xs
xsm
sm
md
lg

ผู้จัดการสุดสัปดาห์

x

เพื่อไทยเหิมเกริม เร่งแก้ รธน.ฟอกผิด “แม้ว” ท้ารบศัตรูรัฐไทยใหม่

เผยแพร่:   โดย: MGR Online


ASTVผู้จัดการสุดสัปดาห์ -และแล้วความพยายามในการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อ “ล้างความผิด” ให้นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่นนาม “ทักษิณ ชินวัตร” ก็เริ่มต้นขึ้นอีกครั้งหนึ่ง และครั้งนี้ดูจะดำเนินการอย่างเหิมเกริมและย่ามใจกว่าครั้งไหนๆ เพราะเป็นการประกาศอย่างชัดเจนภายหลังการแสดงพลังของเครือข่ายภาคประชาชนซึ่งนำโดยองค์การพิทักษ์สยามที่รวมตัวกันจัดชุมนุมใหญ่ขับไล่รัฐบาลเพื่อไทยไม่นานนัก อีกทั้งประกาศที่จะ “หัก” กับศาลรัฐธรรมนูญซึ่งได้มีมติไปแล้วว่าการตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) ขึ้นมาแก้ไขรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ ไม่สามารถทำได้ เพราะขัดเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ

โดย นายโภคิน พลกุล ประธานคณะทำงานพรรคร่วมรัฐบาลศึกษาแก้ไขรัฐธรรมนูญ แถลงหลังการประชุมของคณะทำงานซึ่งมีเพียงซีกรัฐบาล เมื่อวันที่ 3 ธ.ค.ที่ผ่านมาว่า คณะทำงานมีข้อสรุปเกี่ยวกับการแก้ไขรัฐธรรมนูญใน 4ประเด็น คือ

1.การลงมติร่างรัฐธรรมนูญวาระ 3 (ซึ่งหมายถึงการลงมติวาระ 3 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา291 เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญ ขึ้นมาทำหน้าที่พิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งเป็นประเด็นที่ค้างอยู่ในสภามาระยะหนึ่งแล้ว) นั้นเห็นพ้องต้องกันว่าเป็นหน้าที่ของสมาชิกรัฐสภาที่ต้องทำหน้าที่ลงมติในวาระ 3 ต่อไป เพราะมีญัตติค้างอยู่ในรัฐสภา ประกอบกับตามบทบัญญัติของรัฐธรรมนูญกำหนดให้ลงมติวาระ3 ใน 15 วันหลังจากลงมติวาระ 2 ไม่เช่นนั้นจะถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่

2.วันที่ 10 ธ.ค.จะเป็นวันครบรอบ 80 ปีของรัฐธรรมนูญไทย จึงให้วันที่ 10 ธ.ค.เป็นการเริ่มต้นรณรงค์ให้ประชาชนเข้าใจถึงการแก้รัฐธรรมนูญในระบอบประชาธิปไตย โดยแนวทางการรณรงค์นั้นจะมีคณะกรรมการประสานและติดตามผลการดำเนินงานตามข้อเสนอแนะของคณะกรรมการอิสระตรวจสอบและค้นหาความจริงเพื่อการปรองดองแห่งชาติ (ปคอป.) โดยนายธงทอง จันทรางศุ ปลัดสำนักนายกรัฐมนตรีเป็นผู้รับผิดชอบ

3.แนวทางการจัดทำประชามติก่อนร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่ที่ตุลาการรัฐธรรมนูญเคยให้ความเห็นนั้น ทางคณะทำงานพรรคร่วมเห็นพ้องกันว่าหลังจากลงมติร่างรัฐธรรมนูญในวาระ 3 และเลือกตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เพื่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่แล้ว ก่อนจะมีการประกาศใช้รัฐธรรมนูญย่อมต้องจัดทำประชามติถามความเห็นของประชาชนอยู่แล้วว่าต้องการรับหรือไม่รับร่างรัฐธรรมนูญ ดังนั้นแนวทางนี้ถือเป็นการจัดทำประชามติก่อนมีรัฐธรรมนูญฉบับใหม่สอดคล้องกับความเห็นของตุลาการศาลรัฐธรรมนูญ

และ 4.สำหรับแนวทางการแก้ไขรายมาตราถือเป็นอำนาจของรัฐสภาในการดำเนินการ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นต้องให้มีการลงมติในวาระ 3 เกิดขึ้นก่อนจึงจะพิจารณาแก้ไขรัฐธรรมนูญในรายมาตราต่อไป

ซึ่งมติของคณะทำงานดังกล่าวนั้นเท่ากับเป็นการประกาศอย่างชัดแจ้งว่ารัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของ นายกฯยิ่งลักษณ์ ชินวัตร จะดึงดันใช้เสียงข้างมากลากไปโดยรวบรัดให้ลงมติวาระ 3 ในการแก้ไขรัฐธรรมนูญ มาตรา291 เพื่อจัดตั้งสภาร่างรัฐธรรมนูญขึ้นมาทำหน้าที่พิจารณายกร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับ ซึ่งเป็นประเด็นที่ค้างอยู่ในสภามาตั้งแต่ ก.ค.2555 เนื่องจากก่อนหน้านี้มีผู้ยื่นเรื่องให้ศาลรัฐธรรมนูญตีความว่ารัฐบาลสามารถดำเนินการในเรื่องดังกล่าวได้หรือไม่ เพราะการจะตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญใหม่ทั้งฉบับก็เท่ากับเป็นการล้มล้างรัฐธรรมนูญ เนื่องเพราะเหมือนกับการออกเช็คเปล่าให้ ส.ส.ร.ไปเขียนอะไรลงในรัฐธรมนูญก็ได้ ซึ่งครั้งนั้นศาลรัฐธรรมนูญได้วินิจฉัยไว้อย่างชัดเจนว่า “ การแก้ไขรัฐธรรมนูญโดยการยกร่างใหม่ทั้งฉบับ ไม่เป็นไปตามเจตนารมณ์ของรัฐธรรมนูญ หากจะต้องมีการเขียนรัฐธรรมนูญขึ้นใหม่ทั้งฉบับ จะต้องมีการทำประชามติก่อน หากจะแก้ก็ต้องแก้เป็นรายมาตรา”

ไม่ใช่ร่างกฎหมายขึ้นใหม่ เขียนรายละเอียดมาเสร็จสรรพ แล้วค่อยมาทำประชามติถามความเห็นประชาชนว่าจะ “รับ” รัฐธรรมนูญที่ร่างขึ้นใหม่หรือไม่ อย่างที่รัฐบาลเพื่อไทยกำลังจะดำเนินการ

แปลว่าถ้ารัฐบาลดึงดันที่จะลงมติวาระ 3 ให้ได้ก็เท่ากับรัฐบาลเพื่อไทยจงใจที่จะฝ่าฝืนคำสั่งของศาลรัฐธรรมนูญ ซึ่งเป็นสิ่งที่บ่งชี้ว่ารัฐบาลมีพฤติกรรมจงใจล้มล้างการปกครอง หรือพยายามดำเนินการเพื่อให้ได้มาซึ่งอำนาจการปกครอง โดยวิถีทางที่มิได้บัญญัติไว้ในรัฐธรรมนูญ ซึ่งมีโทษถึงขั้น “ยุบพรรค” และเข้าข่ายเป็นกบฏ มีโทษถึงขั้น “ประหารชีวิต”

และแม้รัฐบาลเพื่อไทยจะใช้วันที่ 10 ธ.ค. 2555 ซึ่งเป็นวันครบรอบ 80 ปีของรัฐธรรมนูญไทยเป็นข้ออ้างในออกการรณรงค์ให้ประชาชนสนับสนุนการแก้ไขกฎหมายดังกล่าว ก็ไม่มีความหมายและไร้ซึ่งน้ำหนัก เพราะหากพินิจพิเคราะห์ถึงที่มาที่ไปในความ พยายามแก้รัฐธรรมนูญของเครือข่ายทักษิณหลายครั้งที่ผ่านมาก็จะเห็นชัดว่ามีเป้าหมายเพียงเรื่องเดียวคือเพื่อ “ฟอกผิด” ให้นักโทษหนีคดีคอร์รัปชั่นนามทักษิณ ชินวัตรเท่านั้น เพราะปัจจุบันไม่ได้มีกฎหมายมาตราใดที่เป็นอุปสรรคต่อการบริหารบ้านเมืองของรัฐบาล หรือสร้างความไม่เป็นธรรมให้แก่ผู้คนในสังคมแต่อย่างใด

จะมีก็แต่กฎหมายที่ดำเนินการเอาผิดนักการเมืองทุจริตอย่างทักษิณแบบตรงไปตรงมาเท่านั้นที่ทิ่มแทงหัวใจ นายใหญ่ อยู่ในขณะนี้ และจำเป็นที่จะต้องแก้กฎหมายเพื่อ ยกเลิกความผิดทั้งหมดของทักษิณให้จงได้ เพราะการที่เขาถูกศาลตัดสิน จำคุก นอกจากจะทำให้ทักษิณต้องหนีหัวซุกหัวซุนแล้ว เขายังไม่สามารถกลับมารับตำแหน่งทางการเมืองใดๆ ได้ เนื่องจากกฎหมายระบุ ห้าม ไว้

และแม้ล่าสุดนายโภคินจะระบุว่า คณะทำงานยกร่างกฎหมายฯ อยู่ระหว่างการปรับปรุงแก้ไขถ้อยคำเกี่ยวกับแนวทางการแก้ไขรัฐธรรมนูญ โดยคาดว่าจะสามารถส่งรายงานฉบับสมบูรณ์ให้พรรคร่วมรัฐบาลได้ภายในวันที่ 17 ธ.ค. และจากนั้นจะใช้เวลา 1-2 เดือนในการรณรงค์ทำความเข้าใจกับประชาชน การรณรงค์ดังกล่าวก็หาใช่ การทำประชามติ แต่เป็นเพียงกลยุทธ์ในการหาแนวร่วม หว่านล้อมให้ประชาชนหันมาสนับสนุนเพื่อสร้างความชอบธรรมในการแก้รัฐธรรมนูญ ก่อนที่พรรคเพื่อไทยจะเดินหน้าลงมติ 3 วาระ เพื่อตั้ง สสร.ขึ้นมายกร่างรัฐธรรมนูญฉบับใหม่เท่านั้น

และแม้คณะทำงานจะอ้างว่าที่มาของ ส.ส.ร.นั้นจะมาจากการเลือกตั้งจังหวัดละ 1 คน และมาจากนักวิชาการผู้ทรงคุณวุฒิอีก 22 คน แต่จากพฤติกรรมที่เต็มไปด้วยกลโกงฉ้อฉลของรัฐบาลชุดนี้ทำให้หลายฝ่ายเชื่อว่าสุดท้าย สสร.ที่จะมาทำหน้าที่ร่างรัฐธรรมนูญนั้นก็คงหนีไม่พ้นเป็นคนของรัฐบาลอีกเช่นเคย

ยิ่งแกนนำเสื้อแดงสายฮาร์ดคอร์ที่ได้ดิบได้เป็นถึงรัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพาณิชย์อย่าง “ณัฐวุฒิ ใสยเกื้อ” ออกโรงประกาศผลักดันให้มีการลงมติวาระ 3 โดยอ้างว่าการเดินหน้าแก้ไขวาระ 3 เป็นสิ่งที่ประชาชนขานรับ ซึ่งแนวทางนี้จะทำให้ประเทศไทยเป็นประชาธิปไตยที่แท้จริง และจะทำให้ประเทศออกจากความขัดแย้งได้ ทั้งที่ดูยังไงก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่คือเผด็จการรัฐสภาอย่างแท้จริง ก็ยิ่งเท่ากับเป็นการส่งสัญญาณที่ชัดเจนว่างานนี้เพื่อไทยจะต้องระดมพลคนเสื้อแดงออมาลงคะแนนเลือกตัวแทน ส.ส.ร. ของตัวเองอย่างแน่นอน

ที่สำคัญหลายฝ่ายต่างประเมินตรงกันว่าการแก้ไขรัฐธรรมนูญเพื่อล้างความผิดให้ นช.ทักษิณนั้นเท่ากับเป็นการ จุดไฟสงคราม ระหว่างคนไทยให้ลุกโชนขึ้นอีกครั้ง เพราะแน่นอนว่ากลุ่มคนที่คัดค้านการแก้รัฐธรรมนูญเพื่อฟอกผิดให้ นช.ทักษิณ โดยเฉพาะมวลชนคนเสื้อเหลืองในนาม กลุ่มพันธมิตรประชาชนเพื่อประชาธิปไตย จะต้องลุกฮือขึ้นมาต่อต้านอีกคำรบ

และเมื่อมีคนออกมาต่อต้าน วิธีการที่พรรคเพื่อไทยจะใช้เพื่อสร้างความชอบธรรมในการแก้รัฐธรรมนูญครั้งนี้ก็คือสั่งการให้ “มวลชนเสื้อแดง” ออกมาเคลื่อนไหวสนับสนุน ซึ่งแน่นอนว่าย่อมก่อให้เกิดการเผชิญหน้าและปะทะกันระหว่าง ม็อบหนุนและม็อบต้าน ที่อาจนำไปสู่เหตุรุนแรงเสียเลือดเสียเนื้อหรือถึงขั้น เลือดนองแผ่นดิน ซึ่งหากเป็นเช่นนั้นแน่ใจหรือว่ารัฐบาลเพื่อไทยภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ ชินวัตรจะสามารถดำรงสถานะอยู่ได้ ?

เพราะไม่เช่นนั้นเราท่านคงไม่เห็นนกรู้อย่าง เหลิม บางบอน ออกโรงคัดค้านการแก้ไขรัฐธรรมนูญครั้งนี้โดยระบุว่า “ ต้องดำเนินการด้วยความรอบคอบ หากเกิดความขัดแย้งของประชาชน ก็จะเลื่อนออกไปก่อน ควรคำนึงถึงความเข้าใจของประชาชนเป็นหลัก”

ขณะที่พรรคภูมิใจไทยซึ่งแบบไต๋ว่าจะสลับขั้วเปลี่ยนข้างมาอยู่กับพรรคเพื่อไทย ถึงกับลงทุนยกมือไว้วางใจนายกฯยิ่งลักษณ์ในการอภิปรายไม่ไว้วางใจเมื่อไม่กี่วันที่ผ่านมา ทั้งที่พรรคภูมิใจไทยอยู่ในฐานะพรรคร่วมฝ่ายค้าน ก็ออกโรงเตือนรัฐบาลว่าหากดื้อโหวตวาระ3 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.ก็เท่ากับเป็นการทำร้ายตัวเอง

โดยนายบุญจง วงศ์ไตรรัตน์ ส.ส.พรรคภูมิใจไทย ระบุว่า “พรรคได้หารือและมีจุดยืนคือหากการแก้ไขรัฐธรรมนูญสุ่มเสี่ยงว่าจะเกิดความขัดแย้ง เราก็ไม่สนับสนุน และต้องการทราบว่าหากจะแก้ไขจะมีความชัดเจนว่าจะแก้ในประเด็นใดบ้าง ถ้าบอกว่าลงมติวาระ 3 แล้วตั้งสมาชิกสภาร่างรัฐธรรมนูญ (ส.ส.ร.) เราก็ไม่สนับสนุน เพราะห่วงว่าแก้ไขแล้วยุบองค์กรอิสระ และหมวดพระมหากษัตริย์ และห่วงว่าจะแก้เพื่อคนๆเดียวหรือเพื่อกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง ทั้งนี้การแก้ไขรัฐธรรมนูญสามารถทำได้ ที่ผ่านมาพรรคประชาธิปัตย์เป็นรัฐบาลก็ได้มีการแก้ไข อยากให้รัฐบาลและนายกรัฐมนตรีคิดให้รอบคอบการบริหารบ้านเมืองอยู่ดีๆ แก้ปัญหาให้ประชาชนก็อยู่ยาว แต่ถ้าดื้อเอาเสียงข้างมากก็จะเกิดความขัดแย้งในประเทศและหนักกว่าเดิม เท่ากับนายกฯทำร้ายตัวเอง และจะบอกว่าเป็นเรื่องสภาไม่ได้ เพราะตัวนายกฯเองก็เป็นแกนนำพรรครัฐบาลอยู่”

ดังนั้น ทันทีที่เปิดสมัยประชุมสภาในวันที่ 21 ธ.ค. นี้ เราๆ ท่านๆ ก็คงต้องจับตาดูว่า รัฐบาลยิ่งลักษณ์จะกล้าหักเร่งรัดลงมติวาระ 3 เพื่อตั้ง ส.ส.ร.ขึ้นมาร่างรัฐธรรมนูญล้างความผิด ให้ทักษิณอย่างที่ประกาศไว้หรือไม่ และถ้าลงมือจริงจะเกิดอะไรขึ้น !!


กำลังโหลดความคิดเห็น