักนิติธรรม
หลักการทั้ง 9 หรือระบอบฯ คือเหตุปัจจัยให้การยกร่างรัฐธรรมนูญและพระราชบัญญัติต่างๆ เป็นธรรม ด้วยเหตุปัจจัยดี ย่อมเป็นปัจจัยต่อรูปการปกครองระบบรัฐสภาให้มีประสิทธิภาพ และจะเป็นปัจจัยต่างอิงอาศัยให้ระบบเศรษฐกิจพอเพียง ได้เบ่งบานทั่วทั้งแผ่นดิน
จะเห็นได้ว่าแท้ที่จริงระบอบหรือหลักการปกครองโดยธรรม มีลักษณะพิเศษศักดิ์สิทธิ์สำคัญยิ่งยวดที่ซ้อนอยู่อย่างน้อย 7 ประการดังนี้
1) เป็นแก่นแท้รากฐานอันเป็นเอกลักษณ์พิเศษของชาติ (ชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์) ยกขึ้นเป็นหลักการปกครองโดยธรรม
2) เป็นธรรมหรือเป็นหลักการที่ไม่ตายหรือไม่เปลี่ยนหรือเปลี่ยนแปลงไม่ได้ เป็นหัวใจของปวงชนทางการเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ สังคม
3) เป็นจุดหมายร่วมทางการเมือง เศรษฐกิจ สังคมของปวงชน
4) เป็นศูนย์กลางเป็นเอกภาพของปวงชน
5) เป็นกฎหมายความมั่นคงสูงสุด (Supreme Law) ของปวงชน
6) เป็นหลักนิติธรรมแห่งชาติ
7) เป็นเหตุหรือบ่อเกิดแห่งกฎหมายรัฐธรรมนูญและกฎหมายทุกระดับ
พวกเขาจะดันทุรังด้วยความเขลา หรือจะด้วยความบิดเบือน แต่พวกเราผู้เชิดชูชาติ ศาสนา พระมหากษัตริย์ ด้วยความบริสุทธิ์ใจทั้งหลาย จะต้องรัก เคารพเชิดชู ด้วยปัญญา สู้กับพวกเขาด้วยปัญญาอย่างสันติ นำปัญญาวุธไปสู้กับพวกเผด็จการทั้งหลายที่คิดเอาแต่ประโยชน์ตนและพวกพ้องและยึดรัฐธรรมนูญเป็นสรณะ ขอให้พรรคประชาธิปัตย์เปลี่ยนทิศเปลี่ยนทางละทิ้งแนวคณะราษฎร มารับเอาแนวทางธรรมาธิปไตยไปเป็นสรณะด้วยเถิด