ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -ทำเอาคนเสื้อแดงเป็นลมล้มพับคาหน้าบริเวณศาลอาญากันเลยทีเดียว สำหรับความเนื้อหอมของ นายก่อแก้ว พิกุลทอง ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย และแกนนำคนเสื้อแดง เมื่อศาลอาญานัดสอบถามการเพิกถอนคำสั่งอนุญาตปล่อยชั่วคราวกลุ่ม ส.ส.พรรคเพื่อไทย แกนนำ นปช.จำเลยคดีก่อการร้าย 6 คน ประกอบด้วย นายณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ รมช.พาณิชย์ นพ.เหวง โตจิราการนายก่อแก้ว พิกุลทอง นายวิภูแถลง พัฒนภูมิไทย ส.ส.บัญชีรายชื่อพรรคเพื่อไทย นายการุณ หรือเก่ง โหสกุล ส.ส.กทม.พรรคเพื่อไทย และนายภูมิกิติ หรือพิเชษฐ์ สุขจินดาทอง
โดยเฉพาะนายก่อแก้ว ถูกนายนิพิฏฐ์ อินทรสมบัติ ส.ส.พัทลุง พรรคประชาธิปัตย์ และสำนักงานเลขาธิการศาลรัฐธรรมนูญยื่นคำร้อง และส่งแผ่นซีดีการให้สัมภาษณ์สื่อต่างๆ ต่อศาลว่า นายก่อแก้วมีพฤติการณ์ข่มขู่ตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ กรณีการแก้ไขรัฐธรรมนูญตามมาตรา 68 และตัดงบประมาณศาลรัฐธรรมนูญ ถือว่ากระทำผิดเงื่อนไขการประกัน
ทั้งนี้ ศาลได้อ่านคำสั่งโดยพิเคราะห์แล้วสรุปว่า จากการปราศรัยของนายก่อแก้วเห็นได้ชัดเจนว่า ต้องการข่มขู่คุกคามและกดดันการปฏิบัติหน้าที่ของคณะตุลาการฯไม่ได้วิพากษ์วิจารณ์การทำงานของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญดังที่กล่าวอ้าง มีการกระทำที่ผิดเงื่อนไขที่ศาลมีคำสั่งไว้ และยังถือได้ว่านายก่อแก้วอาจก่อให้เกิดอันตรายประการอื่น จึงยังไม่แน่ว่าหากศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราวต่อไป จะมีการไปแถลงข้อความในทำนองยั่วยุ ปลุกปั่นประชาชน อย่างใดอีก ศาลจึงมีคำสั่งให้เพิกถอนการปล่อยชั่วคราวนายก่อแก้ว จนกว่าจะมีคำสั่งเป็นอย่างอื่น
ยิ่งหากย้อนกลับไปฟังคำพูดของนายก่อแก้วแล้ว ก็เห็นว่าไม่น่าแปลกอันใดเลยด้วยซ้ำกับผลของคำพิพากษา เหตุเพราะคำให้สัมภาษณ์ของนายก่อแก้ว ก่อนหน้าที่ศาลรัฐธรรมนูญจะอ่านคำร้องคดีแก้ไข รธน. เมื่อศุกร์ 13 กรกฎาคม 2555 หลายคนได้ยินหรือได้อ่านตามที่สื่อนำเสนอก็ต้อง บอกว่า ค่อนข้างรุนแรง แม้จะไม่หนักหนาสาหัสเท่ากับ เจ๋ง ดอกจิกที่มีการกล่าวปราศรัยออกทีวี โดยมีการบอกเบอร์โทรศัพท์-เลขที่บ้านพักอาศัย ของครอบครัวตุลาการศาล รธน. แต่เนื้อหาการให้สัมภาษณ์ของ ก่อแก้ว ก็ดุดันอย่างยิ่งจนสร้างเสียงวิจารณ์อย่างมาก
ว่ากันตามตรง บางช่วงของถ้อยคำที่สื่อนำเสนอที่เป็นคำกล่าวของก่อแก้วแรงกว่าของจตุพร พรหมพันธุ์ ที่เฉียดคุกเมื่อ 22 สิงหาคมมาแล้วเสียอีก นายก่อแก้วบอกว่า “จากข้อมูลของผม เชื่อว่าคำวินิจฉัย จะไม่เลวร้ายเกินไป แต่ก็ได้เตรียมความพร้อมกรณีคำวินิจฉัยออกมาเลวร้ายที่สุด ว่าเป็นการล้มล้างการปกครอง โดยจะแนะนำให้คนที่ผมรู้จัก เบิกเงินสด ตุนน้ำ ตุนยา หยุดการลงทุน หยุดงานบอกครอบครัวให้เตรียมรองรับสถานการณ์ เพราะอาจจะเลวร้ายอย่างที่สุด ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อน” สมควรมิสมควรเข้าไปนอนในคุกก็พิจารณากัน เพราะนี่มันไม่ต่างจากคำขู่เลยแม้แต่น้อย
อย่างไรก็ตาม ก็พอเข้าใจนายก่อแก้วที่เป็นวิสัยปกติบนเวทีปราศรัยคนเสื้อแดงอยู่แล้ว ที่ต้องแสดงความกร่าง ความถ่อยเถื่อนเพื่อเรียกเสียงเชียร์เอาใจคนเสื้อแดง แต่หากดูอาการท่าทางหลังศาลมีคำสั่งถอนประกันเจ้าตัว ก็ทำเอาเจ้าตัวหน้าซัดเผือกไปเลยทีเดียว ช่างต่างหน้ามือเป็นหลังมือคนละเรื่องกันเลยด้วยซ้ำ
โดยหลังจากที่ถูกเจ้าหน้าที่ควบคุมตัว นายก่อแก้ว พิกุลทอง แกนนำ นปช.ไปคุมขังไว้ที่เรือนจำหลักสี่ตั้งแต่ช่วงเย็นวันที่ 30 พ.ย. ภายหลังที่ศาลอาญามีคำสั่งเพิกถอนประกันตัวชั่วคราว ในฐานยั่วยุ ปลุกปั่นให้เกิดความรุนแรงต่อตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ และถือเป็นการนอนคุกเป็นคืนแรก
ทั้งนี้นายโสภณ ธิติธรรมพฤกษ์ รองอธิบดีกรมราชทัณฑ์เปิดเผยว่า คนที่เข้าไปอยู่ในเรือนจำไม่มีใครสบายต่างก็กินไม่ได้นอนไม่หลับ เพราะทุกคนต่างวิตกกังวล คิดมากหลายอย่าง โดยเฉพาะผู้ที่เป็นนักการเมืองก็เป็นเหมือนกันหมด แต่ทั้งนี้ นายก่อแก้ว ก็ไม่ได้ร้องขออะไรเป็นพิเศษ อย่างไรก็ตามคาดว่าเจ้าตัวน่าจะคุ้นเคยเพราะเคยถูกคุมขังมาก่อนเพียงแต่เปลี่ยนสถานที่เท่านั้น
“ยืนยันว่าจะไม่ขอโทษตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ เนื่องจากเห็นว่าไม่มีความจำเป็น เพราะเชื่อว่าตนเองบริสุทธิ์ ส่วนเรื่องการขอยื่นประกันตัวหรือไม่นั้น ยังไม่ขอเปิดเผยในรายละเอียด โดยจะขอปรึกษากับทีมทนายความก่อน พร้อมขอฝากไปยังกลุ่มคนเสื้อแดงว่าไม่ต้องเสียใจที่ตนเองถูกจำคุก และขอให้อดทนต่อสิ่งที่เกิดขึ้น”
นี่คือคำพูดสุดท้ายของนายก่อแก้ว ซึ่งก็ยังคงความกร่างไม่ลดระดับเลยเช่นกัน
ขณะเดียวกัน หลังจากนั้นทีมทนายนายก่อแก้วก็ได้เดินเกมต่อด้วยการให้ นายเจษฎา จันดี ทนายความผู้รับมอบอำนาจจากนายก่อแก้ว ได้ยื่นคำร้องประกอบการพิจารณา พร้อมใช้เงินสดจำนวน 6 แสนบาท ขอปล่อยชั่วคราวนายก่อแก้ว และหากใครได้เห็นประเด็นการยื่นคำร้องขอปล่อยตัวชั่วคราวแล้วพาลไปนึกถึงหน้าและพฤติกรรมของนายก่อแก้ว ก็คงแทบจะหัวเราะจนฟันร่วงเลยทีเดียว
ทั้งนี้ คำร้องสรุปว่า จำเลยซึ่งเป็น ส.ส.มีความประสงค์จะเข้าร่วมอวยพรถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ในวันที่ 5 ธ.ค.และยังต้องเข้าร่วมงานสโมสรสันนิบาตเฉลิมพระเกียรติ ในวันที่ 7 ธ.ค.ด้วย เนื่องในโอกาสมหามงคลเฉลิมพระชนมพรรษา นับเป็นงานสำคัญยิ่ง นอกจากนี้ จำเลยยังเป็นกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ สภาผู้แทนราษฎร ต้องพิจารณาและร่วมประชุมในเรื่องสำคัญในต่างประเทศระหว่างวันที่ 8-14 ธ.ค.นี้ เพื่อประโยชน์ของประเทศชาติ ทั้งนี้ จำเลยไม่มีเจตนาข่มขู่ศาลรัฐธรรมนูญหรือคุกคามหรือละเมิดสิทธิตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ จำเลยไม่เชี่ยวชาญกฎหมาย จึงเข้าใจผิดและจะต้องทบทวนระมัดระวังไม่ให้เกิดการปราศรัยลักษณะนี้อีก ทั้งจำเลยไม่เคยคิดก่อความวุ่นวายในบ้านเมือง แม้มีการชุมนุมของกลุ่มองค์การพิทักษ์สยาม จำเลยก็ขอร้องมวลชนเสื้อแดงให้เลี่ยงการปรากฏตัวใกล้ที่ชุมนุม จำเลยไม่ใช่คนรุนแรง จำเลยต้องดูแลครอบครัว บุตรและภรรยาได้รับความเดือดร้อน อีกทั้งจำเลยจะไม่ยุ่งเหยิงกับพยานหลักฐาน จะไม่หลบหนี และจะปฏิบัติตามเงื่อนไขของศาลอย่างเคร่งครัด จึงขอศาลได้โปรดมีคำสั่งอนุญาตให้จำเลยมีประกันด้วย
พุธโธ่เอ่ย ใครจะไปเชื่อว่า คนที่เป็นแกนนำคนเสื้อแดง คนที่คอยปลุกระดมให้คนเสื้อแดงเกลียดชังสถาบัน และยังเป็นคนเดียวที่เคยกล่าวปราศรัย ความจริงวันนี้สัญจร เมื่อวันที่ 22 มีนาคม 2552 ด้วยประโยคที่คนไทยเจ็บปวดหัวใจว่า “ ผู้หลักผู้ใหญ่บางคนชาวบ้านเคยนับถือมีรูปปิดฝาบ้านทุกบ้าน เดี๋ยวนี้ถูกปลดลงหมดแล้ว” เมื่อถึงคราวจนตรอกกลับดิ้นทุรนทุรายจนเสียความศรัทธาของคนเสื้อแดงเช่นนี้
แต่ดูเหมือนฟ้ายังมีตา ภายหลังศาลพิเคราะห์แล้วเห็นว่า การถวายความจงรักภักดีต่อพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว สามารถกระทำได้ในหลายรูปแบบและสถานที่ต่าง ๆ ตามสมควรและตามความเหมาะสม ส่วนที่จำเลยอ้างว่าเป็นกรรมาธิการพัฒนาเศรษฐกิจ ต้องไปศึกษาดูงานที่ประเทศอิตาลีและใกล้เคียง รวมทั้งมีภารกิจต้องดูแลกิจการ มีภรรยาและบุตร 2 คนต้องดูแลรับผิดชอบนั้น ก็ยังไม่มีเหตุให้ควรเชื่อได้ว่าหากศาลอนุญาตให้ปล่อยชั่วคราว จำเลยจะไม่ไปก่ออันตรายประการอื่นอีก คดีจึงยังไม่มีเหตุผลเพียงพอให้ยกร้อง
และแล้วก็ต้องเข้าไปนอนในซังเตตามระเบียบ แต่ดูแล้วนายก่อแก้วก็ไม่ได้สำนึกรู้สึกรู้สาอะไรที่เคยทำไปด้วยซ้ำ เพราะขณะที่นายก่อแก้วถูกคุมขัง อยู่บนชั้น 3 ของเรือนจำหลักสี่นั้น ได้โบกมือทักทายผู้สื่อข่าวด้วยหน้าตาที่ยิ้มแย้มแจ่มใส พร้อมเปิดเผยกับผู้สื่อข่าวโดยตะโกนผ่านช่องหน้าต่างจากชั้น 3 ของอาคารว่า เมื่อคืนที่ผ่านมานอนหลับสบายดี ไม่รู้สึกเครียดหรือกังวลแต่อย่างใด และอยู่ในเรือนจำก็ไม่ได้ลำบาก เนื่องจากนักโทษที่คุมขังอยู่ที่นี่คอยช่วยเหลือดูแลตนเอง
นอกจากต้องติดคุกแล้ว นายก่อแก้วยังเจอโชค 2ชั้น แจ็กพอตแตก ที่อาจเข้าข่ายขัดรัฐธรรมนูญมาตรา 106 ซึ่งบัญญัติการสิ้นสุดสมาชิกภาพ ส.ส. ข้อที่เกี่ยวกับคดีความมี 2 อนุมาตราคือ (11) ต้องคำพิพากษาถึงที่สุดให้จำคุก แม้จะมีการรอการลงโทษ เว้นแต่เป็นการรอการลงโทษในความผิดอันได้กระทำโดยประมาท ความผิดลหุโทษ หรือความผิดฐานหมิ่นประมาท
และ (5) มีลักษณะต้องห้ามตามมาตรา 102 ซึ่งว่าด้วยบุคคลต้องห้ามมิให้ใช้สิทธิสมัครรับเลือกตั้ง โดยมาตรา 102 อนุ (4) ห้ามผู้ที่ต้องคำพิพากษาให้จำคุกและถูกคุมขังอยู่โดยหมายของศาล
กล่าวง่ายๆ ก็คือ อาจพ้นสภาพการเป็น ส.ส. เหตุติดคุกทำความเป็นสมาชิกพรรคขาดนั่นเอง
ขณะเดียวกันต้องบอกว่าเป็นวันงานเข้าของโจกแดงโดยแท้ เพราะอีกคนที่เจอถูกแจ็กพอตเข้าจังเบ้อเร้อ ก็มิใช่ใคร เป็นนายอริสมันต์ พงษ์เรืองรอง แกนนำเสื้อแดงระดับฮาร์ดคอร์ ที่ถึงแม้จะไม่ได้ขาหยั่งเข้าไปในซังเต แต่ก็คงต้องบอกว่าไม่ใช่ก็ใกล้เคียงเลยทีเดียว
ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 3 ธ.ค. ศาลอาญา ถนนรัชดาภิเษกศาลออกนั่งบัลลังก์อ่านคำพิพากษาคดีดำ อ.4177/2552 ที่นายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ หัวหน้าพรรคประชาธิปัตย์ และอดีตนายกรัฐมนตรี เป็นโจทก์ยื่นฟ้อง นายอริสมันต์ พงศ์เรืองรอง แกนนำกลุ่มแนวร่วมประชาธิปไตยต่อต้านเผด็จการแห่งชาติ (นปช.) เป็นจำเลย ในความผิดฐานหมิ่นประมาทผู้อื่นโดยการโฆษณา ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 326 , 328 และ 332
โจทก์ นำคดีมายื่นฟ้องต่อศาลเมื่อวันที่ 12 พ.ย. 52 ระบุความผิดสรุปว่าเมื่อวันที่ 11 และ วันที่ 17 ต.ค.2552 จำเลยได้ปราศรัยบนเวทีอนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และหน้าทำเนียบรัฐบาล ถ่ายทอดโทรทัศน์ผ่านช่องพีเพิล แชลแนล มีใจความสำคัญว่า การบริหารงานของรัฐบาลนายอภิสิทธิ์ โจทก์ ไปกู้ยืมเงินมาเพื่อทุจริตคดโกง จนทำให้ในหลวงทรงพระประชวร และหมิ่นประมาทซ้ำกล่าวหาว่าโจทก์เป็นผู้หน่วงเหนี่ยวคำร้องฎีกาขอพระราช ทานอภัยโทษให้พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร อดีตนายกรัฐมนตรี จนเกิดความล่าช้า รวมทั้งกล่าวหาว่า โจทก์เป็นนายกฯหน้าตาดี แต่มีจิตใจ เลวทราม ต่ำช้าที่สุด สั่งทหารฆ่าประชาชน ปกป้องพวกพ้อง ปล้นอำนาจจากประชาชน ไม่ดำเนินการตรวจสอบการทุจริตในโครงการต่างๆ อาทิโครงการไทยเข้มแข็ง , โครงการเศรษฐกิจพอเพียง โครงการรถเมล์เอ็นจีวี ที่จับได้ก็มีแต่พวกปลาซิวปลาสร้อย ไม่สามารถจับตัวการใหญ่ซึ่งเป็นคนของพรรคประชาธิปัตย์ได้ และอื่นๆ ซึ่งล้วนเป็นเท็จ
การกระทำของจำเลยทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น เกลียดชัง เข้าใจผิดว่าโจทก์เป็นคนไม่ดี จึงขอให้ศาลพิพากษาลงโทษจำเลยตามความผิดด้วย
อย่างไรก็ตาม ศาลพิเคราะห์คำเบิกความและพยานหลักฐานทั้งสองฝ่ายที่นำสืบหักล้างกันโดยละเอียดแล้วเห็นว่า การที่จำเลยนำเรื่องการทำงานของโจทก์มากล่าวปราศรัยเชื่อมโยงเข้ากับพระอาการประชวร ทั้งที่จำเลยทราบดีว่า พระเจ้าอยู่หัวทรงห่วงทุกในทุกเรื่องที่เกี่ยวกับบ้านเมือง ทั้งคลิปเสียงที่จำเลยอ้างว่า เป็นเสียงโจทก์ที่สั่งฆ่าประชาชน แต่คลิปเสียงดังกล่าว กองพิสูจน์หลักฐานได้ตรวจสอบแล้วยืนยันว่า มีการตัดต่อเสียงจากรายการเชื่อมั่นประเทศไทย แสดงว่าจำเลยรู้อยู่แล้วว่าอาจมีการตัดต่อคลิปเสียง แต่ก็หาตรวจสอบก่อนไม่ เป็นการส่อเจตนาอันไม่สุจริตของจำเลย ส่วนการจัดตั้งรัฐบาลของโจทก์ก็ปรากฏว่า การเข้าสู่ตำแหน่งนายกรัฐมนตรีก็เป็นไปตามวิถีทางในระบอบประชาธิปไตย
ข้อเท็จจริงจึงฟังได้ว่า การกล่าวปราศรัยของจำเลยเป็นการใช้ข้อความอันเป็นเท็จ เป็นการยุยง ปลุกปั่นประชาชนที่รับฟังการปราศรัย ทำให้โจทก์ต้องเสื่อมเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่นเกลียดชัง ไม่ยอมรับความเป็นนายกรัฐมนตรีของโจทก์ จนมีการชุมนุมเรียกร้องให้โจทก์ลาออกจากตำแหน่ง หรือยุบสภา จนเหตุการณ์บานปลาย ทำให้เกิดความวุ่นวายทางการเมือง ซึ่งเป็นการมุ่งหวังทางการเมืองที่เป็นประโยชน์แก่ฝ่ายพรรคการเมืองที่จำเลยสังกัด มิใช่เป็นการแสดงความคิดเห็น หรือติชมด้วยความโดยสุจริตยุติธรรม เป็นการหมิ่นประมาทใส่ความโจทก์โดยการโฆษณาให้ได้รับความเสียหาย ข้ออ้างของจำเลยไม่มีน้ำหนักหักล้างพยานหลักฐานโจทก์ได้
ศาลจึงพิพากษาว่า การกระทำของจำเลยเป็นความผิดหลายกรรมต่างกันให้ลงโทษทุกกรรม รวม 2 กระทง จำคุกกระทงละ 6 เดือน รวมจำคุก 1ปี พิเคราะห์พฤติการณ์การปราศรัยของจำเลย ได้พาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักยิ่งของปวงชนชาวไทย กรณีจึงไม่มีเหตุให้รอลงอาญา และให้จำเลยลงโฆษณาคำพิพากษาใน นสพ.เดลินิวส์ และมติชน ติดต่อกันเป็นเวลา 7 วัน โดยให้จำเลยเป็นผู้ชำระค่าโฆษณา
โดยหลังทราบคำพิพากษานายอริสมันต์ ถึงกับหน้าซีด ก่อนถูกเจ้าหน้าที่ราชทัณฑ์นำตัวไปควบคุมไว้ โดยทนายความได้ยื่นคำร้องขอประกันตัว ซึ่งต่อมาศาลได้อนุญาตให้วางเงินสด2 แสนบาท ประกันตัวออกไประหว่างอุทธรณ์คดี
มาถึงตรงนี้แล้วก็ต้องบอกว่า จ่อคิวเข้าตะรางตามกันไปอีกคนสำหรับอดีตนักร้องเสียงอมฮอลล์ “กี้ร์” อริสมันต์ ซึ่งคดีนี้ศาลแจกแจงความผิดคดีแกนนำคนเสื้อแดงอย่างละเอียดว่า การปราศรัยของอริสมันต์ ปลุกปั่นยุยงให้ประชาชนเกลียดชังนายอภิสิทธิ์ ทำให้เกิดการรวมตัวชุมนุมขับไล่กระทั่งเหตุการณ์บานปลายเป็นส่วนหนึ่งทำให้เกิดความวุ่นวายในบ้านเมือง อีกทั้งพฤติการณ์ของนายอริสมันต์ยังปราศรัยพาดพิงถึงสถาบันพระมหากษัตริย์อันเป็นที่รักของประชาชนไทย จึงไม่มีเหตุรอการลงโทษ งานนี้แม้เจ้าตัวจะได้รับการปรานีให้ประกันตัวออกไปสู้คดีในชั้นต่อไป
ยิ่งหากย้อนกลับไปดูคำพูดต่างกรรมต่างวาระของเขาด้วยแล้ว ก็ไม่น่าแปลกใจอีกเช่นกัน เพราะแต่ละคำพูดของเขาเองกระมังที่ทำให้ถูกอกถูกใจสายฮาดร์คอร์เสียเหลือเกิน เริ่มจาก 12 มี.ค.2553 ที่เวที จ.อุดรธานี วันนั้นเขาพูดว่า “ครั้งนี้จะเป็นการคิดบัญชีรัฐบาลทรราชอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ และพวกอำมาตย์เฒ่าทั้งหลาย คุณไม่ต้องมาบอกว่าสถานที่สำคัญที่เขาจะไปก่อวินาศกรรม คุณไม่ต้องไปปูดข่าวบอกว่าสถานที่ที่เป็นศาสนสถานของพวกมุสลิม โรงพยาบาลแล้วก็ถนนราชวิถี สะพานข้ามแม่น้ำ โรงพยาบาลศิริราช สนามบิน ทำเนียบฯ กระทรวงสำคัญๆ ธนาคารแห่งประเทศไทย และธนาคารพาณิชย์ ค่ายทหาร บ้านบุคคลสำคัญ และศาลยุติธรรม และองค์กรอิสระ คุณไม่ต้องบอก ถ้าหากว่าคุณใช้ความรุนแรงกับคนเสื้อแดง รับรองว่าไอ้สิ่งที่คุณพูดถึงนี้จะไม่เหลืออยู่ในประเทศไทยอย่างแน่นอน”
ถัดมา 29 ม.ค. 2553 เวทีหน้ากองบัญชาการกองทัพบก ถ.ราชดำเนิน เขาพูดว่า “ผมได้เขียนสรุปง่ายๆ ว่า ต่อไปนี้การที่จะสู้กับอำมาตย์ จะสู้กับพวกกองทัพที่มันรับใช้อำมาตย์มาทำการปฏิวัติ เราต้องรวมใจกันเป็นหนึ่ง ด้วยสโลแกน ออลฟอร์วัน รวมใจเป็นหนึ่งล้มอำมาตย์ครับ พี่น้องนัดกันคราวหน้าถ้ารู้ว่าเขาจะปราบปรามไม่ต้อง เตรียมอะไรมาก มาด้วยกัน ขวดแก้วคนละใบ มาเติมน้ำมันเอาข้างหน้า บรรจุให้ได้ 75 ซีซี ถึง 1 ลิตร ถ้าเรามา 1 ล้านคน ในกรุงเทพมหานคร มีน้ำมัน 1 ล้านลิตร รับรองว่า กทม. เป็นทะเลเพลิงอย่างแน่นอน”
“การสู้ของคนเสื้อแดงแบบง่ายๆ อย่างนี้ บอกให้ทหารได้รับได้ทราบ บอกให้ทหารสุนัขรับใช้อำมาตย์ได้รู้ว่า ถ้าคุณทำร้ายคนเสื้อแดง แม้เลือดหยดแต่หยดเดียวนั่นหมายความว่ากรุงเทพฯ จะเป็นทะเลเพลิงทันที ส่วนต่างจังหวัด จตุพร (พรหมพันธุ์) ได้บอกแล้ว ให้รอฟังข่าวว่า พี่น้องที่อยู่ใน ต่างจังหวัด ไม่ได้มาไม่เป็นไร ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นทันทีรวมตัวกันที่ศาลากลาง ไม่ต้องรอเงื่อนไข จัดการให้ราพณาสูรเหมือนกัน”
จากความบ้าระห่ำของเขานี่เอง ทำให้ถูกฟ้องดำเนินคดีและออกหมายจับ ตามมาหลายคดี เริ่มจากเมื่อวันที่ 11 และ 17 ต.ค.52 ครั้งขึ้นปราศรัยบนเวทีชุมนุมคนเสื้อแดงที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย และที่ทำเนียบรัฐบาล โดยได้กล่าวหาว่านายอภิสิทธิ์ เวชชาชีวะ นายกรัฐมนตรี เป็นต้นเหตุทำให้พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระประชวร และเป็นนายกรัฐมนตรีที่มาจากการปล้นอำนาจประชาชน เป็นผู้สั่งการให้ฆ่าประชาชน และแล้วก็ไม่รอดสันดอนจริงๆ กับความปากกล้าขาสั่นของเขา
ดังนั้นแล้วหากดูชะตากรรมของสองแกนนำเสื้อแดงก็ต้องบอกว่า นี่คือการสั่งสอนมิให้อ้ายอีหน้าไหนบังอาจกำแหงคุกคามองค์คณะตุลาการ และซ่าส์แบบไม่กลัวเกรงกฎหมายเพื่อเป็นทาสรับใช้นายห้างตราดูไบที่หลบหนีอาญาแผ่นดินไปอยู่ต่างแดนอีก และก็ถือเป็นบทเรียนเหมือนกันที่ไม่รู้ว่าต่อไปจะกล้าซ่าเพื่อนายแล้วต้องไปนอนคุก คงต้องถามว่าคุ้มใช่หรือไม่ แกนนำเสื้อแดงทั้งหลาย